ในวันที่ 8 กรกฎาคม 2022 ญี่ปุ่นต้องสูญเสียนักการเมืองผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งในประวัติศาสตร์การเมืองยุคใหม่ เมื่ออดีตนายกรัฐมนตรี ชินโซ อาเบะ เสียชีวิตหลังถูกลอบยิงขณะปราศัยช่วย
สมาชิกพรรคหาเสียงในเมืองนาระเกี่ยวกับการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาซึ่งจะเกิดขึ้นในวันที่ 10 กรกฎาคม

เหตุการณ์ดังกล่าว กลายเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางในสังคม เพราะเหตุสะเทือนขวัญ ครั้งนี้เกิดขึ้นกลางวันแสกๆ อีกทั้งญี่ปุ่นยังเป็นชาติซึ่งมีกฎหมายควบคุมอาวุธปืนอย่างเคร่งครัด แต่ประเด็นของมันยังมีต่อไปอีกมาก เช่น แรงจูงใจของฆาตกรยังเกิดจากความคับแค้นใจต่อลัทธิทางศาสนาซึ่งเป็นประเด็นฝังลึกในญี่ปุ่นมาอย่างยาวนาน

บทความนี้จะนำเสนอเกี่ยวกับผลกระทบที่เกิดขึ้นหลังการเสียชีวิตของชินโซ อาเบะ ชายผู้ถูกขนานนานว่า “นายกรัฐมนตรีผู้ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุดของญี่ปุ่น” และสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางและเข้มแข็งของสังคมญี่ปุ่นในเวลาเดียวกัน

ประวัติโดยย่อของ ชินโซ อาเบะ

“ชินโซ อาเบะ” เป็นคนโตเกียว เกิดวันที่ 21 กันยายน 1954 ในสายตระกูลที่เล่นการเมืองมานาน

ตาของเขา “โนบุสุเกะ คิชิ” เคยเป็นนายกญี่ปุ่นในปี 1957-1960 ส่วนปู่คือ “คัง อาเบะ” ก็ดำรงตำแหน่งสภาผู้แทนราษฎรญี่ปุ่นตั้งแต่ปี 1937 – 1946 รวมไปถึงพ่อของเขา “ชินทาโร อาเบะ” ก็ยังเป็นรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศตั้งแต่ปี 1982 – 1986

อาเบะเรียนจบสาขารัฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเชเค ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่ลูกท่านหลานเธอหรือทายาทธุรกิจใหญ่จบกันมาก และจากนั้นก็ไปเรียนต่อสาขารัฐศาสตร์และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่มหาวิทยาลัยเซาเทิร์นแคลิฟอร์เนีย สหรัฐฯ

เขาเริ่มเข้าสู่วงการเมืองในยุค 80s สังกัดพรรคเสรีประชาธิปไตย (Liberal Democratic Party – LDP) หรือ พรรคจิมินโต (自民党) ตามพ่อของเขา

ต่อมาอาเบะได้รับการเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีครั้งแรกในปี 2006 ก่อนจะได้เป็นอีกครั้งในปี 2012 – 2014/2014 – 2017 และ 2017 – 2020

การดำรงตำแหน่งได้ยาวนานขนาดนี้ ถือว่าอาเบะ “เก๋า” พอตัว เพราะปกตินายกญี่ปุ่นจะดำรงตำแหน่งเฉลี่ยราวๆ 1 ปี กับอีกไม่กี่เดือน

ที่นายกญี่ปุ่นมักอยู่ในตำแหน่งไม่นาน เนื่องจากมักก้มหัวขอโทษ แล้วลาออกเวลานโยบายผิดพลาดหรือความนิยมตก (ซึ่งเป็นที่ถกเถียงกันในหมู่คนญี่ปุ่นว่าจริงๆ ควรแก้ไขก่อนไหม?)

