รัฐคอลิฟะห์รอชิดูน เป็นรัฐแรกของศาสนาอิสลาม ก่อตั้งหลังจากที่ นบี มูฮัมมัด เสียชีวิต โดยแนวทางของอาณาจักรคือการต้องการขยายอำนาจ ดินแดน และที่สำคัญคือเพื่อเผยแพร่ศาสนา โดยมี อะบูบักร์ (Abu Bakr) เป็นคอลีฟะฮ์องค์แรก

ในยุคแรกเริ่ม กองทัพมุสลิมยังไม่มีอำนาจมาก เนื่องจากในยุคสมัยนั้นจักรวรรดิที่มีอำนาจ ไม่มีผู้ใดต้านทานได้ คือ จักรวรรดิซาซาเนียน แห่งเปอร์เซีย และจักรวรรดิโรมันไบแซนไทน์ โดยทั้งสองจักรวรรดิต่างห้ำหั่นกันอย่างไม่หยุดหย่อนหลายทศวรรษด้วยเหตุผลของตน

ความขัดแย้งของจักรวรรดิซาซาเนียนกับไบแซนไทน์ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ทั้งสองจักรวรรดิอ่อนแอลง และตกเป็นเป้าหมายหลักของกองทัพมุสลิมในการสนองแนวทางของตน

สิ้นสุดสงครามไบแซนไทน์ – ซาซาเนียน จุดแรกเริ่มความยิ่งใหญ่ของกองทัพมุสลิม

สงครามไบแซนไทน์– ซาซาเนียน ต่อสู้กันระหว่างปี ค.ศ. 602–628 เป็นสงครามที่สร้างเสียหายมากที่สุดของทั้งสองจักรวรรดิ โดยมีการสู้รบกันทั่วตะวันออกกลาง: ในอียิปต์ ลิแวนต์ เมโสโปเตเมีย คอเคซัส อานาโตเลีย อาร์เมเนีย ทะเลอีเจียน และก่อนถึงกำแพงเมืองคอนสแตนติโนเปิล

เมื่อสงครามจบ ทั้งสองฝ่ายต่างใช้ทรัพยากรต่าง ๆ จนหมด จึงทำให้แต่ละฝ่ายเริ่มอ่อนแอ และเสื่อมถอย

การรุกรานเมโสโปเตเมียครั้งแรก

หลังจากจบสงครามระหว่างไบแซนไทน์ กับซาซาเนียน ได้ไม่นาน ในปี ค.ศ.633 หัวหน้าชนเผ่าทางตะวันออกเฉียงเหนือของอาระเบีย อัล-มูธานนา อิบัน ฮาริธา (Al-Muthanna ibn Harith) บุกโจมตีเมืองในเมโสโปเตเมีย (ปัจจุบันคืออิรัก) ของจักรวรรดิซาซาเนียน แห่งเปอร์เซีย จนสำเร็จ และเขาเดินทางไปหาอะบูบักร์ (Abu Bakr)คอลีฟะห์ แห่งกองทัพมุสลิม เพื่อรายงานความสำเร็จของตน จนได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้บัญชาการทหาร

หลังจากนั้นอัล-มูธานนา เริ่มโจมตีลึกเข้าไปในเมโสโปเตเมีย จนได้รับชัยชนะหลายครั้ง ทำให้อะบูบักร์ คิดเกี่ยวกับแผนการในการขยายดินแดนรอชิดูน (Rashidun)

ยุทธการซัลลาซิล (The Battle of Sallasil)

หลังจากการบุกเมโสโปเตเมียได้ไม่ถึงสองเดือน ในปีเดียวกันนั่นเอง เกิดการสู้รบกันระหว่างคอลิด อิบนุ อัล-วาลิด (Khalid ibn al-Walid) ผู้นำกองทัพมุสลิม กับกองทัพของจักรวรรดิเปอร์เซีย นำโดยฮอร์มุซด์ (Hormozd) ที่คาซิม่า (Kazima) ปัจจุบันคือประเทศคูเวต ฝ่ายมุสลิมได้รับชัยชนะ และยึดดินแดนแถวแถบนั้นได้สำเร็จ

เมื่อจบศึกนี้ คอลิด อิบนุ อัล-วาลิด ได้ยกไปรบกับกองทัพเปอร์เซียในเมโสโปเตเมีย(อิรัก) อีกครั้ง และได้รับชัยชนะกองทัพเปอร์เซียที่มีจำนวนมากกว่า

ยุทธการวาลาจา (Battle of Walaja)

