สีกุมอำนาจต่อ/หูจิ่นเทาถูกลากตัว เกิดอะไรในการประชุมพรรคคอมมิวนิสต์จีนล่าสุด

ช่วงปลายเดือนตุลาคมในปี 2022 ที่ผ่านมา ได้มีการประชุมพรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งที่ 20 ซึ่งหลายฝ่ายจับตามอง สาเหตุเป็นเพราะการประชุมครั้งนี้จะกำหนดทิศทางของประเทศจีนซึ่งถือเป็นประเทศเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 2 ของโลกในเวลานี้

ประเด็นที่มีการประโคมมากที่สุดก็คงหนีไปพ้นการพิจารณาเรื่องวาระประธานาธิบดีสมัยที่ 3 ของสีจิ้นผิง ซึ่งจะเป็นการผิดธรรมเนียมการวางตัวผู้นำจีนไม่เกินสองวาระที่มีมาตั้งแต่สมัยเติ้งเสี่ยวผิง …แต่เรื่องที่น่าสนใจจริง ๆ ยังไม่หมดลงเพียงเท่านั้น โดยเฉพาะมีเมื่อดราม่าลากตัวอดีตผู้นำหูจิ่นเทาออกจากที่ประชุมด้วย

บทความนี้จึงจะขอพาทุกท่านมาติดตามการประชุมพรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งที่ 20 ในสายตาของนักวิเคราะห์กันนะครับ

การประชุมพรรคคอมมิวนิสต์จีนคืออะไร?

การประชุมพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นการประชุมของพรรคการเมืองที่จัดขึ้นทุก 5 ปี และในทางทฤษฎีถือเป็นงานสำคัญที่สุดของพรรค ใช้สำหรับเป็นเวทีประกาศการเปลี่ยนตัวผู้นำและการแก้ไขธรรมนูญของพรรค ซึ่งทำให้นี่เป็นที่สนใจของสื่อนานาชาติ

การประชุมพรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งที่ 20 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 16 ถึง 22 ตุลาคม 2022 มีประเด็นที่หลายฝ่ายจับตามองคือการสืบทอดวาระที่ 3 ของประธานาธิบดีสีจิ้นผิง หลังการประชุมพรรคฯ ครั้งก่อนได้มีการแก้ไขธรรมนูญของพรรคให้เลิกจำกัดวาระการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีที่สองวาระ ซึ่งวางมาตั้งแต่สมัยเติ้งเสี่ยวผิงไป

ก่อนหน้าการประชุมยังมีการเลื่อนการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญของจีนออกไป ทั้งที่เป็นตัวเลขที่ต้องประกาศออกมาเป็นประจำ ทำให้มีการตั้งข้อสังเกตว่าการกระทำดังกล่าวอาจเป็นเพราะตัวเลขไม่สู้ดีนักซึ่งอาจส่งผลเสียต่อสีจิ้นผิงในช่วงเวลาสำคัญจึงต้องรอ “ตกแต่งตัวเลข” ก่อน

นอกจากนี้ยังมีการประท้วงต่อต้านผู้นำจีนที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นการติดป้ายประท้วงในกรุงปักกิ่ง การเขียนกราฟิตีในบางหัวเมืองของจีน และกรณีที่เป็นข่าวดังคือการประท้วงที่สถานกงสุลจีนในเมืองแมนเชสเตอร์ ประเทศอังกฤษ ซึ่งมีผู้ประท้วงถูกลากเข้าไปทุบตีในพื้นที่สถานกงสุล และปรากฏว่าตัวกงสุลเองก็เข้ามาลากไปด้วย

…นี่สะท้อนให้เห็นถึงกระแสความไม่พอใจของประชาชนบางส่วน และมาตรการปราบปรามอย่างหนักของทางการจีน…

สุนทรพจน์เปิดประชุมของสีจิ้นผิงบอกอะไร?