นโยบายความมั่นคง

อดีตนายกรัฐมนตรี ชินโซ อาเบะ นั้นถือเป็นผู้เปลี่ยนแปลงโฉมหน้านโยบายด้านความมั่นคงของญี่ปุ่นอย่างมีนัยยะสำคัญ

โดยเฉพาะการเพิ่มบทบาทของกองกำลังป้องกันตนเอง หรือ “จิเอไต” ที่เดิมทีเป็นหน่วยงานด้านความมั่นคงเชิงตั้งรับ (ถูกจำกัดจากการรบแพ้ในสงครามโลกครั้งที่สอง) จนกลายเป็นกองกำลังที่มีขีดความสามารถในการช่วยเหลือและสนับสนุนชาติพันธมิตรในเอเชียหากเกิดสงครามขึ้น

นอกจากนี้เขายังเป็นหัวเรือหลักในการจัดตั้งกระทรวงกลาโหมญี่ปุ่นขึ้นในปี 2007 พร้อมกับปรับปรุงสายการบังคับบัญชาภายในกองกำลังป้องกันตนเองที่อยู่ใต้การควบคุมของรัฐบาลพลเรือน รวมถึงยกระดับประสิทธิภาพการตอบโต้ภัยคุกคามด้วยการจัดทำยุทธศาสตร์ความมั่นคงของชาติที่เหมาะสมต่อการรับมือกับภัยคุกคามต่างๆ

อย่างไรก็ตามผลงานที่เด่นชัดและกลายเป็นหมุดหมายหลัก คือการพัฒนาขีดความสามารถปฏิบัติการเพื่อสันติภาพเชิงรุก ด้วยการวางเงื่อนไขสำคัญ 3 ประการคือ:

1) ภัยคุกคามที่เกิดขึ้นนั้นจะต้องกระทบต่อความอยู่รอดของญี่ปุ่น หรือเป็นภัยต่อพลเมืองญี่ปุ่นที่อยู่ในพื้นที่ความขัดแย้ง
2) การใช้กำลังทางทหารจะเป็นหนทางสุดท้ายเพื่อปกป้องประเทศและพลเมืองจากภัยคุกคาม
3) การใช้กำลังทางทหารจะเป็นไปตามสมควรและดำเนินตามหลักปฏิบัติสากล

อนึ่งการสร้างข่ายความมั่นคงดังกล่าว มีจุดประสงค์เพื่อให้ญี่ปุ่นสามารถต้านการขยายอิทธิพลของจีน ซึ่งเกมนี้ทำให้ญี่ปุ่นได้กระชับความสัมพันธ์กับไต้หวันและสหรัฐ แต่ทำให้ญี่ปุ่นกลายเป็นคู่ขัดแย้งกับจีนอย่างชัดเจน

ดังนี้จึงไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมายเมื่อชาวจีนจำนวนหนึ่งออกมาแสดงความยินดีและยกย่องการกระทำของมือปืนผู้ปลิดชีพอาเบะ (อนึ่ง ตาของเขา โนบุสุเกะ คิชิ เป็นคนที่มีบทบาทมากในการสนับสนุนญี่ปุ่นเข้าครองแมนจูเรีย เรียกว่าเป็นความแค้นที่ส่งทอดกันมานับสิบปี)

ขณะเดียวกันนโยบายด้านความมั่นคงของอาเบะก็กลายเป็นการนำญี่ปุ่นเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ ต่อยอดโดยรัฐบาลญี่ปุ่นที่มาจากพรรคจิมินโตมาจนถึงปัจจุบัน

โดยเฉพาะในสมัยของนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน ฟุมิโอะ คิชิดะ ได้เดินหน้าสานสัมพันธ์ด้านความมั่นคงกับอเมริกาให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ล้วนเป็นผลผลิตแบบที่อาเบะเคยคาดหวังเอาไว้สมัยที่เขาดำรงตำแหน่ง

การเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ

หนึ่งในความฝันที่ยังไม่สำเร็จของอาเบะคือการเปลี่ยนแปลงมาตรา 9 ของรัฐธรรมนูญญี่ปุ่นซึ่งเดิมทีถูกใช้เพื่อจำกัดบทบาททางทหารของญี่ปุ่นไม่ให้แผ่ขยายอำนาจอีก โดยเนื้อหานั้นระบุชัดเจนว่าญี่ปุ่นจะสละสิทธิ์การทำสงครามและไม่เข้าร่วมความขัดแย้งในระดับนานาชาติ แต่ยังคงมีกองกำลังป้องกันตนเองเพื่อใช้ปกป้องประเทศเท่านั้น

แน่นอนว่าเมื่อเวลาผ่านไป กองกำลังดังกล่าวเริ่มเติบโตและขยายขีดความสามารถจนสามารถเทียบเคียงกองทัพระดับแนวหน้าของโลก เหลือเพียงข้อกฎหมายที่ยังจำกัดขีดความสามารถในการปฏิบัติการเอาไว้ ทำให้อาเบะเห็นว่ารัฐธรรมนูญมาตรา 9 ควรได้รับการแก้ไขเพื่อให้สามารถ “ทำงาน” ได้สะดวกขึ้น

ในปัจจุบันสภาสูงของญี่ปุ่นซึ่งพรรคฝ่ายรัฐบาลอย่างจิมินโตและโคเมโตครองเสียงข้างมากในสภา รวมทั้งพรรคพันธมิตรต่างแสดงความสนใจจะแก้ไขรัฐธรรมนูญในครั้งนี้

อย่างไรก็ตามคงต้องติดตามต่อไปว่าความฝันที่ยังไม่สำเร็จของอาเบะนั้นจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่? เพราะถึงแม้ฝ่ายรัฐบาลจะสามารถครองเสียงข้างมากในสภาได้สำเร็จ แต่นายกรัฐมนตรีคิชิดะยังต้องหาข้อสรุปให้เห็นตรงกันในด้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่จะเปลี่ยนแปลงยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงที่ญี่ปุ่นเคยยึดถือตั้งแต่การสร้างชาติหลังสงครามโลกครั้งที่ 2

เหตุการณ์ไม่คาดฝัน

ช่วงเวลา 11.30 น. ของวันที่ 8 กรกฎาคม 2022 อดีตนายกชินโซ อาเบะ ที่กำลังยืนปราศัยเกี่ยวกับการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาซึ่งจะเกิดขึ้นในวันที่ 10 กรกฎาคมอยู่บริเวณหน้าสถานีรถไฟไซไดจิของเมืองนาระ เขาถูกนายเท็ตสึยะ ยามากามิ อดีตเจ้าหน้าที่กองกำลังป้องกันตนเองทางทะเลวัย 41 ปี ใช้อาวุธปืนลูกซองประดิษฐ์ยิงเข้าใส่จนได้รับบาดเจ็บสาหัส

แม้ว่าหน่วยรักษาความปลอดภัยจะสามารถจับกุมคนร้ายได้และดำเนินการส่งตัวของอดีตนายกอาเบะส่งโรงพยาบาล แต่ทีมแพทย์ก็ไม่สามารถทำการยื้อชีวิตของเขาเอาไว้ได้ เนื่องจากบาดแผลที่ได้รับจากกระสุนลูกปรายนั้นหนักหนาสาหัสมาก

ในเวลา 17:46 น. ตามเวลาท้องถิ่นของญี่ปุ่น (15:46 น. ของไทย) ของวันที่ 8 กรกฎาคม สื่อ NHK ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจของญี่ปุ่น ประกาศข่าวว่า อดีตนายกรัฐมนตรี ชินโซ อาเบะ ถึงแก่อสัญกรรมด้วยวัย 67 ปี…

ผู้ก่อเหตุได้ออกมาสารภาพว่า เดิมทีตนวางแผนสังหาร “เจ้าลัทธิมูน” แห่งลัทธิโบสถ์แห่งความสามัคคี หรือที่ญี่ปุ่นเรียกว่า “ลัทธิเก็นริเคง-โทอิตสึ” อันเป็นลัทธิทางศาสนาที่มารดาของตนเลื่อมใสถึงขนาดขายกิจการและสมบัติของครอบครัวเพื่อนำเงินไปบริจาค แม้ว่าครอบครัวจะอยู่ในสถานะล้มละลายก็ตาม