เป็นการสู้รบในเมโสโปเตเมีย (อิรัก) ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 633 คอลิด อิบนุ อัล-วาลิด ได้ยกทัพไปเสริม อัล-มูธานนา อิบัน ฮาริธา ที่สู้รบกับเปอร์เซียอยู่ในแถบนี้อยู่แล้ว ในสงครามครั้งนี้กองทัพเปอร์เซียของจักรวรรดิซาซาเนียน มีกำลังเป็นสองเท่าของกองกำลังมุสลิม แต่ด้วยความเก่งของ คอลิด อิบนุ อัล-วาลิด นำให้กองทัพมุสลิมมีชัยต่อกองทัพเปอร์เซีย

การต่อสู้ที่บ้าระห่ำของกองทัพมุสลิมในหลาย ๆ สมรภูมิติดต่อกัน ทำให้ชาวเปอร์เซียและพันธมิตรกลุ่มต่าง ๆ ของเปอร์เซีย ล้มตายเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้ยังทำให้ชาวเปอร์เซียล่าถอยจากเมโสโปเตเมีย (อิรัก) บ้างก็ถูกจับกุม

สมรภูมิอัล-อันบาร์ (Battle of Al-Anbar)

ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ.633 มีการรบที่อัล-อันบาร์ ระหว่างกองทัพอาหรับมุสลิมภายใต้การบังคับบัญชาของคอลิด อิบน์ อัล-วาลิด และจักรวรรดิซาซาเนียน การสู้รบเกิดขึ้นที่เมืองอันบาร์ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองบาบิโลนโบราณประมาณ 100 กิโลเมตร

คอลิด เข้าปิดล้อมชาวเปอร์เซีย ที่มีป้อมปราการและกำแพงเมืองที่แข็งแรง มีการใช้พลธนูมุสลิมจำนวนมากในการปิดล้อม เชอร์ซาด (Shirzad) ผู้ว่าการชาวเปอร์เซียยอมจำนนในที่สุด

สมรภูมิเดามัต-อุล-จันดา (Battle of Daumat-ul-janda)

ในเดือนสิงหาคม ปี ค.ศ.633 กองทัพชาวมุสลิมยกทัพปราบกบฎอาหรับเดามัต-อุล-จันดา (ประเทศซาอุดิอาระเบีย ในปัจจุบัน) นำทัพโดยอิยาด อิบัน กัม (Iyad ibn Ghanm) แต่ก็ไม่สามารถทำสำเร็จได้ จึงขอความช่วยเหลือไปที่คอลิดฯ ซึ่งตอนนั้นเขาอยู่ที่เมโสโปเตเมีย (อิรัก) เมื่อคาลิดมาถึงก็สามารถเอาชนะเหล่ากบฎได้อย่างง่ายดาย

สมรภูมิฮูเซด (Battle of Husayd )

ในเดือนและปีเดียวกันนั้น อัล-ตามิมี (Al-Qa’qa’ ibn Amr al-Tamimi) นำทัพมุสลิมไปปราบชาวอาหรับคริสเตียนและกองทัพเปอร์เซีย และสามารถเอาชนะได้อย่างง่ายดาย นอกจากนี้ อัล-ตามิมี ได้สังหารผู้บัญชาการทัพ นายทหาร แม่ทัพ ของฝั่งพันธมิตรเปอร์เซียทั้งหมดอย่างเลือดเย็น

สมรภูมิมูซายะห์ (Battle of Muzayyah)

ในช่วงเดือนพฤศจิกายน ปี ค.ศ.633 บาห์มัน (Bahman) ได้รวบรวมทหารชาวอาหรับที่รอดชีวิตจากสมรภูมิต่าง ๆ จัดตั้งกองทัพเพื่อแก้แค้นเอาคืนกองทัพมุสลิมที่สังหารอิบน์ บาชีร์(Aqqa ibn Qays ibn Bashir) ผู้นำที่ยิ่งใหญ่ของพวกเขา และต้องการยึดคืนพื้นที่ที่โดนกองทัพมุสลิมยึดไป

คอลิด อิบนุ อัล-วาลิด ได้วางกลอุบาย วางแผนกลยุทธ์ แยกกำลังออกเป็น 3 กอง เพื่อนำกองทัพมุสลิมไปจัดการชาวอาหรับและชาวเปอร์เซียที่มูซายะห์ โดยคอลิดได้เข้าโจมตีค่ายในเวลากลางคืน ได้สังหารทหารชาวอาหรับและเปอร์เซียไปหลายพันคน ส่วนที่เหลือหลบหนีไปได้ ถือเป็นการโจมตีที่แยบยล ทั้งยังประสบความสำเร็จอย่างมากของคอลิด

