ความเคลื่อนไหวที่สำคัญอย่างหนึ่งจากสงครามรัสเซีย – ยูเครนเมื่อ 2022 ที่ผ่านมา นั่นคือ การประกาศผนวกดินแดน 4 แคว้นของยูเครนทางตะวันออกและใต้ของปูติน …พร้อมกับบอกเซเลนสกีว่าให้ยอมวางอาวุธและมาเจรจาได้แล้ว
…ซึ่งก็คงมองได้ว่า ปูตินคิดว่ารัสเซียบรรลุเป้าหมายในสงครามครั้งนี้แล้ว และกำลังพยายามหาทางลงอยู่
ข้างฝ่ายเซเลนสกียืนยันจะเดินหน้ากอบกู้แผ่นดินยูเครนกลับมา พร้อมทั้งขอเข้าเป็นสมาชิกนาโต้โดยใช้ช่องทางเร่งด่วน ซึ่งทำให้เกิดความกังวลว่าถ้ายูเครนต่อสู้ในดินแดนที่ถูกรัสเซียผนวกไป ปูตินอาจ “บ้าระห่ำ” ใช้อาวุธนิวเคลียร์ขึ้นมาได้!
ผนวกดินแดน
เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2022 วลาดีมีร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย ลงนามสนธิสัญญาซึ่งมีเนื้อหาผนวกดินแดน 4 แคว้นของยูเครน ได้แก่ โดเนตสก์ ลูฮันสก์ เคอร์ซอนและซาปอริฌเฌีย กับผู้นำดินแดนนิยมรัสเซีย
และในวันที่ 3 ตุลาคม สภาดูมาของรัสเซียได้ออกเสียงรับรองการผนวกดินแดนดังกล่าว ด้วยเสียงเอกฉันท์
ในวันที่ 5 ตุลาคม 2022 ปูตินลงนามการผนวกดินแดนเป็นกฎหมายเรียบร้อย …หลังจากนี้ “ประเทศโดเนตสก์” และ “ประเทศลูฮันสก์” ที่ประกาศตั้งขึ้นในปี 2014 จะไม่มีอีกต่อไป เพราะรวมกับรัสเซียไปเรียบร้อยแล้ว
พื้นที่ที่ถูกผนวกไปนั้นมีขนาด 90,000 ตร.กม. หรือคิดเป็นประมาณร้อยละ 15 ของยูเครน และมีขนาดใหญ่พอๆ กับฮังการีหรือโปรตุเกสทั้งประเทศ …นับเป็นการผนวกดินแดนครั้งใหญ่สุดนับที่ประเทศหนึ่ง ๆ เคยทำนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง
ดินแดนส่วนนี้ยังเป็นสะพานบกเชื่อมคาบสมุทรไครเมียกับแผ่นดินใหญ่รัสเซีย และตัดขาดยูเครนจากทะเลอะซอฟด้วย
มีตัวเลขระบุว่ารัสเซียอาจต้องใช้งบบูรณะพื้นที่ที่ผนวกไปนี้ 1 ถึง 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งรัสเซียก็ประกาศออกมาแล้วว่าได้กันงบ 59 ล้านดอลลาร์สหรัฐไว้เพื่อการนี้แล้ว
ผลการลงประชามติแบบท่วมท้น
ก่อนหน้านั้น ระหว่างวันที่ 23 ถึง 27 กันยายน 2022 มีการจัดการลงประชามติในพื้นที่ 4 แคว้นของยูเครนว่าจะยอมรับการผนวกรวมกับรัสเซียหรือไม่
โดยผู้ช่วยของปูตินที่ควบคุมการลงประชามติพยายามสร้างภาพออกสู่ประชาชนชาวโลกว่ารัสเซียจะเป็น “ทวีปแห่งเสรีภาพ” แต่ “สำหรับอุดมการณ์ฝ่ายขวานะ” และทางการรัสเซียเลือกคำขวัญ “ร่วมกับรัสเซีย” ในการรณรงค์