อย่างไรก็ตาม เขามองว่าการเข้าถึงตัวผู้นำนั้นเป็นเรื่องยากมาก จึงเบนเป้าหมายมายังอดีตนายกซึ่งมีข่าวว่าสนับสนุนลัทธิดังกล่าว นอกจากนี้คนร้ายยัง “เข้าใจว่า” ตาของอาเบะคือ คิชิ โนบุสึเกะ อดีตนายกญี่ปุ่นเป็นผู้นำลัทธิดังกล่าวมาเผยแพร่อีกด้วย

ในทีแรกเขาวางแผนจะใช้ระเบิดสังหาร แต่มองว่ามีโอกาสสำเร็จน้อย ทำให้เปลี่ยนมาประดิษฐ์อาวุธปืนด้วยตนเองตามข้อมูลที่หาได้จากอินเตอร์เน็ต โดยมีส่วนประกอบสำคัญคือ ท่อเหล็กสองอัน บรรจุเม็ดโลหะด้านละ 6 นัด ประกอบเข้ากับกระดานไม้ด้วยเทป รวมทั้งกลไกต่างๆ อาทิ มอเตอร์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนที่ขึ้นรูปจากเครื่องปรินท์สามมิติ

หลังเหตุลอบสังหารเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าตรวจค้นที่พักของผู้ต้องหา จนสามารถยึดปืนประดิษฐ์เองได้อีกหลายกระบอก

หลังการลอบสังหาร

ภายหลังเหตุลอบสังหารดังกล่าว เกิดเสียงวิจารณ์อย่างกว้างขวางในหลายประเด็น โดยเฉพาะระบบการรักษาความปลอดภัยและรับมือกับอาวุธปืน เนื่องจากญี่ปุ่นนั้นเป็นประเทศที่กฎหมายควบคุมอาวุธปืนเข้มงวดเป็นอย่างมาก

คือผู้ครอบครองอาวุธเพื่อการล่าสัตว์หรือยิงเป้ากีฬาจะต้องเข้ารับการทดสอบมากมายถึงจะได้รับใบอนุญาต ส่งผลให้คดีที่เกี่ยวข้องกับอาวุธปืนเกิดขึ้นราว 10 ครั้งต่อปีเท่านั้น (ปี 2021 มีคนตายเพราะถูกยิงแค่คนเดียว!)

แม้ว่าการใช้กฎหมายอย่างเข้มข้นจะช่วยให้ปัญหาอาชญากรรมลดน้อยลง แต่กลายเป็นว่าทางตำรวจเองก็ไม่คุ้นชินกับการรับมือเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินในลักษณะนี้เช่นกัน

การตอบสนองของเจ้าหน้าที่หน่วยรักษาความปลอดภัยรอบตัวอดีตนายกอาเบะในวันที่ถูกยิง ไม่ได้ปฏิบัติตามหลักสากลที่ต้องเข้าชารจ์ตัววีไอพีทันทีหลังกระสุนชุดแรก แต่กลับพยายามหันไปทางต้นเสียงจนผู้ก่อเหตุลั่นกระสุนชุดที่สองใส่เป้าหมายได้สำเร็จ

นอกจากนี้ อาวุธสังหารซึ่งเป็นปืนประดิษฐ์เองด้วยเครื่องไม้เครื่องมือที่สามารถหาได้ตามร้านขายอุปกรณ์ก่อสร้างทั่วไปหรือสร้างจากเครื่องปรินท์สามมิติ กลายเป็นความท้าทายในการสร้างมาตรการควบคุมที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ

ทั้งนี้ประชาชนบางส่วน รวมไปถึงนักการเมืองฝ่ายค้านเองได้แสดงความกังวลว่า การลอบสังหารดังกล่าวอาจสร้างค่านิยมหัวรุนแรง เมื่อผู้ก่อเหตุใช้แรงจูงใจส่วนตัวประทุษร้ายต่อบุคคลสำคัญที่ตนมีความแค้น

