ในอดีตเรามักจะจดจำภาพของยูเครนจากการเป็น อู่ข้าวอู่น้ำของยุโรป, อดีตชาติในกลุ่มโซเวียต, หรือภัยพิบัติเชอร์โนบิล ทว่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านเรื่องราวที่เรามักได้ยินเกี่ยวกับยูเครนคือ “ความขัดแย้งและไม่แน่นอนทางการเมือง” ทั้งเรื่องสงครามกลางเมืองกับกลุ่มกบฏในเขตดอนบัสและความขัดแย้งไครเมีย โดยเฉพาะเมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมาได้เกิดกระแสว่าอาจเกิดสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนก็เป็นได้
บทความนี้จะพาทุกท่านมาดูกันว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น และความขัดแย้งเหล่านี้ทวีความรุนแรงจนสุ่มเสี่ยงจะกลายเป็นสงครามระหว่างสองประเทศได้อย่างไร?
การปฏิวัติสีส้ม
กระแสการปฏิวัติในยูเครนเริ่มขึ้น เมื่อประชาชนจำนวนมากได้ออกมารวมตัวกันบริเวณจตุรัสแห่งเสรีภาพกลางกรุงเคียฟ เพื่อประท้วงผลการเลือกตั้งปี 2004 ซึ่งถูกกล่าวหาว่าเป็นการเลือกตั้งที่มีการแทรกแซงการลงคะแนนและทุจริตอื่นๆ จนทำให้นาย วิคเตอร์ ยานูโควิช ซึ่งโปรรัสเซียได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี
การประท้วงกระจายไปตามสถานที่สำคัญต่างๆของเมือง โดยวิธีการหลักของผู้ประท้วงคือ การนัดหยุดงานประท้วงและร่วมฟังการปราศัย โดยมีนักการเมืองฝ่ายตรงข้าม นำโดยนาย วิคเตอร์ ยุชเชนโก
พวกเขากดดันจนศาลฎีกาได้ออกคำสั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่อีกครั้ง ส่งผลให้นาย ยุชเชนโก ได้รับชัยชนะไปด้วยคะแนน 52 เปอร์เซ็นต์ ต่อ 44 เปอร์เซ็นต์ ก่อนจะเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 23 มกราคม 2005
แม้ว่าการปฏิวัติสีส้มจะจบลงด้วยชัยชนะของฝ่ายต่อต้านรัฐบาลที่โปรตะวันตก ทว่าเส้นทางในอนาคตที่นำไปสู่ความขัดแย้งยังคงรออยู่ตรงหน้า
การปฏิวัติยูโรไมดาน
อย่างไรก็ตามต่อมาฝ่ายยุชเชนโกนั้นเกิดแตกคอกันเอง ทำให้ ยานูโควิช พลิกกลับมาชนะเลือกตั้งในปี 2010 โดยในระยะแรกเขาพยายามจะผลักดันให้ยูเครนเดินหน้าสร้างความสัมพันธ์กับสหภาพยุโรป ไปพร้อมกับการรักษาความเเน่นแฟ้นกับรัสเซียเหมือนในอดีต
โดยในด้านความมั่นคงนั้นยานูโควิชวางสถานะยูเครนให้เป็นกลางด้านการทหาร แต่ให้ความร่วมมือกับทั้งสองฝ่าย จุดนี้ดูเหมือนยานูโควิช “อยู่เป็น” ขึ้น ไม่ทำให้ประชาชนที่ไม่ชอบรัสเซียระคายเคืองเกินไป
