ประเทศพม่าเป็นประเทศที่อยู่ติดกับชายแดนตะวันตกของไทย และขึ้นชื่อเรื่องระบอบเผด็จการทหารและความขัดแย้งกับชนกลุ่มน้อยที่ดำเนินมาหลายสิบปี
และนับตั้งแต่เหตุรัฐประหารในประเทศพม่าในปี 2021 เป็นต้นมา ข่าวสารที่ออกมาจากพม่าส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องการสู้รบกันระหว่างประชาชนกับรัฐบาลทหารพม่า จนได้รับความสูญเสียมากมาย
จากวันนั้นถึงวันนี้ การต่อสู้ก็ยังดำเนินต่อไปอย่างไม่มีทีท่าว่าจะสิ้นสุด ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังความเป็นอย่างยิ่ง บทความนี้จะขอพาทุกท่านไปทำความเข้าใจพร้อมกันว่าเวลาปีครึ่งที่ผ่านมามีอะไรเกิดขึ้นแล้วบ้าง เพื่อให้เราเข้าใจ และรับมือกับสถานการณ์ของประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องมีผลกระทบต่อเราเป็นอย่างยิ่งครับ
ประเทศพม่า
ประเทศพม่าหรือเมียนมาเป็นรัฐเดี่ยว มีพื้นที่ประมาณ 670,000 ตารางกิโลเมตรซึ่งใหญ่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แผ่นดินใหญ่ ภูมิประเทศเป็นแนวเทือกเขาทางตะวันตกและตะวันออก ส่วนภาคกลางเป็นที่ราบ
พม่าเป็นประเทศที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์มาก โดยมีถึง 135 กลุ่มชาติพันธุ์ กลุ่มใหญ่ๆ เช่น ไทใหญ่ กะเหรี่ยง ยะไข่ (ระขึ่นหรืออะระกัน) หรือมอญ เป็นต้น …หรือแม้แต่ชาวโรฮีนจาที่อาศัยอยู่ในพื้นที่รัฐยะไข่ทางตะวันตกของพม่ามานับพันปี
พม่าแบ่งการปกครองออกเป็น 7 เขต 7 รัฐ และ 6 พื้นที่ปกครองตนเอง อย่างไรก็ตาม แม้จะใช้ชื่อว่า “รัฐ” แต่จริงๆ แล้วอำนาจส่วนใหญ่ยังคงอยู่กับรัฐบาลกลาง แม้ในช่วงที่มีการเปลี่ยนผ่านสู่ระบอบประชาธิปไตยสั้นๆ ประมาณทศวรรษ 2010s โดยประธานาธิบดีพม่ามีอำนาจเลือกผู้นำเขตปกครองต่างๆ จากรายชื่อที่เขตนั้นๆ เสนอมา
รัฐแต่ละรัฐได้ชื่อตามชนกลุ่มน้อยขนาดใหญ่ในรัฐนั้นๆ เช่น รัฐกะเหรี่ยง รัฐฉาน (ซึ่งมีชาวไทใหญ่)
…ซึ่งปัจจัยทางด้านชาติพันธุ์และรูปแบบการปกครองรวมศูนย์อำนาจนี้เองจะเป็นชนวนความขัดแย้งในปัจจุบันของพม่าดังที่จะได้เล่าต่อไป…
กองทัพพม่า
เมื่อพูดถึงประเทศพม่าแล้ว เรื่องต่อไปที่ควรทำความรู้จักคือผู้ใช้อำนาจการเมืองหลักของประเทศ คือ กองทัพพม่า
กองทัพพม่ามีกำลังพลประมาณ 480,000 คน นับเป็นกองทัพประจำการใหญ่ขนาด 12 ของโลก แม้ไม่มีการเปิดเผยงบประมาณอย่างเป็นทางการ แต่คาดว่าอาจสูงถึงร้อยละ 14 ของจีดีพี
กองทัพพม่ามีประสบการณ์รบพุ่งกับชนกลุ่มน้อยในประเทศอย่างโชกโชน จนได้ชื่อว่าเป็นกองทัพที่ดีที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รองจากเวียดนาม