สีจิ้นผิงใช้เวลา 104 นาทีกล่าวสุนทรพจน์เปิดการประชุม ประเด็นที่สีจิ้นผิงกล่าวนั้นพอจะสรุปออกมาได้ 5 ประเด็น คือ

1) ประเด็นไต้หวันและฮ่องกง เขากล่าวชื่นชมการกวาดล้างผู้นิยมประชาธิปไตยและผู้เห็นต่างทางการเมืองในฮ่องกง และเน้นย้ำจุดยืนเกี่ยวกับไต้หวัน โดยบอกว่าจีนยังต้องการรวมชาติกับไต้หวัน “อย่างสันติ” …แต่พร้อมใช้กำลังถ้าจำเป็น

2) ประเด็นเศรษฐกิจ เขารับทราบว่าเศรษฐกิจกำลังชะลอตัวลงและเกิดปัญหาเรื่องความเหลื่อมล้ำ และเขาสัญญาว่าจะออกกฎระเบียบเพื่อเอื้อต่อการกระจายความมั่งคั่งมากขึ้น นอกจากนั้นเขายังชูเรื่องการพึ่งพาตัวเองทางเศรษฐกิจ หลังเกิดสงครามการค้ากับสหรัฐ

3) ประเด็นคอร์รัปชัน เขาย้ำว่าจะเดินหน้าปราบคอร์รัปชั่นต่อไป แม้ที่ผ่านมาจะมีคนถูกสอบสวนไปแล้วหลักล้านคนก็ตาม ซึ่งหลายคนก็เป็นฝ่ายตรงข้ามของสี

4) ประเด็นนโยบายต่างประเทศ เขาส่งสัญญาณว่าจีนจะดำเนินนโยบายขยายอำนาจและก้าวร้าวต่อไป พร้อมทั้งเตือนประชาคมโลกว่าอย่าเข้ามาแทรกแซงในเรื่องที่จีนมองว่าเป็นกิจการภายใน ซึ่งรวมถึงประเด็นร้อนอย่างข้อกล่าวหาว่าจีนอาจกำลังก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติในซินเจียง

5) ประเด็นสิ่งแวดล้อม เขาประกาศว่าจะดำเนินนโยบายลงทุนในพลังงานทดแทน และตั้งเป้าว่าจะลดการปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ให้ได้ภายในปี 2060

จากประเด็นทั้ง 5 ที่พอสรุปได้จากสุนทรพจน์ของสีก็น่าจะพอบอกได้ว่าส่วนใหญ่เขาจะยังสานต่อนโยบายต่าง ๆ ที่เขาริเริ่มต่อไป…

สีเป็นผู้นำสมัย 3 ตามคาด แถมเขี่ยคู่แข่งเรียบ

ในการประชุมครั้งนี้ หลายฝ่ายจับตามองว่าสีจะได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดีสมัยที่ 3 ต่อไปหรือไม่ โดยเฉพาะหลังจากผลกระทบจากนโยบายโควิดเป็นศูนย์ซึ่งอาจกระทบต่อบารมีของเขาในฐานะผู้ออกนโยบาย

…แต่ส่วนใหญ่ก็เก็งว่าเขายังอยู่ และไม่ได้ผิดคาด เพราะสีได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดีสมัย 3 ต่อ…

แต่ทีนี้ลองมาดูรายชื่อคณะกรรมการถาวรประจำกรมการเมืองของพรรค หรือโปลิตบูโร อีก 6 คน (รวมสีเป็น 7 คน) กันนะครับ

1) หลี่ เฉียง (Li Qiang) เลขาธิการพรรคประจำเซี่ยงไฮ้ซึ่งรับผิดชอบการล็อกดาวน์ในช่วงต้นปี 2022 เขาถูกมองว่าเป็นพันธมิตรใกล้ชิดของสีและเอื้อภาคธุรกิจ คาดว่าจะมารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อจากหลี่ เค่อเฉียง