อย่างไรก็ตาม การเลือกที่จะเข้าหากลุ่มประเทศยูเรเซีย (ที่นำโดยรัสเซีย) และปฏิเสธกรอบความร่วมมือกับสหภาพยุโรป รวมทั้งการความพยายามควบคุมสื่อต่างๆ ส่งผลให้ประชาชนจำนวนมากเริ่มออกมาเดินขบวนประท้วงอย่างยิ่งใหญ่ในปี 2013 เรียกว่าการปฏิวัติยูโรไมดาน ซึ่งชื่อปรากฏการณ์ครั้งนี้มาจากคำศัพท์สองคำคือ “ไมดาน” ที่แปลว่าจตุรัสอันมักเป็นจุดนัดพบสำคัญของกลุ่มผู้ประท้วง และ “ยูโร” ที่หมายถึงการเข้าหายุโรป
เมื่อสถานการณ์เริ่มบานปลาย รัฐบาลยูเครนจึงมีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ใช้กำลังสลายการชุมนุม ทำให้เกิดการต่อสู้ระหว่างทั้งสองฝ่าย จนนำไปสู่การถอดถอนตำแหน่งยานูโควิช โดยสภายูเครน
ส่งผลให้ยานูโควิชต้องหลบหนีไปยังรัสเซีย เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2014 เปิดทางให้รัฐบาลรักษาการเข้ามาควบคุมสถานการณ์แทน ขณะที่ฝ่ายรัสเซียออกมาโจมตีว่าความวุ่นวายครั้งนี้มีตะวันตกอยู่เบื้องหลัง
วิกฤตการณ์ไครเมีย
ท่ามกลางความวุ่นวายจากวิกฤตการณ์ทางการเมือง ประธานาธิบดีปูตินของรัสเซียที่เห็นว่ายูเครนที่ถูกปฏิวัติกำลังจะเข้าไปสวามิภักดิ์ตะวันตก ได้อาศัยจังหวะดังกล่าวส่งหน่วยปฏิบัติการพิเศษเข้าไปยังไครเมีย ซึ่งเป็นดินแดนที่ประชาชนมีความใกล้ชิดกับรัสเซีย อีกทั้งยังเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ
กองกำลังรัสเซียเข้าควบคุมสนามบิน, รัฐสภา, และสถานที่สำคัญอื่นๆ ในเมืองซิมเฟโรโพล หรือเมืองหลวงของไครเมีย โดยไม่มีการต่อต้านใดๆ จากกองทัพยูเครนซึ่งขาดแคลนอาวุธทันสมัย และบางส่วนก็เลือกที่จะแปรพักต์ไปอยู่กับฝ่ายรัสเซีย
แม้ว่ารัฐบาลของยูเครนจะพยายามเรียกร้องให้ฝ่ายรัสเซียถอนกำลังออกจากพื้นที่ดังกล่าว รวมถึงร้องเรียนให้ชาติตะวันตกเข้ามาแสดงจุดยืนในการปกป้องอธิปไตยของยูเครนตามข้อตกลงในปี 1994 ทว่า “กฎของกำลัง” ก็ทำให้ไม่มีใครยื่นมือเข้ามายุ่งกับวิกฤตครั้งนี้มากกว่าการประณาม
จากนั้นรัสเซียก็ผลักดันกระบวนการลงประชามติหาข้อสรุปในพื้นที่พิพาท ในเดือนมีนาคม 2014 โดยมีชาวไครเมียจำนวนมากเทคะแนนสนับสนุนการเข้าร่วมกับรัสเซียอย่างล้นหลาม ทำให้ไครเมียถูกผนวกรวมเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซียอย่างถูกกฎหมาย (?)