สมรภูมิซันนี่ (Battle of Saniyy)

ไม่ถึง 2 สัปดาห์ คาลิดได้ใช้กลอุบายเดิมจากสมรภูมิมูซายะห์ เพื่อเข้าตีค่ายชาวอาหรับที่ซันนี่(อิรัก) ในครั้งนี้ผู้นำทัพชาวอาหรับชื่อรอบิอา บิน บูจาอีร์ (Rabi’a bin Bujair) ในการต้านทานกองทัพมุสลิม แต่ด้วยขวัญกำลังใจและผู้นำที่เก่งกล้าสามารถของกองทัพมุสลิม ชาวอาหรับโดนสังหารหมู่ โดยมีผู้รอดชีวิตน้อยมาก เด็กและผู้หญิงถูกจับไปเป็นเฉลย ผู้นำทัพอาหรับก็โดนสังหารในสนามรบเช่นกัน

สมรภูมิซูเมล (The battle of Zumail)

เมื่อกองทัพชาวอาหรับถูกโจมตีค่ายที่ซันนี่แตก คนที่รอดชีวิตต่างหนีมาที่ซูเมล (ปัจจุบันคือพื้นที่ในประเทศอิรัก) แต่หนีได้ไม่นาน กองทัพมุสลิมที่นำโดยคาลิดผู้เกรียงไกรก็ตามมาทัน และได้สังหารเหล่าทหารอาหรับผู้ซึ่งภักดีต่อจักรวรรดิซาซาเนียนแห่งเปอร์เซียตายเกือบหมด

การต่อสู้ในครั้งนี้ถือเป็นชัยชนะที่สำคัญของกองทัพมุสลิม เพราะสามารถยึดครองเมโสโปเตเมีย (อิรัก)

สมรภูมิฟิราซ (Battle of Firaz)

มกราคม ปี ค.ศ.634 คอลิดได้นำกองทัพมุสลิมไปรบกับกองทัพผสมของโรมันไบแซนไทน์และจักรวรรดิซาซาเนียนแห่งเปอร์เซีย ที่ฟิราซ (อิรัก) และเป็นการรบครั้งสุดท้ายของคาลิด เนื่องจากเขาถูกลดตำแหน่งและบทบาทลง และถือเป็นการบุกเมืองต่าง ๆ ในโมโสโปเตเมียระลอกแรก

การรุกรานเมโสโปเตเมียครั้งที่สอง

ต้นเดือนตุลาคม ปี ค.ศ.634 กองทัพเปอร์เซียได้บุกยึดเมืองต่าง ๆ ที่เสียไปให้กับกองทัพมุสลิมในเมโสโปเตเมีย (อิรัก) ฝ่ายมุสลิมต่างส่งกำลังเสริมจากทัพต่าง ๆ มาสู้รบกันที่บริเวณเมืองคูฟา(Kufa) ประเทศอิรักในปัจจุบัน แต่ในครั้งนี้ก็ไม่อาจต้านทานกองทัพของเปอร์เซียได้

สมรภูมิบูไวบ์ (Battle of Buwaib)

กาหลิบอูมา (Caliph Umar) ได้ส่งกำลังเสริมไปยังภูมิภาคต่าง ๆ ที่มีการสู้กันกับกองทัพของเปอร์เซีย

อัล-มูธานนา อิบัน ฮาริธา (Al-Muthanna ibn Harith) กำลังต่อสู้กับเปอร์เซียอยู่ที่บูไวน์ และเขาก็สามารถโอบล้อมกองทัพเปอร์เซียที่มีจำนวนมากกว่าได้ โดยกองทัพมุสลิมได้รับความช่วยเหลือจากชาวอาหรับที่นับถือศาสนาคริสต์ที่เคยภักดีกับจักรวรรดิซาซาเนียน แห่งเปอร์เซีย

โรมันไบแซนไทน์และซาซาเนียนแห่งเปอร์เซีย ทำข้อตกลงเป็นพันธมิตรกัน

มกราคม ปี ค.ศ.635 ยาซด์เกิร์ดที่ 3 (Yazdgerd III) กษัตริย์ซาซาเนียนแห่งเปอร์เซีย ได้ขอเป็นพันธมิตรกับจักรพรรดิเฮราคลิอุส (Heraclius) แห่งโรมันไบแซนไทน์ โดยการแต่งงานกับลูกสาวของเฮราคลิอุส ทั้งสองจักรวรรดิได้เตรียมกองทัพขนาดใหญ่รวมตัวกัน เพื่อเตรียมขับไล่กองทัพมุสลิมออกจากเมโสโปเตเมีย (อิรัก)