…ซึ่งมันสั่นคลอนแนวคิดพื้นฐานตามระบอบประชาธิปไตยที่เน้นความสำคัญของการตัดสินปัญหาตามบทกฎหมายและการยอมรับของสังคม

สนามเลือกตั้งที่ยังไม่เปลี่ยนแปลง

แม้ว่าเหตุการณ์ดังกล่าวจะสร้างความสะเทือนใจให้กับชาวญี่ปุ่นเป็นอย่างมาก แต่ประเด็นน่าสนใจคือ พรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า (LPD) ที่เป็นรัฐบาล และเป็นพรรคที่นายอาเบะเคยสังกัดนั้น มิได้ปล่อยให้การเสียชีวิตของอดีตนายกอาเบะซึ่งเป็นนักการเมืองคนสำคัญ มามีอิทธิพลในการเมืองโดยรวม

เห็นได้ชัดว่าแม้อดีตนายกอาเบะจะเสียชีวิตในวันศุกร์ที่ 8 กรกฏาคม แต่การเลือกตั้งในวันที่ 10 กรกฎาคมยังคงดำเนินต่อไป โดยไม่มีการเลื่อนหรือยกเลิก แสดงให้เห็นความเข้มแข็งของระบบทางการเมืองของประเทศญี่ปุ่นซึ่งมองไปยังกติกาและแนวทางแบบเป็นระบบ มากกว่าการยึดติดเพียงตัวบุคคล

แน่นอนว่า ประชาชนมีความสะเทือนใจกับเรื่องนี้ พรรค LDP จึงสามารถครองเสียงของสมาชิกวุฒิสภาจำนวน 63 ที่นั่ง นับเป็นครึ่งหนึ่งจาก 125 ที่นั่งซึ่งว่างอยู่

นอกจากนี้ประชาชนหลายฝ่ายยังความคาดหวังว่านโยบายการฟื้นฟูเศรษฐกิจของนายกรัฐมนตรี ฟุมิโอะ คิชิดะ จะดำเนินการตามความปรารถนาของอาเบะคือกระตุ้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจด้วยการส่งเสริมการลงทุนและนวัตกรรม พร้อมกับให้การสนับสนุนบริษัทตั้งแต่ขนาดใหญ่จนถึงธุรกิจท้องถิ่น เป็นต้น

ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่าผลงานของอดีตนายกอาเบะยังได้รับความไว้วางใจและความคาดหวังของภาคส่วนต่างๆ ที่กลายเป็นคะแนนของพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า

ขณะเดียวกันการเดินทางไปลงคะแนนเสียงอย่างเนืองแน่นของผู้คน ก็แสดงให้เห็นพลังของภาคประชาชน ซึ่งยังคงทำหน้าที่ตามสิทธิพลเมืองต่อไป แม้จะผ่านเรื่องโศกเศร้าในเวลาไม่นาน …

ระบบเหนือปัจเจก

แม้ว่าชาวญี่ปุ่นจะร่วมกันประณามการกระทำของผู้ก่อเหตุ แต่ก็เกิดการตั้งคำถามจากคนจำนวนมากว่า หากคำสารภาพของเขาเป็นจริงไซร้ ญี่ปุ่นกำลังเผชิญหน้ากับการปัญหาการกดทับที่ทำให้คนบางกลุ่มไม่สามารถหาทางออกจนแปรแปลี่ยนเป็นความแค้นเคืองใช่หรือไม่?