แม้ว่าชาวไครเมียส่วนใหญ่จะอยากสวามิภักดิ์รัสเซีย (ดูจากผลโพลที่สำรวจมาตั้งแต่ก่อนการผนวก) แต่เร็วๆ นี้รัสเซียได้ออกกฎหมายกดดันชาวไครเมียส่วนที่ต่อต้าน โดยบอกว่าชาวไครเมียคนใดยังถือตัวเป็นยูเครนและไม่รับสัญชาติรัสเซีย จะถูกนับเป็น “ชาวต่างชาติ” ห้ามมิให้ถือครองที่ดินในไครเมีย ต้องถูกบังคับขายที่ดินในราคาถูก หรือถูกไล่ที่ ซึ่งนับเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนเป็นอย่างร้ายแรง
การแบ่งแยกดินแดนในดอนบัส
นอกเหนือจากการผนวกไครเมียซึ่งเปรียบเสมือนอู่ข้าวอู่น้ำให้อยู่ใต้อำนาจของตนแล้ว รัฐบาลรัสเซียยังให้การสนับสนุนกลุ่มต่อต้านชาวยูเครนนิยมรัสเซียในจังหวัดโดเนตสก์ (Donetsk) และลูฮันสก์ (Luhansk) ให้ทำการสู้รบกับรัฐบาลยูเครน
สงครามกลางเมืองเริ่มขึ้นในวันที่ 4 เมษายน 2014 ด้วยการ ที่ฝ่ายต่อต้านบุกเข้าจู่โจมอาคารของฝ่ายรักษาความมั่นคงภายใน รัสเซียได้เข้ามาแทรกแซง ด้วยการส่งที่ปรึกษาทางทหาร, หน่วยปฏิบัติการพิเศษ, และเจ้าหน้าที่ข่าวกรองมายังพื้นที่พิพาท รวมทั้งระดมกำลังเกือบ 40,000 นาย บริเวณชายแดนติดกับยูเครน เพื่อส่งสัญญาณว่า “ตูพร้อมทำทุกอย่าง!”
ในช่วงเดือนเมษายน กองทัพรัสเซียได้แสดงแสนยานุภาพทางทหารด้วยการเคลื่อนพลราว 30,000 ถึง 40,000 นายมาประชิดชายแดน ก่อนจะมีการส่งกำลังมาอีกเสริมเรื่อยๆ
นอกจากนั้นยังเชื่อว่ามีการแอบสนับสนุน จนกองกำลังฝ่ายกบฎแข็งแกร่งขึ้นเป็นอันมาก และสามารถเอาชนะกองทัพยูเครนได้ในหลายสมรภูมิ
อย่างไรก็ตามทางการรัสเซียได้ปฏิเสธรายงานเรื่องการสนับสนุนกลุ่มต่อต้านมาโดยตลอด จนกระทั่งเกิดกรณีสะเทือนโลกขึ้นเมื่อเที่ยวบิน MH-17 ของสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ถูกยิงตกเหนือน่านฟ้าบริเวณข้อพิพาท ทำให้ลูกเรือและผู้โดยสารทั้ง 298 รายเสียชีวิต แม้ว่าทางการรัสเซียและยูเครนต่างกล่าวหาฝ่ายตรงข้ามว่า เป็นผู้ลงมือยิงเครื่องโดยสารทว่าความจริงข้อหนึ่งที่ปรากฎคือ “รัสเซียมีการเคลื่อนย้ายจรวดต่อสู้อากาศยานเข้ามาในบริเวณการสู้รบจริง”
นอกจากการเคลื่อนย้ายยุทโธปกรณ์หนักอาทิ ยานเกราะ, ปืนใหญ่, และจรวดต่อต้านอากาศยานแล้ว หน่วยข่าวกรองของยูเครนยังระบุว่า “มีทหารรัสเซียราว 3,000-4,000 นาย” ทำการสู้รบเคียงข้างฝ่ายกบฏ ณ เวลานั้น โดยระหว่างช่วงการปะทะระหว่างปี 2013 ถึง 2014 นั้นมีทหารยูเครนต้องสังเวยชีวิตเป็นจำนวนมาก
Minsk Protocol 1