2) จ้าว เล่อจี้ (Zhao Leji) หัวหน้าคณะกรรมการกลางเพื่อการสอบวินัย เขาเป็นดาวรุ่งในพรรคและมาจากมณฑลซ่านซีเช่นเดียวกับสีจิ้นผิง ก่อนหน้านี้เขาตรวจสอบเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่รับสินบนหลายคน คาดว่าจะได้เป็นประธานคณะกรรมาธิการสามัญประจำสภาประชาชนแห่งชาติ

3) หวัง ฮู่หนิง (Wang Huning) เลขาธิการคนที่ 1 ประจำสำนักเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ เป็นนักทฤษฎีการเมืองของพรรคที่วางอุดมการณ์ทางการเมืองให้กับเจียงเจ๋อหมินและหูจิ่นเทามาแล้ว กล่าวกันว่าแผนเข็มขัดและเส้นทางหรือเส้นทางสายไหมใหม่ก็เป็นไอเดียของเขาด้วย เชื่อว่าเขาจะได้ดำรงตำแหน่งเป็นประธานการประชุมสภาที่ปรึกษาการเมืองแห่งชาติจีน (CPPCC) ซึ่งมีการเปรียบเปรยว่าเหมือนสภาสูงของประเทศอื่น

4) ไช่ ฉี (Cai Qi) เลขาธิการพรรคประจำกรุงปักกิ่ง จะได้เป็นเลขาธิการคนที่ 1 ประจำสำนักเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์แทนหวัง เขามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสีมาตั้งแต่ทำงานในมณฑลฝูเจี้ยนกับเจ้อเจียง และมีผลงานจัดโอลิมปิกฤดูหนาวท่ามกลางช่วงโควิดระบาด

5) ติง เซวียเสียง (Ding Xuexiang) ผู้อำนวยการสำนักงานทั่วไปพรรคคอมมิวนิสต์ เป็นบุคคลสนิทของสีและปรากฏตัวอยู่ข้างกายเขาอยู่บ่อยครั้ง คาดว่าต่อไปจะได้เป็นรองนายกรัฐมนตรี

6) หลี่ ซี (Li Xi) เลขาธิการพรรคประจำมณฑลกวางตุ้ง เขาจะได้เป็นหัวหน้าคณะกรรมการกลางเพื่อการสอบวินัยแทนจ้าว เขามีผลงานช่วยแก้ไขกรณีอื้อฉาวการตกแต่งข้อมูลเศรษฐกิจในมณฑลเหลียวหนิงเมื่อปี 2017 และมีแนวคิดพัฒนาอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและปฏิรูปเศรษฐกิจในมณฑลกวางตุ้ง

ทั้ง 6 คนนี้ถือได้ว่าเป็น “คนของสี” ทั้งสิ้น จึงเรียกได้ว่าได้กวาดล้างฝ่ายอื่น ๆ ออกไปจากตำแหน่งสูงสุดในพรรคหมดแล้ว

นี่ถือเป็นเรื่องที่น่าจับตา เพราะหลังจากยุคเหมาเจ๋อตงเป็นต้นมา เติ้งเสี่ยวผิงได้วางระบบผู้นำหมู่คณะ (Collective leadership) เพื่อให้เกิดระบบคานอำนาจภายในพรรคมากขึ้น (แม้ว่าจริง ๆ อาจมองได้ว่าเติ้งยังเป็นผู้มีอำนาจอยู่หลังฉากที่ดันเจียงเจ๋อหมินและหูจิ่นเทาขึ้นมานั่นแหละ)

อย่างหลี่เค่อเฉียงที่เป็นนายกรัฐมนตรี และหวังหยาง ประธานการประชุม CPPCC คนปัจจุบัน ถือได้ว่ามาจากสันนิบาตเยาวชนหรือถวนพ่าย (Tuanpai) ซึ่งเป็นกลุ่มอิทธิพลของอดีตผู้นำจีน หูจิ่นเทา ที่คอยถ่วงดุลสีจิ้นผิงในโปลิตบูโรชุดก่อน