กองทัพนี้ยังกุมเศรษฐกิจของประเทศผ่านบริษัทยักษ์ใหญ่ที่บริหารเอง คือ เมียนมาอีโคโนมิกโฮลดิงส์จำกัด (MEHL) และบรรษัทเศรษฐกิจเมียนมา (MEC) ซึ่งคุมทั้งภาคการเกษตร เหมืองแร่ ทรัพยากรธรรมชาติ โทรคมนาคมและการธนาคาร และยังมีกองทุนบำนาญของกองทัพ สิ่งเหล่านี้ทำให้กองทัพพม่ามี “ท่อน้ำเลี้ยง” ของตัวเองอยู่ตลอด ซึ่งรัฐบาลพลเรือนไม่สามารถควบคุมได้เลย
โศกนาฏกรรมสงครามกลางเมืองไม่รู้จบ
การจะทำความเข้าใจต้นตอของ “สงครามกลางเมืองพม่า” อันยาวนานนั้น ควรจะต้องไปตั้งต้นที่พม่ากำลังจะได้รับเอกราชจากอังกฤษซึ่งในช่วงนั้น นายพล “อองซาน” ชาวพม่าซึ่งมีบทบาทสำคัญในการต่อสู้กับทั้งทางการอังกฤษและญี่ปุ่น จนถือได้ว่ามีส่วนสำคัญในเอกราชของพม่า ได้เจรจากับผู้นำชนกลุ่มน้อยต่างๆ ลงนาม “ความตกลงปางหลวง” ปี 1947
เนื้อหาของความตกลงฉบับนี้คือ จะให้ชนกลุ่มน้อยในพม่ามีอำนาจปกครองตนเองในรูปแบบสหพันธรัฐ และนายพลอองซานรับปากว่า เมื่อเวลาผ่านไป 10 ปีหลังได้รับเอกราชจากอังกฤษแล้ว พวกเขาจะสามารถเลือกได้ว่าจะรวมอยู่กับพม่าต่อไปหรือจะแยกเป็นเอกราช ซึ่งจะมีการนำสิ่งนี้ไปบรรจุไว้ในรัฐธรรมนูญของประเทศ
แต่อองซานพูดจริงทำจริงหรือไม่นั้น ไม่อาจรู้ได้ เพราะก่อนที่จะร่างรัฐธรรมนูญเสร็จ อองซานก็ถูกลอบสังหารเสียก่อน
ความขัดแย้งในยุคแรกๆ นั้นกองทัพพม่ามีคู่ต่อสู้เป็นพรรคคอมมิวนิสต์พม่าซึ่งมีฐานอยู่ในรัฐฉาน กับสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (KNU) ซึ่งต้องการเรียกร้องรัฐเอกราชของตัวเอง
KNU มีหลักการ 4 ข้อ คือ 1. จะไม่ยอมแพ้ 2. จะต้องรับรองรัฐกะเหรี่ยงอย่างสมบูรณ์ 3. จะไม่ยอมวางอาวุธ และ 4. จะกำหนดชะตากรรมของตัวเอง ฝ่ายอาวุธของ KNU คือ กองทัพปลดปล่อยแห่งชาติกะเหรี่ยง (KNLA) มีการแบ่งกำลังออกเป็น “กองพล” (brigade ตามศัพท์แปลว่า “กองพลน้อย”) ซึ่งเป็นหน่วยที่สามารถพึ่งตนเองได้ โดยมีทั้งโรงเรียนและโรงพยาบาลของตนเอง
การสู้รบในช่วงแรกๆ ปรากฏว่าในช่วง 2 ปี (1950-1952) ทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้ว 20,000 คนซึ่งเป็นตัวเลขที่รัฐบาลเปิดเผย แต่ผู้ศึกษาคาดว่าอาจมีผู้เสียชีวิตสูงถึง 60,000 คนและมีผู้พลัดถิ่นอีกกว่า 2 ล้านคน
ในปี 1962 เกิดรัฐประหารนำโดยนายพลเนวินซึ่งเป็นพวกชาตินิยมสายเหยี่ยว โดยกองทัพพม่ามีการเสนอยุทธศาสตร์ “สี่ตัด” เพื่อทำลายการต่อต้าน คือ ตัดกำลังพล ตัดการสื่อสาร ตัดเสบียงอาหารและตัดเงินสนับสนุนพัฒนาพื้นที่ หรือก็คือคือการกดขี่ชนกลุ่มน้อยที่บังอาจต่อสู้กับรัฐบาลนั่นเอง (ตรงข้ามกับยุทธศาสตร์พัฒนาชนบทที่รัฐบาลไทยใช้ในการต่อสู้กับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย)
และแน่นอน ความขัดแย้งยิ่งบานปลายโดยเกิดกลุ่มติดอาวุธชาติพันธุ์อื่นๆ ขึ้น โดยกลุ่มใหญ่ๆ เช่น กองทัพเอกราชกะชีน (ในรัฐกะชีน), กองทัพรัฐฉานเหนือ (ในรัฐฉาน), กองทัพรวมแห่งรัฐว้า (ในรัฐฉาน), กองทัพยะไข่ (ในรัฐยะไข่), กองทัพเมิงไต และกองทัพรัฐฉานใต้ (ในรัฐฉาน) เป็นต้น