เมื่อสู้รบได้ระยะหนึ่งทั้งสองฝ่ายได้เข้าสู่ขึ้นตอนการเจรจาสงบศึกตามกรอบพิธีสารกรุงมินสก์ครั้งที่ 1 โดยมีใจความสำคัญคือ:
การยุติความขัดแย้งระหว่างคู่สงครามทั้งสองฝ่าย พร้อมแลกเปลี่ยนเชลยศึก ภายใต้การสังเกตการณ์ขององค์การว่าด้วยความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป (OSCE)
การยอมรับสถานะพิเศษของจังหวัดทั้งสองในภูมิภาคดอนบัสให้มีการเลือกตั้งท้องถิ่น รวมถึงมีหน่วยงานท้องถิ่นที่จำเป็นเช่นตำรวจและศาล
ตั้งจุดผ่านแดนร่วมกันระหว่างกองกำลังรัสเซียและยูเครน
เดินหน้าทำงานร่วมกันเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่
จากข้อเสนอทั้งหมดจะเห็นว่ายูเครนเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างมาก นอกจากพวกเขาจะต้องสูญเสียอำนาจการปกครองในภูมิภาคแล้ว ฝ่ายรัสเซียยังสามารถก้าวเข้ามามีบทบาทในบริเวณข้อพิพาทดังกล่าว ขณะที่สหภาพยุโรปสามารถทำหน้าที่เพียงผู้สังเกตุการณ์
อย่างไรก็ตามรัฐบาลยูเครนของนายโปโรเชนโก ก็ยอมลงนามในวันที่ 16 ตุลาคม 2014 โดยข้อตกลงมีผลบังคับใช้เป็นเวลา 3 ปี อย่างไรก็ตามการสู้รบยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ เช่นเดียวกับอิทธิพลของรัสเซียที่เพิ่มขึ้นทั้งในด้านความมั่นคงและเศรษฐกิจ
Minsk Protocol 2
จากนั้นในปี 2016 ตัวแทนจากองค์การว่าด้วยความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป (OSCE), ยูเครน, รัสเซีย, โดเนตสก์, และลูฮันสก์ ได้เข้าสู่กระบวนการเจรจาในพิธีสารกรุงมินสก์ครั้งที่ 2 เพื่อหาข้อยุติการความขัดแย้งอีก โดยทั้งสองฝ่ายยอมรับข้อตกลงจำนวน 9 จาก 13 ข้อ ซึ่งประกอบด้วย การถอนอาวุธหนักจากบริเวณข้อพิพาท, การนิรโทษกรรมกำลังพลของคู่ขัดแย้ง, การแลกเปลี่ยนเชลยศึกของทั้งสองฝ่าย, การให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม, และการยุติการปฏิบัติการของทหารต่างชาติในพื้นที่ดังกล่าว
ขณะเดียวกันทั้งสองฝ่ายยังถกเถียงในประเด็นการให้อำนาจปกครองพื้นที่บางส่วนกับรัฐบาลยูเครน และการให้มีการตั้งพื้นที่กันชนที่ใช้กฎหมายพิเศษ (แต่อยู่ภายใต้การดูแลของยูเครน) แลกกับการอนุญาตให้ฝ่ายแบ่งแยกดินแดนสามารถจัดตั้งกองกำลังติดอาวุธท้องถิ่นสำหรับป้องกันตนเอง ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวสร้างความได้เปรียบให้แก่ฝ่ายแบ่งแยกดินแดน (อีกแล้ว) เพราะสามารถใช้เป็นข้ออ้างในการปกป้องพื้นดังกล่าว