อีกด้านหนึ่ง รองนายกรัฐมนตรี หู ชุนหวา (Hu Chunhua) พันธมิตรคนสำคัญของหลี่ และหานเจิ้ง (Han Zheng) พันธมิตรของกลุ่ม “แก๊งเซี่ยงไฮ้” ของเจียงเจ๋อหมิน นอกจากจะไม่ได้เป็นคณะกรรมการถาวรของโปลิตบูโรแล้ว ยังถูกอัปเปหิออกไปทีเดียว…

ที่ผ่านมาคณะกรรมการถาวรโปลิตบูโรมีข้อกำหนดอย่างไม่เป็นทางการว่า เมื่อสมาชิกคนใดมีอายุเกิน 68 ปีจะต้องเกษียณไป แต่ในคณะกรรมการถาวรโปลิตบูโรชุดนี้มีการปรับสมาชิกที่อายุยังไม่ถึงเกณฑ์ออก และสมาชิกที่อายุเกินแล้วบางคนก็ยังได้อยู่ต่อ โดยดูเหมือนว่าสีจะให้ความสำคัญกับเรื่องความจงรักภักดีต่อตนเองมากกว่าประเพณีของพรรคที่ผ่านมา

มีสื่อตั้งข้อสังเกตว่าสีไม่ได้วางตัวทายาททางการเมืองไว้อย่างชัดเจน แปลว่าสีจะต้องมั่นใจพอสมควรว่าจะไม่มีคลื่นใต้น้ำหรืออุบัติเหตุทางการเมือง และน่าจะได้เป็นผู้นำต่อไปหลังครบสมัยที่ 3

…ไม่เคยมีผู้นำจีนคนใดมีอำนาจมากเท่านี้ มาตั้งแต่ยุคเหมาเจ๋อตงแล้ว…

ท็อปกองทัพชุดใหม่สะท้อนจุดยืนเรื่องไต้หวัน

คณะกรรมการกลางการทหารของจีนมีสมาชิก 8 คน ประธาน 1 รองประธาน 2 และสมาชิกอีก 4 ในการประชุมพรรคครั้งที่ 20 นี้ มีสมาชิกจากคณะกรรมการชุดเดิม 5 คน โดยสียังคงเป็นประธาน และยังไม่มีการวางตัวทายาทอย่างชัดเจน

ส่วนสมาชิกใหม่ 3 คน ได้แก่ เหอเว่ยตง (He Weidong) อดีตผู้บัญชาการกองบัญชาการเขตสงครามตะวันออก ซึ่งรับผิดชอบปฏิบัติการของกองทัพบกที่เกี่ยวข้องกับไต้หวันนั้นยังมีความสัมพันธ์กับสี ตั้งแต่สมัยคุมกำลังอยู่มณฑลฝูเจี้ยนสมัยที่สีเป็นผู้ว่าการมณฑลที่นั่น

คนที่สองชื่อ หลีชางฟู่ (Li Shangfu) เป็นอดีตหัวหน้าฝ่ายพัฒนายุทโธปกรณ์ของคณะกรรมการฯ และคาดว่าจะได้เป็นรัฐมนตรีกลาโหมคนต่อไป ก่อนหน้านี้เขาจัดซื้อเครื่องบินขับไล่ซู-35 และระบบขีปนาวุธพื้นสู่อากาศเอส-400 ทำให้ถูกสหรัฐคว่ำบาตร

และคนสุดท้าย หลิวเจิ้นลี่ (Liu Zhenli) อดีตผู้บัญชาการทหารบก และคาดว่าจะได้เป็นหัวหน้าเสนาธิการ เขาเคยมีประสบการณ์รบจริงกับเวียดนามสมัยทศวรรษ 1980s

จากลักษณะของสมาชิกใหม่ทั้ง 3 คนทำให้มีนักวิเคราะห์มองว่าคณะกรรมการกลางการทหารชุดใหม่มี 4 ประเด็นที่น่าจับตา คือ

