ในช่วงต้นเดือน พ.ย. 2022 ที่ผ่านมาสด ๆ ร้อน ๆ นี้เอง เกาหลีเหนือเพิ่งมีการยิงขีปนาวุธเป็นจำนวนมากที่สุดในวันเดียวเป็นประวัติการณ์ แถมยังมีลูกหนึ่งที่ล้ำเส้นเขตแดนทางทะเลมาทางฝั่งเกาหลีใต้ด้วย
ในฐานะผู้สังเกตการณ์ เราควรเป็นกังวลกับข่าวนี้หรือไม่ และสถานการณ์ความตึงเครียดในคาบสมุทรเกาหลีจะเป็นอย่างไรต่อไป ?
บทความนี้จะขอพาทุกท่านมาทำความเข้าใจข้อมูลเหตุการณ์ เบื้องหลัง และบทวิเคราะห์ในประเด็นนี้กันครับ
เกิดอะไรขึ้น ?
เมื่อวันที่ 2 พ.ย. 2022 ที่ผ่านมา เกาหลีเหนือได้ยิงขีปนาวุธจำนวน 23 ลูกซึ่งถือว่ามากที่สุดเป็นประวัติการณ์สำหรับการยิงในวันเดียว แถมยังมีลูกหนึ่งล้ำเส้นแบ่งเขตแดนทางทะเลระหว่างเกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้ที่มีชื่อว่า “เส้นแบ่งเขตทิศเหนือ” (Northern Limit Line) เป็นครั้งแรก
…แม้ว่าขีปนาวุธลูกดังกล่าวจะไม่ได้ตกในทะเลอาณาเขตซึ่งถือเป็นเขตที่เกาหลีใต้มีอำนาจอธิปไตย แต่ก็ตกห่างจากเมืองชายฝั่งซอกโช (Sokcho) ของเกาหลีใต้ ไปทางตะวันออกเพียง 60 กิโลเมตร
ทำให้เกาหลีใต้ตอบโต้ด้วยการส่งเครื่องบินไปยิงขีปนาวุธจากเครื่องสวนกลับไปในฝั่งเกาหลีเหนือ 3 ลูกเป็นการเตือน
มีสถิติที่น่าสนใจออกมาว่า นับตั้งแต่เกาหลีเหนือมีการยิงขีปนาวุธตั้งแต่ปี 1984 เป็นต้นมา มีการยิงขีปนาวุธออกมาแล้วกว่า 150 ลูก และกว่าครึ่งเกิดขึ้นหลังปี 2011 ซึ่งเป็นยุคของคิมจองอึน ผู้นำเกาหลีเหนือคนปัจจุบัน
…และเฉพาะปี 2022 ปีเดียว มีการยิงขีปนาวุธแล้วอย่างน้อย 22 ครั้ง จำนวน 41 ลูก! ถือว่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์!
…ทำให้เกิดคำถามว่าด้วยการยิงขีปนาวุธที่ถี่ขึ้นช่วงหลัง เราในฐานะผู้สังเกตการณ์ควรระวังเหตุการณ์เหล่านี้หรือไม่?…
วัฏจักร “บ้า” สลับ “สันติ”
ที่ผ่านมาเราจะเห็นว่าความสัมพันธ์ระหว่างเกาหลีเหนือกับชาติตะวันตกจะมีช่วง “บ้า” สลับกับช่วง “สันติ” คือมีช่วงที่มีการยิงขีปนาวุธหรือยกระดับความตึงเครียด สลับกับช่วงที่มีการเจรจากัน
ยกตัวอย่างเช่นหลังจากมีช่วงที่เกาหลีเหนือทดสอบขีปนาวุธอย่างมาก รวมทั้งสิ่งที่อาจเป็นระเบิดไฮโดรเจนในปี 2017 จนโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐในสมัยนั้นตอบโต้ว่า หากเกาหลีเหนือโจมตีสหรัฐ “จะต้องเผชิญกับไฟ โทสะและอำนาจ อย่างที่โลกไม่เคยเห็นมาก่อน”
แต่ในปี 2018 ผู้นำของทั้งสองประเทศก็กลับมาประชุมกันที่สิงคโปร์ แล้วพยายามเจรจาหาทางออกร่วมกัน ถึงแม้ว่าจะไม่มีข้อสรุปก็ตามที
จากที่ผ่านมาเราจะเห็นว่าทุกครั้งที่มีทีท่าว่าเกาหลีเหนือจะยอมตกลงกับชาติตะวันตกในการชะลอโครงการอาวุธของตัวเอง มักจะแลกมากับความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจ
ตัวอย่างอื่น ๆ เช่นช่วงปลายทศวรรษ 1960s คิมอิลซุงที่เผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจและความสัมพันธ์กับสหภาพโซเวียตที่เสื่อมลง ทำให้เขาเลือกใช้วิธีโจมตีตามแนวชายแดน, พยายามลอบสังหารประธานาธิบดีเกาหลีใต้ และจับเรือสอดแนมสหรัฐในน่านน้ำตัวเอง จนมีบางคนเรียกว่า “สงครามเกาหลีครั้งที่ 2”
ต่อมาในช่วงกลางทศวรรษ 1990s ในสมัยคิมจองอิล ที่เผชิญกับภาวะขาดแคลนอาหารที่มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก เขาก็เลือกใช้วิธีถอนตัวออกจากสนธิสัญญาไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ และตั้งใจพัฒนาอาวุธโดยใช้พลูโตเนียมจากแท่งเชื้อเพลิงนิวเคลียร์เก่า …แต่หลังจากนั้นเหตุการณ์ทั้งสองก็จบลงโดยไม่ได้บานปลายเป็นสงคราม