แม้จะมีการลงนามในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2015 ทว่าการสู้รบยังคงดำเนินต่อไปจนฝ่ายกบฎสามารถยึดครองเมืองเดบอลต์เซฟได้สำเร็จ ก่อนจะดำเนินการถอนกำลังตามข้อตกลงในอีกสัปดาห์ต่อมา
ตามมาด้วยฝ่ายยูเครนที่ยอมถอนอาวุธหนัก อย่างไรก็ตามมีข้อมูลระบุว่า ฝ่ายกบฏได้ทำการละเมิดข้อตกลงอยู่หลายครั้ง ส่งผลให้เกิดการสู้รบประปรายตามบริเวณข้อพิพาท จนให้มีทหารและพลเรือนราว 150 รายเสียชีวิต จากการปะทะหลังข้อตกลงนี้บรรลุ
พูดง่ายๆ ว่าในช่วงนี้ยูเครนสู้กลุ่มแบ่งแยกดินแดนที่มีรัสเซียสนับสนุนไม่ค่อยได้ จนต้องยอมทำสัญญาเสียเปรียบหลายครั้ง
นอกจากนี้ฝ่ายรัสเซียยังคงมีบทบาทในการสนับสนุนด้านความมั่นคงให้กับกองกำลังฝ่ายกบฎทั้งสอง และมีความพยายามเสริมความพร้อมในภูมิภาคดอนบัสอยู่เป็นระยะ โดยผู้แทนจาก OSCE รายงานว่า “ยังเห็นทหารที่มีสัญลักษณ์ของรัสเซียร่วมรบกับกองกำลังฝ่ายกบฎ” รวมทั้งพบเห็นรอยสายพานยานเกราะบริเวณใกล้กับชายแดนยูเครน-รัสเซีย ส่งผลให้เกิดการสันนิษฐานว่า อาจมีการเคลื่อนย้ายกำลังในบริเวณดังกล่าว
เหตุการณ์ช่องแคบเคิร์ช
ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครนยังคงดำเนินไปเรื่อยๆ ภายหลังการผนวกไครเมียและการลงนามในข้อตกลงหยุดยิงที่ดอนบัสในปี 2015
หนึ่งในเหตุสำคัญคือ “เหตุการณ์ช่องแคบเคิร์ช” ซึ่งช่องแคบดังกล่าวเป็นจุดผ่านเข้าสู่ทะเลอาซอฟที่ทั้งสองประเทศต่างมีสิทธิตามสนธิสัญญาทวิภาคีที่ลงนามเอาไว้ในปี 2003 ซึ่งต่อมาเมื่อรัสเซียผนวกไครเมียได้ จึงได้สร้างสะพานไครเมียคร่อมช่องแคบดังกล่าวในปี 2016 เพื่อเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างภาคใต้ของรัสเซียกับแหลมไครเมีย ประดุจบอกว่าสัญญาเก่าไม่สามารถห้ามการกระทำนี้ เพราะตรงนี้เป็นของรัสเซียแล้ว
สิ่งนี้สร้างความไม่พอใจให้กับยูเครนเป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่สามารถคัดค้านอะไรได้ เพราะตามกฎของกำลัง รัสเซียนั้นแข็งแกร่งกว่า (อีกแล้ว) และยังได้รับการสนับสนุนจากประชาชนในพื้นที่ซึ่งโปรรัสเซียมาตลอด
ในปี 2018 สถานการณ์ในทะเลอาซอฟกลับมาตึงเครียดอีกครั้ง เมื่อหน่วยยามฝั่งของยูเครนได้ทำการยึดเรือประมง “นอร์ท” ที่เดินทางออกจากไครเมียในข้อหารุกล้ำน่านน้ำ จากนั้นในเดือนกันยายนเรือสองลำซึ่งอยู่ใต้การควบคุมของรองผู้บัญชาการทหารเรือยูเครน ได้เดินทางไปยังพื้นที่พิพาทผ่านช่องแคบเคิร์ช โดยไม่สนใจขั้นตอนการขออนุญาต (เขาอ้างสิทธิในการใช้พื้นที่ดังกล่าวร่วมกันที่เคยทำไว้แต่เดิม) ส่งผลให้ทางรัสเซีย ส่งเรือจำนวน 13 ลำติดตาม แต่ไม่การใช้กำลังใดๆ จนเรือทั้งสองเดินทางไปถึงเมืองท่ามารียูปอลได้สำเร็จ