เพราะหากสืบประวัติของนายเท็ตสึยะจะพบว่า เขาเคยเป็นเด็กที่มีผลการเรียนและการเล่นกีฬายอดเยี่ยม ก่อนจะเปลี่ยนเป็นชายผู้เงียบครึมและปิดกั้นตัวเองจากคนรอบด้าน และไม่สามารถเข้ากับเพื่อนร่วมงานจนต้องย้ายที่ทำงานไปเรื่อยๆ

ซ้ำร้ายมารดาของเขากลับหันไปพึ่งลัทธิมูน บริจาคเงินอย่างหนักจนทำให้เขาและพี่ชายไม่สามารถเรียนต่อมหาลัยได้ จากนั้นพี่ชายก็มาชิงฆ่าตัวตายระหว่างพยายามรักษาตัวจากโรคร้าย กลายเป็นการสร้างความแค้นเคืองที่ไม่สามารถระบายออกมาให้ใครฟัง จนนำไปสู่การตัดสินใจก่อเหตุในที่สุด

…มีคำกล่าวว่าญี่ปุ่นมีเหตุรุนแรงไม่บ่อยก็จริง แต่ทุกครั้งมักจะโหดร้ายเกิดบรรยาย โดยเฉพาะจากกลุ่มบุคคลที่รู้สึกว่า “ระบบ” ของประเทศนั้นปฏิเสธการมีตัวตนของพวกเขา จึงกลายเป็นแรงขับเคลื่อนให้แสดงออกรุนแรงจนกลายเป็นข่าวอยู่หลายครั้ง

ว่าแต่ “ระบบ” ที่ว่านี้คืออะไรล่ะ?

การจะเข้าใจระบบของญี่ปุ่นในปัจจุบันได้ ก็ต้องเข้าใจอดีตมาก่อน เริ่มแรกสุด คนญี่ปุ่นนับถือชินโตซึ่งเป็นลัทธินับถือวิญญาณตามธรรมชาติแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่น (เทียบได้กับศาสนาผีของไทย) ก่อนจะรับศาสนาพุทธและลัทธิขงจื๊อมาจากจีนและเกาหลี

ขงจื้อสอนว่าผู้คนวัดคุณค่าได้จากความสามารถในการบรรลุหน้าที่สังคมคาดหวัง เช่นผู้ชายจะต้องทำหน้าที่เป็นพ่อและสามีที่ดี เป็นผู้นำ คอยรับใช้บ้านเมือง ส่วนผู้หญิงก็ต้องเป็นแม่และภรรยาที่ดี เป็นผู้รับใช้สนับสนุนฝ่ายชาย และไม่ว่าจะเพศไหนก็ต้องไม่เป็นภาระครอบครัว ต้องรักษาเกียรติของวงศ์ตระกูลเสมอ

ความเชื่อดังกล่าวอยู่ในวัฒนธรรมญี่ปุ่นทำให้ผู้คนญี่ปุ่นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และอุทิศตนพัฒนาสังคมจนเจริญได้ก็จริง แต่ในขณะเดียวกันก็กดทับคนเป็นอันมาก ซึ่งเราอาจจะเห็นจากข่าวว่าผู้หญิงญี่ปุ่นถูกจัดการอย่างไม่เท่าเทียมผู้ชายหลายกรณี

ทว่า จริงๆ ทั้งสองเพศล้วนโดนกดทับ เพราะใครก็ตามที่ “แตกต่าง” จากค่านิยมกระแสหลักในทางใดทางหนึ่ง เช่น สวยเกินไป เรียนเก่งเกินไป เป็นคนต่างชาติ (ไกจิน) เหล่านี้ก็ถือว่า “ผิด” ได้

มิเอโกะ นากาบายาชิ ศาสตราจารย์ด้านสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยวาเซดะ เปรียบให้ฟังว่า ญี่ปุ่นมองคนที่แตกต่าง “เหมือนตะปู” ที่งอกขึ้นมาเหนือตัวอื่น และต้องถูกตอกกลับเข้าไป …ซึ่งการตอกนั้นเจ็บปวดเสมอ