สมรภูมิอัลคาดิซิยะฮ์ (Battle of al-Qadisiyyah)

การสู้รบครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงเดือนพฤศจิกายน ปี ค.ศ.363 ระหว่างกองทัพกองทัพมุสลิมที่จำนวนทหารราวสี่หมื่นคนนำทัพโดยซาด (Saad) และฝั่งเปอร์เซียมีทหารราวหกหมื่นคน นำทัพโดยรอสตัม ( Rostam) ด้วยยุทธวิธีของซาดสามารถสังหารผู้นำทัพฝั่งเปอร์เซียได้ก่อน ทำให้ทหารเปอร์เซียเสียขวัญกำลังใจและล่าถอยไป

ชัยชนะครั้งนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญในการเติบโตของกองทัพมุสลิม และสามารถควบคุมดินแดนเมโสโปเตเมีย (อิรัก) อันอุดมสมบูรณ์ได้อย่างเบ็ดเสร็จ

ปิดล้อมเมืองหลวงของเปอร์เซีย

หลังจากที่กองทัพมุสลิมเอาชนะเปอร์เซียในสมรภูมิอัลคาดิซิยะฮ์ กาหลิบอูมา (Caliph Umar) ผู้นำคนที่สองของศาสนาอิสลาม เห็นว่าถึงเวลาแล้วที่จะต้องพิชิตเทสไซฟอน (Ctesiphon) เมืองหลวงของจักรวรรดิซาซาเนียนแห่งเปอร์เซีย

ในปี ค.ศ.637 ตั้งแต่เดือนมกราคม – มีนาคม กองทัพมุสลิมได้เข้าปิดล้อมเมืองหลวงของเปอร์เซียได้สำเร็จ ทำให้เหล่าทหารที่รอดตาย ต่างหนีกันไปรวมตัวกันที่จาลูลา(Jalula) ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเทสไซฟอน ซึ่งเป็นสถานที่สำคัญทางยุทธศาสตร์ และเป็นเส้นทางที่นำไปสู่อิรัก คูราซาน และอาเซอร์ไบจาน

แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่อาจต้านทานความบ้าระห่ำของกองทัพมุสลิมได้ โดยชาวมุสลิมได้ปิดล้อมเป็นเวลา 7 เดือน จนกระทั่งยอมจำนน

สมรภูมินาฮาวันด์ (Battle of Nahavand)

หลังจากความพ่ายแพ้ของกองทัพเปอร์เซียในสมรภูมิจาลูลา ในปี ค.ศ.637 ยาซด์เกิร์ดที่ 3 แห่งเปอร์เซียก็ได้ย้ายไปที่เมืองเมิร์ฟ (พื้นที่ในประเทศอิหร่าน) เพื่อชุบตัว ซ่องสุมกำลัง ภายในเวลา 4 ปี ยาซด์เกิร์ดที่ 3 รู้สึกว่าตนมีอำนาจพอที่จะท้าทายกองทัพมุสลิมอีกครั้ง และเพื่อยึดครองดินแดนเมโสโปเตเมียอีกครั้ง

ยาซด์เกิร์ดที่ 3 รวบรวมทหารผ่านศึก อาสาสมัคร รวมแล้วประมาณหนึ่งแสนคน จากทุกส่วนของเปอร์เซียที่เหลืออยู่

ศึกระหว่างเปอร์เซียกับกองทัพมุสลิมได้เริ่มขึ้นอีกครั้งที่นาฮาวันด์ (อิหร่าน) ในปี ค.ศ.642 โดยผู้นำกองทัพมุสลิมสั่งให้จัดเต็มอัตรา ผลปรากฏว่าฝ่ายเปอร์เซียได้แพ้อย่างราบคาบให้กับกองทัพมุสลิม ทั้งยังสูญเสียเมืองสปาฮัน (Spahan) หรืออิสฟานฮานในปัจจุบัน