ช่วงเช้าของวันที่ 25 พฤศจิกายน ขบวนเรือของยูเครนซึ่งประกอบด้วย เรือลากจูงและเรือหุ้มเกราะติดปืนรวม 3 ลำ ได้เดินทางไปยังเมืองมารียูปอล ด้วยการเดินเรือผ่านบริเวณพื้นที่พิพาท อย่างไรก็ตามเมื่อเดินทางผ่านช่องแคบเคิร์ช หน่วยยามฝั่งของรัสเซียได้กล่าวหาว่า “ยูเครนได้พยายามรุกล้ำน่านน้ำรัสเซีย” และสั่งให้เรือทั้งหมดหันหน้ากลับไป จนนำไปสู่การที่ฝ่ายรัสเซียนำเรือยามฝั่งพุ่งชนเรือปืนหุ้มเกราะของยูเครน จนได้รับความเสียหายทั้งสองฝ่าย
ความพยายามดังกล่าวไม่สามารถหยุดยั้งการเดินทางของหมู่เรือยูเครนได้ แต่รัสเซียก็ยังเอาเรือสินค้าขนาดใหญ่ไปขวางไว้ใต้สะพานอีก จนฝ่ายยูเครนต้องหยุดทอดสมอใกล้กับสะพานไครเมียราว 14 กิโลเมตร ก่อนที่จะถอนกำลังกลับไปหลังรอคอยนานกว่า 8 ชั่วโมง
แม้ยูเครนจะยอมถอย แต่กองกำลังรัสเซียที่ประกอบด้วยเรือผิวน้ำ และอากาศยานได้ติดตามเข้าไปควบคุมเรือของยูเครนทั้งสามลำในน่านน้ำสากล
ภายหลังการปะทะดังกล่าว ทั้งสองประเทศต่างโทษว่าอีกฝ่ายเป็นคนเริ่มต้นการยั่วยุ โดยทางรัสเซียกล่าวหาเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดจากการสร้างสถานการณ์ทางการเมืองของผู้นำยูเครน และขู่จะนำจรวดต่อต้านอากาศยานรุ่น S-400 มาประจำการในไครเมีย
ขณะที่ยูเครนพยายามอ้างสิทธิตามมติของสหประชาชาติเกี่ยวกับคำนิยามของการรุกรานประเทศว่าด้วยการปิดล้อมทางทะเลและใช้กำลังเข้าโจมตีคู่ขัดแย้ง พร้อมกับเรียกร้องให้รัสเซียเคารพสนธิสัญญาทวิภาคี พร้อมกับประกาศ กฎอัยการศึกที่ห้ามชายชาวรัสเซียอายุระหว่าง 16 และ 60 ปี เดินทางเข้ามาในประเทศยูเครน (ยกเว้นเพื่อภารกิจด้านมนุษยธรรม) ก่อนจะประกาศยุติคำสั่งดังกล่าวในเวลาต่อมา
การเผชิญหน้าครั้งใหม่
ปลายปีที่แล้ว ประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน ออกมาส่งสัญญาณเตือนไปยังกลุ่มประเทศนาโต้
ว่ารัสเซียจะไม่ยอมให้ฝ่ายตะวันตกให้การสนับสนุนด้านยุทโธปกรณ์และการฝึกสอนกำลังพลของยูเครน พร้อมจะดำเนินมาตรการตอบโต้ทางทหาร
นอกจากนี้กองทัพรัสเซียยังทำการส่งทหารราว 127,000 นาย พร้อมด้วยยุทโธปกรณ์หนักทั้งทัพบก, ทัพเรือ, และทัพอากาศไปตรึงกำลังบริเวณชายแดนรัสเซีย รวมถึงดินแดนไครเมียและดินแดนดอนบัส ซึ่งรัสเซียสนับสนุนกบฏแบ่งแยกดินแดนอยู่ เพื่อส่งสัญญาณว่ารัสเซียพร้อมปกป้องความมั่นคงของตนเอง รวมถึงเน้นย้ำว่าสหรัฐกำลังทำผิดสัญญาซึ่งเคยให้ไว้กับประธานาธิบดี มิคาอิล กอร์บาชอฟ ใน