ผลปรากฏว่ามีเสียงโหวตเข้าร่วมกับรัสเซียไม่ต่ำกว่าร้อยละ 87 ในทุกแคว้น และมียอดผู้มาใช้สิทธิ์ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 77
…ด้วยผลที่ออกมาเราควรจะนับว่าชาวบ้านในพื้นที่ยินดีเข้าร่วมกับรัสเซียโดยสมัครใจหรือเปล่า?…
แต่เราต้องไม่ลืมว่าเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นหลังมีชาวยูเครนจำนวนมากลี้ภัยออกนอกพื้นที่ไปแล้ว นอกจากนี้วิธีการที่มีการจัดการลงประชามติดังกล่าวก็ยังมีความพิสดารมาก
นั่นคือการลงประชามติไม่ใช่ชูบัตรประชาชนแล้วเข้าคูหาไปกาคนเดียว แต่ใช้ทหารถือปืนเดินไปจดผลตามบ้าน โดย 1 บ้านจะโหวตได้ 1 เสียง …เพราะฉะนั้นนี่จึงไม่ใช่การลงคะแนนลับ
ด้านนักการเมืองยูเครนที่ให้ความร่วมมือกับรัสเซียยังขู่ด้วยว่า ใครที่โหวตโนจะถูกตรวจค้นบ้าน และจับคนที่มีคุณสมบัติมาเกณฑ์ทหาร
อีกเรื่องหนึ่งคือ อดีตผู้ว่าการแคว้นลูฮันสก์ของยูเครนยังออกมาเปิดโปงว่า รายงานที่บอกว่าจำนวนคนออกเสียงในรอบนี้เท่ากับจำนวนผู้ใช้สิทธิ์เลือกตั้งเมื่อปี 2012 นั้นเป็นไปไม่ได้เพราะมีคนอพยพออกไปมากแล้ว
และในขณะที่มีข่าวชายรัสเซียแห่หนีออกนอกประเทศหลังมีคำสั่งระดมพล ชาวบ้านยูเครนในหลายพื้นที่ที่มีการจัดลงประชามติก็พากันต่อแถวยาวเหยียดเพื่อหนีเข้าสู่ยูเครนเช่นเดียวกัน
ฝ่ายรัสเซียอ้างว่ามีการเชิญผู้สังเกตการณ์ 100 คนจาก 40 ประเทศเข้าสังเกตการณ์ลงประชามติ …แต่ไม่มีประเทศฝั่งตะวันตกเลย ด้านทางการยูเครนออกมาเปิดโปงว่ามีเพียง 8 ประเทศที่ส่งตัวแทนเข้าร่วมสังเกตการณ์ ได้แก่ เบลารุส ซีเรีย อียิปต์ บราซิล เวเนซุเอลา อุรุกวัย โตโกและแอฟริกาใต้ ซึ่งยูเครนประณามว่าสมคบกับรัสเซียก่ออาชญากรรม
ทั้งนี้ไม่มีผลโพลอิสระออกมาให้ข้อมูลว่าจำนวนคนที่เห็นด้วยกับการรวมกับรัสเซียมีมากน้อยเพียงใด แต่จากผลโพลลับของฝั่งรัสเซียเองเมื่อเดือน ก.ค. 2022 ก็พบว่าร้อยละ 30 สนับสนุนการอยู่กับยูเครนต่อไป ส่วนที่เหลือไม่ประสงค์ตอบ โดยข้อมูลนี้มาจากเมซูดา (Mezuda) สื่อภาษารัสเซียในกรุงริกา ประเทศลัตเวีย
ขณะที่ผลโพลฝั่งยูเครนออกมาระบุในเดือน พ.ค. 2022 ว่า ผู้ตอบร้อยละ 77 ไม่ยอมเสียดินแดนให้กับรัสเซียแม้ว่าสงครามจะยืดเยื้อต่อไป และในเดือน ก.ย. 2022 สัดส่วนดังกล่าวเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 87