1) คณะกรรมการฯ ชุดใหม่เน้นกองทัพบกเป็นหลัก เพราะมีสมาชิกมาจากเหล่าทัพบกถึง 4 คนจาก 6 คน และไม่มีสมาชิกจากเหล่าทัพอากาศเลย

2) คณะกรรมการฯ ชุดใหม่เน้นประสบการณ์บางประเภท ไม่ว่าจะเป็นฝั่งเวียดนามหรือไต้หวัน และสมาชิกคนสำคัญมีประสบการณ์ครอบคลุมทุกเขตสงครามที่สำคัญ

3) คณะกรรมการฯ ชุดใหม่เน้นประสบการณ์ในเรื่องยุทโธปกรณ์และวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีด้านกลาโหม ทำให้เชื่อว่าความพยายามพัฒนากองทัพบกให้ทันสมัยจะยิ่งเข้มข้นขึ้น

4) และต้องไม่ลืมว่าทุกคนมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสี ซึ่งมีส่วนสำคัญที่ทำให้พวกเขาเหล่านี้ได้รับเลือก

ทิศทางรัฐนาวาจีนหลังจากนี้

จากที่กล่าวมาทั้งหมดท่านคงเห็นอำนาจและการควบคุมเหนือพรรคของสีจิ้นผิงที่เข้มข้นขึ้นมาก แต่นั่นจะส่งผลอย่างไรต่อนโยบายของจีน?

ประการแรก ความตึงเครียดในประเด็นไต้หวันจะยังดำเนินต่อไป วาทกรรมของสีจิ้นผิงดูจะต้องการผนวกไต้หวันมารวมกับจีนให้ได้ โดยอาจมีการวางเป้าหมายก่อนประเทศจีนจะมีอายุครบ 100 ปีในปี 2049

อย่างไรก็ตาม หากทำเช่นนั้นจะเกิดความขัดแย้งใหญ่กับชาติมหาอำนาจอย่างสหรัฐอย่างแน่นอน และจะส่งผลกระทบที่ใหญ่กว่าสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่กำลังดำเนินอยู่ในขณะนี้ด้วย!

ประการที่สอง การดำเนินนโยบายต่างประเทศของจีนจะยังดำเนินต่อไป ซึ่งจะมีลักษณะก้าวร้าวและเผชิญหน้า จนทำให้ผลสำรวจในหลายประเทศมองจีนในแง่ลบสูงสุดเป็นประวัติการณ์

แม้การช่วยเหลือเรื่องการพัฒนาแก่ชาติอื่นจะยังเป็นเครื่องมือต่างประเทศที่สำคัญของจีนในการสร้างความชอบธรรมในเวทีโลก แต่กระนั้นจีนกลับยังไม่มีการระบุแผนการออกมาชัดเจน แม้แต่โครงการเข็มขัดและเส้นทางก็มีการกล่าวถึงลดลงขณะที่ชาติตะวันตกได้เข็นแผนการของตัวเองออกมาสู้แล้ว

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่านโยบายต่างประเทศของสีจะมองไปยังประเทศพัฒนาแล้วเป็นส่วนใหญ่ ส่วนประเทศกำลังพัฒนาและประเทศยากจนนั้นดูเหมือนว่าจะมีความสำคัญรอง ๆ ลงมาในสายตาของนักวิเคราะห์

ประการที่สาม ดูเหมือนว่าสีจะกลับมาให้ความสนใจกับนโยบายในประเทศเป็นหลัก โดยเน้นเรื่องการเติบโตภายในประเทศและการกลับมาเปิดประเทศหลังนโยบายโควิดเป็นศูนย์

การวางตัวผู้นำทีมเศรษฐกิจของประเทศคนใหม่ที่มีการปลดสมาชิกสายปฏิรูปเศรษฐกิจหลายคน ทำให้มีการเก็งกันว่าสีอาจต้องการเน้นย้ำแนวทางชาตินิยมทางเศรษฐกิจมากขึ้น ซึ่งนั่นหมายถึงการพึ่งพาตนเอง ลดการนำเข้าและลดภาคเอกชน นอกจากนี้ยังอาจเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีของตนเองและลดการอาศัยห่วงโซ่อุปทานของโลก