ด้วยลักษณะภูมิประเทศและกองกำลังชนกลุ่มน้อยที่มีจำกัดทำให้ต้องก่อการในลักษณะกองโจรไปเรื่อยๆ โดยตั้งฐานในพื้นที่ทุรกันดารหรือแถบชายแดนซึ่งกลายเป็น “พื้นที่สีดำ” หรือพื้นที่ที่อำนาจรัฐบาลพม่าเข้าไปไม่ถึง ส่วนที่เหลือยังเป็น “พื้นที่สีขาว” คือพื้นที่ที่รัฐบาลพม่ามีอำนาจสมบูรณ์ และ “พื้นที่สีน้ำตาล” คือพื้นที่ที่รัฐบาลพม่ามีอำนาจบางส่วน นี่จึงเป็นสาเหตุว่าทำไม “สงครามกลางเมือง” นี้ถึงได้ลากยาวมาหลายสิบปี
นอกจากนี้ ยังควรเข้าใจว่าความขัดแย้งระหว่างชนกลุ่มน้อยกับรัฐบาลพม่ายังมีประเทศอื่นแทรกแซงด้วย เช่น KNU ได้รับการสนับสนุนจากไทยเพื่อป้องกันไม่ให้พรรคคอมมิวนิสต์พม่ากับไทยรวมตัวกันติด แต่ต่อมาความช่วยเหลือนี้ลดลงเพราะรัฐบาลไทยกับพม่าเริ่มมีผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจร่วมกัน หรือกรณีของกองทัพรวมแห่งรัฐว้า หรือที่คุ้นหูว่า “ว้าแดง” ก็ได้รับความช่วยเหลือจากจีนเนื่องจากชาติพันธุ์ว้ามีความใกล้ชิดกับจีน จึงได้รับการสนับสนุนให้มาช่วยควบคุมผลประโยชน์ของจีน โดยเฉพาะตามแนวท่อส่งน้ำมันและแก๊สธรรมชาติ
สงครามครั้งนี้ยังมีชนกลุ่มน้อยบางกลุ่มหารายได้ด้วยวิธีส่งออกยาเสพติด อย่างกองทัพเมิงไตมีผู้นำชื่อ “ขุนส่า” ซึ่งเป็นพ่อค้ายาเสพติดรายใหญ่โดยมีการผลิตที่สามเหลี่ยมทองคำ และลำเลียงออกทางประเทศไทย แต่ภายหลังถูกกองทัพพม่ากับกองทัพรวมแห่งรัฐว้าช่วยกันปราบปราม นอกจากนี้ยังถูกบีบโดยทางการสหรัฐ ผลสุดท้ายขุนส่าจึงยอมจำนนต่อกองทัพพม่า และกองทัพเมิงไตเดิมได้แตกออกมาเป็นกองทัพรัฐฉานใต้นำโดย “เจ้ายอดศึก”
นอกจากกรณีที่ชาติพันธุ์ว้ารบกับชาติพันธุ์ไทใหญ่ในรัฐฉานแล้ว ยังมีกรณีที่ชนกลุ่มน้อยรบกันเองอีกหลายพื้นที่ เช่น KNU ซึ่งเป็นกะเหรี่ยงคริสต์เกิดเหตุให้รบกับกองกำลังกะเหรี่ยงประชาธิปไตยพุทธ ซึ่งพวกหลังนี้ยอมหยุดยิงกับรัฐบาลพม่าแล้วหันมาชิงพื้นที่กันเอง
เรื่องราวทั้งหมดนี้เกิดขึ้นพร้อมกับความรุนแรงของทหารพม่า ซึ่งใช้วิธีการกดขี่หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเก็บภาษีหรือค่าคุ้มครอง ไปจนถึงการทรมาน ข่มขืน และสังหารชนกลุ่มน้อย
อีกด้านหนึ่ง รัฐบาลพม่ายังต้องรับมือกับประชาชนชาวพม่าที่เรียกร้องชาวประชาธิปไตย พวกเขาเชิดชู “อองซานซูจี” ลูกสาวของนายพลอองซาน เป็นสัญลักษณ์แห่งประชาธิปไตยพม่า
เธอเป็นผู้ก่อตั้งพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (NLD) ซึ่งเคยชนะการเลือกตั้งมาแล้วหลายครั้ง แต่ถูกทางการพม่ากลั่นแกล้งต่างๆ นานา โดยถูกจับให้อยู่แต่ในบ้านเป็นเวลานานด้วยข้อหามีเครื่องมือสื่อสาร (วอล์กกี-ทอล์กกี) และต่อมาเธอโดนเงื่อนไขกฎหมายมีคู่สมรสเป็นชาวต่างชาติทำให้เป็นประธานาธิบดีไม่ได้
