ทุกท่านเคยสงสัยหรือไม่? ว่าเหตุใดประเทศซึ่งมีกฏหมายต่อต้านการค้าประเวณีมานานกว่า 60 ปี ยังถูกขนานนามว่าเป็นเมืองหลวงธุรกิจค้ากามของโลกมาจนถึงปัจจุบัน? กิจการเหล่านี้ยังคงสร้างรายได้มหาศาล เปิดต้อนรับลูกค้าที่เดินทางมาแสวงหาความพึงพอใจอยู่เสมอ จนกลายมาเป็นหัวข้อการถกเถียงว่า “ธุรกิจเหล่านี้ควรถูกจัดระเบียบให้มีความถูกต้องโปร่งใส เพื่อลดปัญหาคอร์รัปชัน และสิทธิมนุษยชนหรือไม่?”
ขณะที่ผู้ค้าประเวณียังคงอยู่ในเงามืด ด้วยสถานะของ “ธุรกิจสีเทา ที่อนุญาตให้บุคคลบางกลุ่มสามารถดำเนินการได้ด้วยเงื่อนไขพิเศษ” แต่หากเราสืบค้นกลับไปในอดีตจะพบว่า แท้จริงแล้วการค้าประเวณีในประเทศไทยนั้นมีรากเง้ายาวนานมาตั้งแต่ยุคกรุงศรีอยุธยาและยังเป็นธุรกิจถูกกฏหมาย! สามารถสร้างรายได้แก่รัฐแบบเป็นกอบเป็นกำ ก่อนจะถูกเปลี่ยนแปลงตามค่านิยม และบริบทของสังคมโลก จนกลายสภาพเหมือนในปัจจุบัน
ประวัติการค้าประเวณีในประเทศไทย
หลักฐานทางประวัติศาสตร์ระบุว่า จุดกำเนิดของการค้าประเวณีในประเทศไทย สามารถสืบย้อนไปถึงสมัยกรุงศรีอยุธยา ตามบทบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับการค้าประเวณีเช่น “พระไอยการลักษณะลักพา” พ.ศ. 1901 (ค.ศ. 1358) และ “พระไอยการลักษณะผัวเมีย” พ.ศ. 1904 (ค.ศ. 1361) โดยมีจุดประสงค์สำคัญคือการจัดเก็บภาษี เพื่อสร้างรายได้ต่อแผ่นดิน
รูปแบบของโสเภณีในอดีต
มีการกล่าวถึงประเภทของหญิงประกอบอาชีพของโสเภณี คือ นางทาสทั้งรูปแบบเชลยจากศึกสงคราม และชาวบ้านยากจนที่ถูกทางครอบครัวขายจากความอัตคัดหรือติดหนี้การพนัน
ขณะเดียวกันมีบันทึกชาวต่างชาติระบุว่า โสเภณีจำนวนหนึงมาจากครอบครัวขุนนาง แต่ถูกบิดาหรือสามีขายเข้าซ่องเพื่อเป็นการลงโทษจากการทำผิด
ต่อมาในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช มีการอนุโลมให้เจ้าของทาสสามารถนำทาสหญิงค้าประเวณีได้อย่างเปิดเผย แลกกับการเสียภาษีถวายราชสำนัก และถ้าใครจ่ายภาษีมากก็อาจได้รับแต่งตั้งให้มียศ
เหตุนี้ส่งผลให้มีนายทาสหลายคนเปิดกิจการซ่อง เพื่อแลกกับยศถาบรรดาศักดิ์ เช่นกรณีของ ออกญามีน ที่ราชทูตฝรั่งเศส ลาลูแบร์ เขียนบันทึกว่า “เป็นบุคคลที่ได้รับการดูถูกดูแคลน มีแต่หนุ่มลามกเท่านั้นที่ไปติดต่อด้วย” แต่ออกญามีนกลับได้รับยศเพราะส่งส่วยนั่นเอง
การค้าประเวณียุครัตนโกสินทร์
ตามข้อมูลของวิทยานิพนธ์เรื่อง “โสเภณีกับนโยบายของรัฐบาลไทย พ.ศ. 2411 – 2503” โดย ดารารัตน์ เมตตาริกานนท์ ระบุว่าในรัชสมัยของสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 มีการขึ้นทะเบียนโสเภณีอย่างเป็นระบบพร้อมกับการปฏิรูประบบการจัดเก็บภาษีเรียกว่า “ภาษีบำรุงถนน”
ต่อมามีการตรา “พระราชบัญญัติป้องกันสัญจรโรค” รัตนโกสินทร์ศก 127 (พ.ศ. 2451 หรือ ค.ศ. 1908) ที่กำหนดให้โรงโสเภณี ต้องประดับโคมแขวนไว้หน้าโรงเป็นเครื่องหมาย จนเกิดคำเรียกว่า “โรงโคมเขียว” เพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถเข้ามาตรวจสอบ พร้อมทั้งมีกฎหมายควบคุมอย่างเป็นระบบ
กฎหมายเกี่ยวกับโสเภณีในพระราชบัญญัติป้องกันสัญจรโรคมีเช่น:
- ผู้ที่จะดำเนินกิจการดังกล่าว ต้องเป็นผู้หญิงและได้รับอนุญาติจากเจ้าพนักงาน รวมถึงมีหน้าที่จัดทำบัญชีหญิงโสเภณีทั้งเข้าใหม่ และกำลังทำงานอยู่
- ผู้ที่ประกอบอาชีพโสเภณีต้องมีใบอนุญาต โดยเสียค่าธรรมเนียมราคา 12 บาท และใบอนุญาตนั้นมีอายุ 3 เดือน
- ห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปีประกอบอาชีพดังกล่าว
- ห้ามนายโรงทำการกักขังหรือทำผิดสัญญาผูกมัดที่เคยทำไว้
- ห้ามโสเภณี เรียกแขกด้วยการยื้อยุด ฉุดลาก จนสร้างความรำคาญต่อผู้สัญจรผ่าน
จากข้อกำหนดเหล่านี้ จะเห็นว่ามีการปกป้องสิทธิของทั้งหญิงโสเภณี และลูกค้ามาตั้งแต่อดีต
ความนิยมของการค้าประเวณีในสมัยรัตนโกสินทร์
จากรายงานของ นายพันตำรวจโท พระอนุรักษ์นครินทร์ ผู้กำกับการตำรวจพระนครบาลกองพิเศษ ถึงผู้บัญชาการตำรวจพระนครบาลกรุงเทพฯ เกี่ยวกับการจดทะเบียนหญิงนครโสเภณี ระหว่างเดือนตุลาคม ถึงวันที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2468 (ค.ศ. 1925) ระบุว่า มีโรงหญิงนครโสเภณีจำนวน 204 โรง และมีหญิงโสเภณีรวม 855 คน ดังนั้นจึงเห็นได้ว่าธุรกิจค้าประเวณีในไทยนั้นเฟื่องฟูและได้รับความนิยมมาตลอด
นอกจากนี้ยังมีเจ้าของโรงโสเภณีชื่อดังแห่งตรอกเต๋า (เยาวราชซอยแปด) สร้างวัดถึง 2 แห่งคือ “วัดคณิกาผล” ที่เดิมเรียกว่าวัดใหม่ยายแฟง (ตามชื่อผู้ออกทุนสร้าง) และวัดกันมาตุยาราม สร้างโดยแม่กลีบลูกสาวของยายแฟง ที่มารับช่วงกิจการต่อจากมารดา แสดงให้เห็นว่าอาชีพนี้ค่อนข้างมีฐานะ
จุดเปลี่ยนแปลงสู่ธุรกิจสีเทา
กิจการโรงโคมเขียวในไทยเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง มีผู้ใช้บริการคับคั่ง จนเรียกว่ามีให้เห็นทั่วไปแทบทุกตรอกซอกซอย
อย่างไรก็ตาม เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง กระแสต่อต้านการค้ามนุษย์ของสหประชาชาติกลายเป็นบรรทัดฐานที่รัฐบาลในหลายประเทศ พยายามดำเนินนโยบายตาม
เมื่อประกอบกับปัญหาการแบ่งผลประโยชน์ของข้าราชการกลุ่มต่างๆ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัช จึงออกพระราชบัญญัติปรามการค้าประเวณี ค.ศ. 1960 (พ.ศ. 2503) นำไปสู่จุดสิ้นสุดของธุรกิจการค้าประเวณีแบบถูกกฎหมายในประเทศไทยที่มีผลมาถึงปัจจุบันนี้
อย่างไรก็ตาม ระหว่างสงครามเวียดนาม (ค.ศ. 1955 – 1975) กองทัพสหรัฐ ได้เลือกกรุงเทพเป็นหนึ่งในจุดหมายหลักของการพักผ่อนหย่อนใจ (R&R หรือ Rest and Relaxation) โดยประเมินว่า มีทหารสหรัฐหมุนเวียนเข้ามายังประเทศไทยระหว่างปี 1966 และ 1969 มากถึง 70,000 นาย
การเข้ามาของทหารอเมริกาทำให้เกิดลู่ทางการประกอบกิจการธุรกิจสีเทา ทั้งในรูปแบบของ บาร์นั่งดื่ม, ไนท์คลับ, บาร์, อะโกโก้ รวมถึงร้านนวดที่เปลี่ยนการค้าบริการทางตรง มาเป็นการให้บริการนวดแบบปกติ แต่ลูกค้าสามารถเลือกจะสานต่อความต้องการของตนกับผู้ให้บริการแบบตกลงกันเองได้
…แน่นอนว่ากลุ่มผู้สนับสนุนหลักคือเหล่าผู้มีอำนาจในรัฐบาล ทำให้ธุรกิจเหล่านี้สามารถดำรงอยู่คู่กับสังคมไทยมาจนถึงปัจจุบัน
ค่านิยมของยุคสมัย… และการถูกกดทับของอาชีพโสเภณี