ต้นยุค 1990s บอกว่าจะไม่ขยายอิทธิพลนาโต้มาในพื้นที่อิทธิพลของสหภาพโซเวียต
ขณะที่ทางสหรัฐตอบโต้ว่า “สัญญาดังกล่าวนั้น เกิดขึ้นในช่วงที่สหภาพโซเวียตและกลุ่มวอร์ซอแพคยังไม่ล่มสลาย ดังนั้นตอนนี้เมื่อโซเวียตล่มสลายถือว่าจบสัญญาแล้ว” อย่างไรก็ตามทางนาโต้ยังยินดีเจรจาผ่านการพูดคุยเพื่อหาทางออกโดยสันติ พร้อมเน้นย้ำว่า ไม่มีนโยบายส่งทหารไปยังยูเครนหากเกิดสงคราม
อีกด้านหนึ่งประธานาธิบดีไบเดนบอกว่าพร้อมดำเนินมาตรการทางเศรษฐกิจและการทูต เพื่อสกัดกั้นความพยายามทำสงครามของรัสเซีย รวมถึงพิจารณาการเคลื่อนย้ายกำลังทหารราว 5,000 – 8,500 นาย พร้อมกับอากาศยานและกองเรือไปยังยุโรปตะวันออก เพื่อแสดงให้เห็นว่ารัสเซียไม่ใช่ฝ่ายเดียวที่สามารถเคลื่อนย้ายกำลังตามอำเภอใจ
นับว่าเป็นโชคดีอยู่บ้างที่ผู้นำทั้งสองฝ่ายยังคงพยายามหาทางยุติความขัดแย้งด้วยกระบวนการทางการทูต โดยฝ่ายสหรัฐได้ยื่นข้อเสนอจะลดจำนวนขีปนาวุธ, เครือข่ายป้องกันขีปนาวุธ, การฝึกต่างๆ, รวมถึงลดความช่วยเหลือบางส่วนต่อยูเครน แต่ยังปฏิเสธข้อเรียกร้องการถอนกำลังจากแนวป้องกันด้านยุโรปตะวันออกและเน้นย้ำว่าฝ่ายยูเครนนั้นมีสิทธิจะสามารถเข้าร่วมเป็นสมาชิกนาโต้ได้
ส่วนประเทศนาโต้อื่นๆ อาทิ เดนมาร์ก, อังกฤษ, เนเธอแลนด์, สเปน, รวมถึงกลุ่มประเทศบอลติก ต่างหันมาสนับสนุนการเสริมกำลังและส่งมอบยุทโธปกรณ์ให้กับยูเครน เพื่อป้องกันประเทศหากถูกรุกราน ทำให้เราจำเป็นต้องจับตามองสถานการณ์นี้อย่างใกล้ชิด
เหตุการณ์ที่อาจจะเกิด
จากเหตุการณ์ทั้งหมดทำให้ผมพอจะสามารถสรุปเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นเป็น 3 รูปแบบหลักๆ คือ:
รูปแบบแรก: มีการเจรจาต่อรองเป็นผลสำเร็จ
จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นมาเป็นเวลาหลายปี เราจะเห็นว่าทั้งรัสเซียและตะวันตกต่างออกมาแสดงแสนยานุภาพในพื้นที่ของตนเป็นการส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายตระหนักว่า “พวกเขามีศักยภาพทางทหารพอที่จะตอบโต้หากเกิดสงครามขึ้น”
ทว่าสุดท้ายแล้วขั้นตอนทั้งหมดก็มักจบลงบนโต๊ะเจรจา ซึ่งดูแล้วตอนนี้สหรัฐยังยอมให้รัสเซียเป็นฝ่ายที่ถือไพ่เหนือกว่าในตอนนี้ ทั้งการยอมลดจำนวนการฝึก, อาวุธ, และการสนับสนุนยูเครน คือดูเหมือนยังเกรงใจที่เป็นพื้นที่อิทธิพลของรัสเซีย หรือที่เรียกว่า “Near Abroad”