กองทัพมุสลิมพิชิตโรมันไบแซนไทน์

ในปี ค.ศ. 638 – 639 กองทัพมุสลิมได้เดินหน้าบุกบางส่วนของอาร์เมเนีย โดยกาหลิบอูมาได้แบ่งกองทัพออกเป็นสามกอง ซึ่งแต่ละกองมีแม่ทัพดังนี้ ฮาบิบ อิบัน มุสไลมา (Habib ibn Muslaima) เข้าตีเมืองทิฟลิส (Tiflis) กองที่สองให้อับดุลเรห์มาน (Abdulrehman) คุมทัพ และกองที่สามให้ฮุดไฮฟา (Hudheifa) ทั้งสามทำหน้าที่ของตนได้จนสำเร็จ ทำให้กองทัพมุสลิมสามารถยึดครองไบแซนไทน์ อาร์เมเนียได้

มุสลิมพิชิตอาเซอร์ไบจาน

ในปี ค.ศ.651 ฮุดไฮฟา แม่ทัพชาวมุสลิมเดินทัพจากเมืองเรย์ ภาคกลางของเปอร์เซีย ไปยังอาเซอร์ไบจาน ซึ่งเป็นฐานที่มั่นของชาวเปอร์เซียที่มีการป้องกันอย่างดีในทางตอนเหนือ ชาวเปอร์เซียออกมาจากเมืองและทำการสู้รบ แต่ก็ต้องแพ้ให้กับฮุดไฮฟา และโดนยึดเมือง

จากนั้นฮุดไฮฟา เดินทัพไปทางเหนือตามชายฝั่งตะวันตกของทะเลแคสเปียน และยึดบับ อัล-อับวาบ (Bab al-Abwab) และเดินทัพต่อไปเรื่อย ๆ จนถึงใจกลางอาเซอร์ไบจาน จนชาวเปอร์เซียต้องยอมจำนนเพื่อแลกกับชีวิตของตนเอง

กองทัพมุสลิมพิชิตโคราชัน

โคราซัน (Khorasan) เป็นจังหวัดที่ใหญ่เป็นอับดับสองของอาณาจักรเปอร์เซีย อยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของอิหร่านในปัจจุบัน บางส่วนที่ปัจจุบันอยู่ในอิหร่านอัฟกานิสถาน ทาจิกิสถาน เติร์กเมนิสถานและอุซเบกิสถาน

ในปี ค.ศ.651 อาห์นาฟ อิบัน ไกส์ ( Ahnaf ibn Qais) แม่ทัพของมุสลิม นำทัพเดินทางเข้าไปตีโคราชัน รายทางก่อนถึงโคราชัน เมืองต่าง ๆ ระหว่างทางของเปอร์เซียต่างยอมจำนน กองทัพมุสลิมได้ล้อมเขตทางตอนใต้ของโคราชันจนสามารถยึดครองพื้นที่ได้

จากนั้นอาห์นาฟเดินทางไปยังเมิร์ฟ เมืองหลวงของโคราชัน ยาซด์เกิร์ดที่ 3 (Yazdgerd III) กษัตริย์ซาซาเนียนแห่งเปอร์เซียรู้ข่าว จึงเดินทางหนีไปที่เมืองบัลค์ (Balkh) เป็นเมืองที่อยู่ในอัฟกานิสถานในปัจจุบัน เพื่อซ่องสุมกำลังพล และมีเติร์กข่าน แห่งฟาร์กานา (Farghana) เป็นพันธมิตร

แต่ท้ายสุดแล้วเปอร์เซียก็มิอาจต้านทานกองทัพมุสลิมได้ ทำให้ ยาซด์เกิร์ดที่ 3 ต้องหลบหนีไปยังประเทศจีน

จากนั้นในเวลาต่อมา ผู้นำศาสนาอิสลามได้รวบรวมอำนาจทั้งหมดเอาไว้ได้ และถือเป็นจุดจบของเปอร์เซียผู้ที่เคยยิ่งใหญ่

การพิชิตเปอร์เซียของชาวมุสลิมถือเป็นการนำไปสู่การล่มสลายของจักรวรรดิซาซาเนียนแห่งเปอร์เซีย และการล่มสลายของศาสนาโซโรอัสเตอร์ในที่สุด มรดกของอารยธรรมเปอร์เซียที่ตกทอดมาถึงปัจจุบันยังคงมีให้เห็นไม่ว่าจะเป็นศิลปะ วัฒนธรรม วิทยาการต่าง ๆ มากมายที่แพร่กระจายไปทั่วโลก ที่เห็นได้ชัดที่สุดคือ มัสยิดของศาสนาอิสลามทั่วโลก ที่นำศิลปะและสถาปัตยกรรมของเปอร์เซียมาใช้จนถึงปัจจุบัน ทั้งยังสามารถเปลี่ยนเปอร์เซียให้เป็นส่วนหนึ่งของโลกอิสลามได้