…ท่านลองเอาข้อมูลเหล่านี้ไปวิเคราะห์กันต่อเองนะครับ…
ผลสะท้อน
ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากปูตินประกาศผนวกดินแดน 4 แคว้น ประธานาธิบดีโวโรดีมีร์ เซเลนสกีแห่งยูเครนประกาศทันทีว่ารัสเซียได้ปิดประตูเจรจาแล้ว และจะไม่ยอมเฉือนแผ่นดินตัวเองให้รัสเซีย ซึ่งเขาบอกว่า จะลองพิจารณาดูอีกทีหากรัสเซียมีประธานาธิบดีคนใหม่ เขาถึงกับเซ็นกฤษฎีกาให้มีผลทางกฎหมายเลยทีเดียว
…ด้านโฆษกเครมลินก็สวนว่า จะรอจนกว่าประธานาธิบดียูเครนจะเปลี่ยนใจ หรือรอประธานาธิบดีคนใหม่ที่ “เห็นแก่ประโยชน์ของชาวยูเครน” จะทบทวนจุดยืนนี้
นอกจากนี้เซเลนสกียังเดินหน้าสมัครเข้าร่วมนาโต้โดยใช้ช่องทางพิเศษ ทำให้ในปีนี้ปีเดียวมี 3 ประเทศที่ขอสมัครเข้าร่วมนาโต้ ได้แก่ สวีเดน ฟินแลนด์และยูเครน ทั้งที่นาโต้ไม่มีการรับสมาชิกเพิ่มมาเกือบ 20 ปีแล้ว
ด้านรัสเซียได้ยิงขีปนาวุธและใช้โดรนคามิคาเซโจมตีเป้าหมายตามเมืองต่าง ๆ ของยูเครน จนมีพลเรือนยูเครนเสียชีวิต และมีการประกาศว่าขณะได้นี้ระดมพลมา 200,000 คนแล้ว และกำลังฝึกเพื่อส่งมารบในยูเครนต่อไป
เมื่อฝ่ายยูเครนดูทำผลงานได้อย่างต่อเนื่องในช่วงนี้จึงทำให้เกิดความกังวลว่ารัสเซียอาจงัดอาวุธนิวเคลียร์ขึ้นมาใช้ หลังประกาศว่าพร้อมใช้นิวเคลียร์เพื่อปกป้องดินแดนของตนเอง …เพราะในตอนนี้ “ดินแดนรัสเซีย” ได้ขยายมารวมถึง 4 แคว้นของยูเครนแล้ว
อย่างไรก็ตาม จากการสังเกตของผู้เชี่ยวชาญพบว่า จนถึงขณะนี้อาวุธนิวเคลียร์ของรัสเซียนั้นอยู่ในสถานะ “พร้อมรบ” เฉพาะกับขีปนาวุธข้ามทวีปซึ่งมีเป้าหมายไปยังสหรัฐและชาตินาโต้ใหญ่ ๆ ส่วนอาวุธนิวเคลียร์พิสัยใกล้ยังคงถูกเก็บรักษาอยู่
ซึ่งการเปลี่ยนอาวุธนิวเคลียร์ให้อยู่ในสภาพพร้อมรบก็มีหลายขั้นตอน คือจะต้องนำออกจากบังเกอร์ที่เก็บรักษา แล้วขนขึ้นรถบรรทุกมาติดตั้งกับขีปนาวุธหรือระบบส่งอื่น ๆ
นักวิเคราะห์ยังมองว่าการใช้อาวุธนิวเคลียร์ทางยุทธวิธีอาจไม่มีประโยชน์ในสมรภูมิมาก เพราะทหารยูเครนอยู่กันกระจัดกระจายไม่ได้อยู่รวมกันที่ใดที่หนึ่ง หรืออีกกรณีหนึ่งคืออาจใช้อาวุธนิวเคลียร์กับเป้าหมายพลเรือนเพื่อสร้างความกลัวและหวังให้ยูเครนยอมเจรจา