แม้ว่าค่านิยมของสังคมจะเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย ทำให้รูปแบบของการค้าประเวณีต้องปรับเปลี่ยนไปตามสภาพแวดล้อมโดยรอบ แต่ความจริงข้อหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงและยากจะปฏิเสธคือ คุณภาพชีวิตของโสเภณีจำนวนมากตกอยู่ใต้อำนาจการกดทับอยู่เกือบทุกยุคสมัย นับตั้งแต่ยุคกรุงศรีอยุธยา โดยผู้หญิงเหล่านี้มีสถานะเป็นเพียงทรัพย์สินในสังคมชายเป็นใหญ่
ล่วงเลยมาจนสมัยรัตนโกสินทร์ แม้จะมีการลงทะเบียนอย่างเป็นระบบแบบ “นางประจำสำนัก” แต่มุมมองทางสังคมยังมองผู้หญิงเหล่านี้ เป็นเพียงส่วนเกินของสังคม ผู้มีหน้าที่เพียงการสนองต่อกามารมณ์ของผู้ใช้บริการ…
ดังที่เห็นจากคำเรียกว่า “นางสำเพ็ง” เนื่องจากย่านสำเพ็งเป็นแหล่งค้าบริการยอดนิยมในสมัยนั้นหรือ “นางบาป” ซึ่งถูกใช้เปรียบเทียบกับสตรีที่มีประพฤติตนสำส่อน จนกลายเป็นการกดทับสิทธิด้วยกฎหมาย ทั้งที่ในความเป็นจริงบุคคลเหล่านี้ควรได้รับการคุ้มครองในฐานะพลเมืองในสังคมของรัฐสมัยใหม่ ที่มีศักดิ์ศรีเท่าเทียมกับอาชีพอื่นๆ
มุมมอง และความเปลี่ยนแปลงจากปัจจุบันถึงอนาคต
แน่นอนว่าธุรกิจการค้าประเวณีในทุกวันนี้ยังคงถูกจัดให้อยู่ในหมวดของธุรกิจผิดกฎหมาย และถูกค่านิยมสังคมตราหน้า ทั้งที่ผู้ใช้บริการจำนวนไม่น้อยซึ่งเข้ามาแสวงหาความพึงพอใจจากแดนสนธยาเหล่านี้ ก็คือเหล่าคนมีหน้ามีตา หรือผู้มีชื่อเสียงในสังคม ส่งผลให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง
ประกอบกับในยุคปัจจุบันเกิดแนวคิดรูปแบบเสรีนิยม ที่ให้ความสำคัญต่อ “หลักสิทธิมนุษยชน” ได้เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ประเด็นของอุตสาหกรรมการค้าประเวณี ถูกนำมาพูดถึงบ่อยครั้ง โดยเฉพาะมุมมองด้านการให้คุณค่าของแรงงาน
มีความเคลื่อนไหวและตั้งคำถามมากมาย เช่น พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2539 ควรได้รับการปรับปรุง ให้เหมาะสมกับยุคสมัยหรือไม่?
เพราะถึงจะยังไม่สามารถทำให้ถูกกฎหมาย แต่รัฐยังสามารถคุ้มครองผู้ประกอบอาชีพในฐานะพลเมืองของประเทศ ไม่ใช่ถูกปล่อยปละละเลยอย่างที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
มีคำถามอีกว่าการออกกฎว่าค้าประเวณีทุกรูปแบบให้ผิดกฎหมายนั้น ทำให้การค้าประเวณีลดลงหรือไม่? แล้วการทำลายบรรทัดฐานของธุรกิจที่เคยมีตั้งยุคโบราณนั้นนับเป็นการสนับสนุนสิทธิมนุษยชน หรือทำให้สิทธิมนุษยชนแย่ลงกันแน่? และกฎหมายนี้เอื้อให้มีการคอร์รัปชันมากขึ้นในรูปแบบที่ผู้ประกอบการต้องส่งส่วยให้ผู้มีอิทธิพล แทนที่จะเสียภาษีแก่ประเทศอย่างถูกต้องใช่หรือเปล่า?
…มีคนจำนวนมากเพียงใดถูกรังแกและลดศักดิ์ศรีเพราะกฎหมายนี้? รัฐไทยสูญเสียรายได้มากเพียงใดให้กับกฎหมายนี้?
สุดท้ายแล้ว การแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนควรมาจากการเปลี่ยนแปลงจากธุรกิจการค้าบริการสู่ช่องทางการหารายได้แบบเปิดเผย และสามารถตรวจสอบได้
…ทั้งนี้เพื่อยุติเงาของแดนสนธยาที่ “คนนอกไม่สามารถเข้าถึง แต่คนในไม่สามารถเรียกร้องได้” เช่นนี้…
0 Comment