สีเองรับทราบปัญหาทางเศรษฐกิจต่าง ๆ รวมทั้งการเติบโตที่ชะลอตัว และปัญหาหนี้สินในภาคอสังหาริมทรัพย์ แต่ดูเหมือนจะยังไม่มีทางแก้ไขออกมาชัดเจน

…ประเด็นทางเศรษฐกิจนี้เองที่จะส่งผลต่อประเทศคู่ค้าของจีนอย่างมาก เพราะเชื่อว่าจีนจะลดการนำเข้าสินค้าต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าในภาคที่มีความอ่อนไหว เช่น เทคโนโลยี จะทำให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงตามไปด้วย

ดราม่าปิดท้าย: หูจิ่นเทาถูกลากออกที่ประชุม!? 

ก่อนปิดการประชุม ยังมีอีกประเด็นหนึ่งที่เป็นที่กล่าวขานกันมากคือปรากฏภาพว่าหูจิ่นเทาถูกนำตัวออกจากห้องประชุม โดยหูมีท่าทีขัดขืนและจับกระดาษแผ่นหนึ่งไว้แน่น

แม้ทางการจะอธิบายออกมาว่าเขาถูกนำตัวออกจากที่ประชุมด้วยปัญหาสุขภาพ แต่ก็มีการเซ็นเซอร์สื่อทั้งตัวหูและลูกชายเขาหลังจากนั้น

อย่างไรก็ตาม มีสื่อวิเคราะห์มากมายว่านี่อาจเป็นการจงใจทำ เพื่อเป็นการ “หักหน้า” หูจิ่นเทา และรายงานว่าหูถูกนำตัวออกไปขณะที่พยายามดูกระดาษแผ่นหนึ่งซึ่งน่าจะเป็นรายงานของคณะกรรมการพรรคที่จะมีการโหวต (หลังจากนำตัวหูออกไป ปรากฏว่าที่ประชุมออกเสียงสนับสนุนเป็นเอกฉันท์โดยไม่มีการงดออกเสียงเลย)

…ถึงแม้ว่าหูจิ่นเทาอาจจะป่วยจริงๆ แต่มันก็มีหลายเรื่องให้ชวนสงสัย ไม่ว่าคนที่นำตัวออกไปไม่ใช่ทีมแพทย์ และคนที่เหลืออยู่รอบข้างดูตะลึงและนิ่งไม่ต่างกัน

ปกติบรรยากาศการประชุมระดับสูงของจีนมักจะมีการจัดฉากมาแล้วอย่างดีให้ดูมีระเบียบ เมื่อเกิดเหตุการณ์ “นอกบท” เช่นนี้จึงกลายเป็นที่โจษจันขึ้นมา

บทส่งท้าย

5 ปีหลังจากนี้ นับว่าสีจิ้นผิงได้เข้าควบคุมอำนาจภายในพรรคและประเทศจีนอย่างเบ็ดเสร็จ จนแทบไม่เหลือเสียงต่อต้านอีกต่อไป

นับได้ว่าระบบคานอำนาจกันภายในพรรค ที่อาจพอมีอยู่บ้างตั้งแต่ยุคเติ้งเสี่ยวผิง มาถึงตอนนี้ได้กลับเข้าสู่ระบบผู้นำคนเดียวแบบยุคเหมาเจ๋อตงอย่างเป็นทางการแล้ว

สีจิ้นผิงเป็นผู้นำสูงสุดของจีนมาแล้ว 10 ปี มีผลงานใดออกมาบ้าง คงผ่านสายตาของท่านมาแล้วไม่มากก็น้อย และอีก 5 ปีหลังจากนี้ก็คงจะได้ติดตามผลงานของเขากันต่อไปครับ