…แต่นั่นจะต้องแลกมาด้วยมาตรการอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน อย่างน้อย ๆ คงจะต้องโดดเดี่ยวรัสเซียอย่างสิ้นเชิงระดับเดียวกับเกาหลีเหนือ
…หากปูตินเลือกทำอย่างนั้นจริง ประวัติศาสตร์โลกจะเปลี่ยนโฉมไปอย่างสิ้นเชิงแน่นอน…
เมื่อความกลัวการยกระดับเป็นสงครามนิวเคลียร์เกิดขึ้น จึงทำให้เริ่มมีเสียงเรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายยุติความขัดแย้งและหันหน้าเข้าสู่การเจรจา
อย่างมหาเศรษฐี “อีลอน มัสก์” ที่ออกมาเสนอแผนสันติภาพของเขาเอง ซึ่งมีเนื้อหาว่าให้ยูเครนยอมยกไครเมียให้รัสเซียและยอมอยู่เป็นกลางซะ แล้วให้รัสเซียถอนกำลังออกไป
แต่บางทีเขาคงลืมไปว่าข้อเสนอเหล่านี้คงฟังดูมีเหตุผลหากรัสเซีย “ไม่” บุกยูเครนในเดือน ก.พ. 2022 …สถานการณ์ในปัจจุบันได้บานปลายกว่านั้นแล้ว
แน่นอนว่าฝ่ายยูเครนย่อมแสดงความไม่พอใจกับข้อเสนอนี้ ในขณะเดียวกันฝ่ายรัสเซียแม้จะชื่นชมข้อเสนอนี้ แต่ก็ยืนยันว่าจะไม่ยอมทิ้งดินแดน 4 แคว้นที่ผนวกมาใหม่นี้อย่างแน่นอน
…เรียกได้ว่าทั้ง 2 ฝ่ายไม่มีใครอยากใช้แผนสันติภาพของมัสก์เลย…
ดังนั้นสงครามจะยังคงดำเนินต่อไปอย่างไม่เห็นทางออกในเวลาอันใกล้…
บทส่งท้าย
หากทุกท่านยังจำช่วงสงครามเปิดฉากได้ ในตอนนั้นปูตินได้ประกาศวัตถุประสงค์ของการก่อสงครามในรอบนี้ว่า
1) เพื่อขจัดพวกนีโอนาซีในยูเครน ซึ่งกดขี่คนพูดภาษารัสเซีย
2) เพื่อขัดขวางการเข้าร่วมนาโต้ของยูเครน
3) เพื่อดึงชาวยูเครนซึ่งเป็น “ประชาชาติเดียวกับ” ชาวรัสเซียกลับมาอยู่ในประเทศเดียวกัน
อย่างไรก็ตามมาถึงตอนนี้ปูตินได้เผยความต้องการที่แท้จริงออกมาแล้ว
…รัฐบาลเซเลนสกี (ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นนีโอนาซี) ยังอยู่ ปูตินก็เฉย ๆ
…เมื่อยูเครนสมัครจะเข้าร่วมนาโต้ของจริง ปูตินก็เฉย ๆ
…แต่ปูตินขอพื้นที่ 4 แคว้นของยูเครนนี้พอ ตอนนี้พร้อมเจรจายุติสงครามกับยูเครนแล้ว
คนไทยบางคนยังรู้สึกไม่ดีหรือถึงขั้นเกลียด 2 ชาติมหาอำนาจ คือ อังกฤษกับฝรั่งเศสที่มาบีบบังคับเอาดินแดนจากไทยไปในยุคล่าอาณานิคม …ในตอนนี้ชาวยูเครนก็คงรู้สึกแบบเดียวกันกับรัสเซียที่เฉือนเอาดินแดนของยูเครนไปไม่ต่างกัน
และด้วยเหตุนี้ชาวยูเครนจำนวนมากจึงพร้อมต่อสู้เพื่อทวงคืนแผ่นดินของตัวเองต่อไป แม้ว่าสงครามจะต้องยืดยาวออกไปก็ตามที…
0 Comment