ยกตัวอย่างชัดเจนที่สุดคือ การแกล้งกันในโรงเรียนญี่ปุ่น ซึ่งทุกคนอาจเคยเห็นในการ์ตูน หรือภาพยนตร์ว่ามันค่อนข้างสุดโต่ง เช่นเขียนด่าบนโต๊ะเรียนด้วยคำหยาบคายเกินเด็ก หรือเรียกไปตบในห้องน้ำ บางครั้งอาจเป็นการที่คนทั้งห้องรุมแบนนักเรียนคนเดียว ทำเหมือนอีกฝ่ายเป็นสัตว์ หรืออาจเลยไปถึงขั้นรุมโทรมข่มขืนให้อับอายก็เคยเกิดขึ้นมาแล้ว

การแกล้งกันในโรงเรียนญี่ปุ่น ไม่ว่าจะโหดร้ายเพียงใด แต่เด็กก็มักถูกสังคมกดอีกต่อ ตรงที่พวกเขายังรู้สึกว่า ตนไม่ควรสร้างความเดือดร้อนให้ครอบครัว ไม่ควรทำให้พ่อแม่ รวมไปถึงครูไม่สบายใจ ดังนั้นจึงมีคนญี่ปุ่นหลายคนแบกรับความกดดันมาตั้งแต่เล็ก

…บางคนเมื่อโตขึ้นแล้วเจอทางออกก็เป็นสิ่งดี แต่บางคนเมื่อไม่สามารถรักษาเยียวยาแผลใจได้ ก็จะแสดงออกต่างๆ กัน ซึ่งก็มักเป็นความรุนแรงจากจิตที่บอบช้ำจนไม่อาจรู้ถูกผิดได้อีก

คนที่ไม่สามารถทนอยู่ในสังคมได้มักฆ่าตัวตายไปเงียบๆ แต่ก็มีไม่น้อยออกมาสร้างเหตุสะเทือนขวัญ เช่น การลอบวางเพลิงสตูดิโอเกียวโตอนิเมชั่นในปี 2019 เพราะผู้ก่อเหตุเชื่อว่าสตูดิโอนี้ลอกผลงานตัวเองไป

เรื่องนี้สอดคล้องกับที่ว่าผู้ลงมือก่อเหตุยิงอดีตนายก “เคยเป็นเด็กที่มีผลการเรียนและการเล่นกีฬายอดเยี่ยม ก่อนจะเปลี่ยนเป็นคนเงียบครึมและปิดกั้นตัวเองจากคนรอบด้าน”

…บางทีเขาเองก็อาจเป็นเหยื่อของ “ระบบ” ที่ทำร้ายเขาอยู่เสมอ ยิ่งเมื่อครอบครัวซึ่งเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจไม่อาจเป็นที่พึ่งให้เขาได้ จึงนำมาสู่โศกนาฏกรรมในครั้งนี้

 นายกรัฐมนตรีผู้ยิ่งใหญ่กับปัญหาอันใหญ่ยิ่ง

เมื่อท่านอ่านมาถึงจุดนี้จะเห็นว่า “ระบบอันแข็งแกร่ง” ของญี่ปุ่นนั้น ทำให้แม้แต่ความตายของผู้ยิ่งใหญ่ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงทิศทาง ด้านเศรษฐกิจและความมั่นคง เพราะระบบที่เข้มแข็งสามารถดำเนินไปโดยไม่ผูกติดไว้กับบุคคลใดบุคคลหนึ่ง

อย่างไรก็ตามการวาง “ระบบให้อยู่เหนือปัจเจก” นั้นก็สร้างผลกระทบให้กับประชากรส่วนหนึ่งจนเลยเถิดกลายเป็นการก่อเหตุสลดที่ไม่มีใครคาดฝันได้เช่นกัน

…สุดท้ายแล้วความตายของอดีตนายกอาเบะนั้นแสดงให้เห็นทั้งด้านที่เเข็งแกร่งและด้านเปราะบางของระบบสังคมญี่ปุ่น ซึ่งถือได้ว่าเป็นประเทศที่เจริญและมีระเบียบที่สุดแห่งหนึ่งในโลกว่า …ทุกสังคมย่อมมีทั้งมุมสว่างและมุมมืดที่ถูกมองข้ามนั่นเอง