และในช่วงนี้ก็มีนักวิเคราะห์มองว่าเกาหลีเหนือกำลังเผชิญกับปัญหานอกจากการคว่ำบาตรที่ดำเนินมายาวนานแล้ว ยังมีเรื่องโควิด เงินเฟ้อทั่วโลกและการจัดการที่ผิดพลาดในประเทศ จนเชื่อว่าเกาหลีเหนือได้ตกลงต่ำกว่าระดับความต้องการของมนุษย์แล้ว
สรุปว่าเกาหลีเหนือเล่นบทวัฏจักร “บ้า” สลับ “สันติ” มาโดยตลอด…
แย่กว่านี้ก็เคยมาแล้ว
แม้ว่าข่าวการยิงขีปนาวุธถี่ขึ้นจะดูน่าตื่นตระหนกก็ตาม แต่ถ้าเทียบกับความตึงเครียดในคาบสมุทรเกาหลีในภาพรวมแล้ว การยิงขีปนาวุธของเกาหลีเหนือถือว่าเป็นความตึงเครียดที่น้อยกว่าเหตุการณ์อื่น ๆ
อย่างเมื่อปี 1996 เกิดเหตุทหารเกาหลีเหนือโดยสารเรือดำน้ำและแทรกซึมเข้าสู่เกาหลีใต้ใกล้กับเมืองกังเนือง (Gangneung)
และในปี 2010 ก็เกิดเหตุการณ์เกาหลีเหนือยิงปืนใหญ่ถล่มเกาะยอนพยอง (Yeonpyeong) ในทะเลเหลือง และมีการยิงตอบโต้กันไปมา
จากตัวอย่าง 2 เหตุการณ์นี้ล้วนมีทหารเสียชีวิต ซึ่งนับว่าร้ายแรงว่าการยิงขีปนาวุธลงทะเลมากนัก!
…เหตุการณ์เหล่านี้ถ้าจะยกระดับเป็นสงครามก็ย่อมได้ แต่ทั้งหมดก็ยังถือว่าควบคุมสถานการณ์ไม่ให้บานปลายไปกว่านี้ได้อยู่…
สิ่งที่น่าจับตา
สิ่งที่น่าจับตาจริง ๆ ของเรื่องนี้คือภาพใหญ่มากกว่า ผมไม่ได้จะบอกว่ากองทัพหรือเทคโนโลยีของเกาหลีเหนือไร้พิษสงนะครับ แต่ถ้าเทียบกับขุมกำลังของเกาหลีใต้กับพันธมิตร อย่างสหรัฐหรือญี่ปุ่นแล้ว ก็ต้องบอกว่าเกาหลีเหนือนั้นยังอีกห่างไกล
ถ้าจะให้สมน้ำสมเนื้อมากขึ้น ก็ต้องนับจีน (อาจรวมรัสเซีย) เข้ามาในสมการด้วย
ใช่ครับ ประเด็นหลักของเรื่องนี้ก็ยังเป็นเรื่องการแข่งขันระหว่างสหรัฐกับจีนในการครองบัลลังก์มหาอำนาจเบอร์ 1 ของโลก
ท่านจะเห็นว่าในปี 2022 ได้เกิดเหตุการณ์ความขัดแย้งใหญ่ ทั้งสงครามรัสเซีย-ยูเครน และความตึงเครียดในช่องแคบไต้หวัน การแสดงออกของเกาหลีเหนือจึงตีความได้ว่าเป็นการช่วย “ลูกพี่” อย่างน้อยก็เพื่อช่วยเบี่ยงเบนความสนใจ
และถ้าความขัดแย้งระหว่างจีนกับชาติตะวันตกจะเกิดขึ้นจริงๆ มันก็น่าจะอยู่ในโซนทะเลจีนใต้หรือช่องแคบไต้หวัน ซึ่งเป็นเส้นทางเดินเรือและแหล่งทรัพยากรธรรมชาติที่มีความสำคัญ ซึ่งก็ไม่ได้อยู่ห่างจากไทยมากขนาดนั้น
…นี่แหละคือสิ่งที่ผมคิดว่าควรจับตาอย่างใกล้ชิดจากกรณีเกาหลีเหนือนี้…
อีกเรื่องหนึ่งที่ผมมักจะย้ำอยู่เสมอในการติดตามข่าวสารความขัดแย้งในระดับโลก คือ แนวคิดเรื่อง long peace หรือสันติภาพอันยาวนาน ซึ่งชี้ว่าโลกของเราว่างเว้นจากสงครามใหญ่ระหว่างชาติมหาอำนาจมาตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 หรือกว่า 77 ปีมาแล้ว นับว่านานผิดปกติ!
คำอธิบายหนึ่งคือเพราะมหาอำนาจทุกฝ่ายต่างเกรงในอำนาจมหาประลัยของนิวเคลียร์อีกฝ่าย ทำให้ต่างไม่มีใครอยากเปิดศึกก่อน และเสี่ยงทำให้เกิดวันสิ้นโลก
แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าสงครามจะไม่มีทางเกิดขึ้นได้ ดูตัวอย่างสงครามรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งถ้าดูตามเหตุผลจริงๆ การทำสงครามดังกล่าวก็ไม่มีใครเรียกได้ว่าฉลาดหรือทำให้ใครได้ประโยชน์ขึ้นมาเลย
ความน่ากลัวของเรื่องนี้คือไม่มีใครรู้ว่าสงครามจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ และถ้าจะเกิดสงครามนิวเคลียร์ขึ้นมาจริง เราอาจไม่ทันรู้ตัวก่อนที่จะสายเกินไปแล้วนั่นเอง
0 Comment