รูปแบบที่สอง: รัสเซียทำการบุกยูเครน โดยนาโต้ไม่แทรกแซง
ในการบุกยูเครนนั้นฝ่ายรัสเซียจะได้เปรียบในช่วงแรกของสงครามด้วยเทคโนโลยี, ประสบการณ์การรบ, และขีดความสามารถทางการทหารที่เหนือกว่า ทำให้การยึดครองยูเครนสามารถทำได้อย่างไม่ยากลำบากนัก
อย่างไรก็ตามการปกครองพื้นที่ทั้งหมดจำต้องเผชิญหน้ากับการต่อต้านจากกองกำลังยูเครนที่ได้รับการสนับสนุนด้านอาวุธจากกลุ่มประเทศนาโต้ แม้ว่าฝ่ายรัสเซียจะสามารถใช้ยุทโธปกรณ์ต่างๆ กำราบฝ่ายกบฎได้ ทว่าเศรษฐกิจในประเทศย่อมได้รับผลกระทบจากสงครามระยะยาว
ดังนั้นรัสเซียอาจไม่ยึดยูเครนทั้งหมด แต่เดินเกมระยะสั้นแต่รุนแรงและเด็ดขาดด้วยการเข้ายึดครองพื้นที่สำคัญอาทิ บริเวณข้อพิพาทใกล้กับที่ตั้งของกลุ่มกบฏสายโปรรัสเซีย, การโจมตีพื้นที่ใกล้กับไครเมียเพื่อปิดทางออกทะเล, หรืออาจจะเข้ายึดครองดินแดนฝั่งตะวันตกของยูเครนจนไปถึงแม่น้ำนีเปอร์ที่ขั้นกลางประเทศ แล้วบีบให้ยูเครนเข้าสู่โต๊ะเจรจา คล้ายกับกรณีของจอร์เจีย ซึ่งทุกวันนี้ยังมีพื้นที่บางส่วน ตกอยู่ใต้อิทธิพลของรัสเซีย
การทำสงครามในรูปแบบหลังนั้นมีความเป็นไปได้ เพราะรัสเซียได้เคยแสดงให้เห็นมาแล้วว่า พร้อมใช้กำลังเข้าบดขยี้คู่สงครามอย่างเด็ดขาดมาหลายต่อหลายครั้ง เพียงแต่ด้วยสภาพเศรษฐกิจของรัสเซียที่ไม่ได้ดีมาก ทำให้เงื่อนไขที่นำไปสู่การทำสงครามระหว่างทั้งสองฝ่าย ณ เวลานี้ ยังไม่สมบูรณ์
รูปแบบที่สาม: การทำสงครามเต็มรูปแบบระหว่างนาโต้และรัสเซีย
อันนี้มีความเป็นไปได้น้อยมาก เนื่องจากทั้งสองฝ่ายย่อมไม่ต้องการเผชิญหน้ากันตรงๆ โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาที่ในปัจจุบันยังติดพันกับศึกจีน โดยได้ถอนกำลังจำนวนมากไปตรึง ณ ภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก เพื่อสกัดกั้นการขยายอิทธิพลของพญามังกร ดังนั้นการเผชิญหน้าทางทหารเต็มรูปแบบระหว่างสองขั้วอำนาจมีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อยมากๆ
สุดท้ายแล้วไม่ว่าบทสรุปของเรื่องราวนี้จะจบลงอย่างไร ทว่าความจริงข้อหนึ่งที่เราไม่สามารถปฏิเสธได้เลยก็คือ ยูเครนจะ “ซวย” ไม่ว่าผลลัพธ์ออกมาด้านไหน คือหากการเจรจาสำเร็จพวกเขาก็จะถูกบั่นทอนความช่วยเหลือจากสหรัฐลง แต่หากเกิดสงครามขึ้นประเทศของพวกเขาก็จะกลายเป็นสมรภูมิที่โหดร้าย และมันจะเป็นทางออกที่เลวร้ายนั่นเอง
0 Comment