ประชาชนชาวพม่าเองก็มีการลุกฮือต่อต้านรัฐบาลทหารพม่าหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการลุกฮือ 8888 ในปี 1988 ต่อรัฐบาลเนวิน หรือการปฏิวัติผ้ากาสาวพัสตร์ในช่วงปี 2007-2008 ในสมัยพลเอกอาวุโสตานฉ่วย แม้จะมีผู้เข้าร่วมหลักล้านคน แต่ก็ไม่อาจสั่นคลอนความมั่นคงของรัฐบาลทหารพม่าได้
สถานการณ์ทั้งหมดนี้เริ่มดีขึ้นบ้างหลังมีการปฏิรูปทางการเมืองในทศวรรษ 2010s มีการลงนามข้อตกลงหยุดยิงทั่วประเทศกับกองกำลังชนกลุ่มน้อย 9 กลุ่ม (รวมกลุ่มที่เข้ามาลงนามในภายหลัง) อย่างไรก็ตาม แม้จะเข้าสู่ยุคประชาธิปไตยในรัฐบาลนอมนีของอองซานซูจี แต่ก็เห็นได้ชัดว่าเธอทำเพื่อชาวพม่า โดยจะเห็นเธอปกป้องกองทัพกรณีกดขี่พวกโรฮิงญาและไม่ได้กระจายอำนาจให้แก่ชนกลุ่มน้อยอย่างที่พวกเขาต้องการ
นี่คือภาพรวมของสถานการณ์ก่อนปี 2021…
รัฐประหารที่เปลี่ยนทุกสิ่งทุกอย่าง
ในเดือนกุมภาพันธ์ 2021 พลเอกอาวุโสมินอ่องหล่าย ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของพม่า รัฐประหารรัฐบาลพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตยของอองซานซูจี โดยอ้างว่ามีการโกงการเลือกตั้ง พวกเขาตั้งสภาบริหารแห่งรัฐ (SAC) เป็นรัฐบาลชั่วคราวและตอนแรกมีประกาศว่ากองทัพจะคุมอำนาจเป็นเวลา 1 ปี
ในเดือนเมษายนปีเดียวกัน คณะรัฐบาลที่ถูกปฏิวัติจึงประกาศตั้งเป็นรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติพม่า (NUG) เป็นรัฐบาลพลัดถิ่น
แรงจูงใจของมินอ่องหล่ายนั้นมีการวิเคราะห์ไว้ว่าเป็นเพราะเขาใกล้จะเกษียณอายุราชการ และต้องการรักษาอำนาจ นอกจากนั้นเขายังมีโอกาสถูกดำเนินคดีฐานอาชญากรรมสงครามจากการปราบปรามโรฮิงญาอย่างรุนแรงในศาลระหว่างประเทศ
สำหรับท่าทีของนานาชาติ แม้ชาติตะวันตกและอาเซียนบางส่วนประณามพม่า แต่จีนกับรัสเซียยังคงให้การสนับสนุนพม่าต่อไป โดยเป็นผู้จัดส่งอาวุธยุทโธปกรณ์รายสำคัญ เช่นเดียวกับเอกชนอิสราเอลบางส่วนที่เพิกเฉยต่อคำสั่งศาล ส่วนไทยนั้นประกาศไม่ยุ่งเกี่ยวในกิจการภายในของพม่า และให้การต้อนรับรัฐมนตรีของพม่าในช่วง 3 สัปดาห์หลังรัฐประหาร
แต่ปฏิกิริยาภายในประเทศพม่าเองนั้น พบว่าประชาชนชาวพม่ามีการต่อต้านรัฐประหารอย่างกว้างขวาง ประชาชนหลายส่วนทั้งผู้ใช้แรงงาน ข้าราชการ บุคลากรสาธารณสุข คนบันเทิง นักบวช ตำรวจ และทหารบางส่วนได้ต่อต้านการปฏิวัติ โดยมีการใช้วิธีการเช่น นัดหยุดงานประท้วง, การเคาะหม้อซึ่งเป็นพิธีกรรมขับไล่สิ่งชั่วร้าย, การพังรถยนต์กีดขวางถนนเพื่อขัดขวางทางการ ไปจนถึงคว่ำบาตรธุรกิจของกองทัพ
ขณะที่กองทัพตอบโต้ด้วยการควบคุมอินเทอร์เน็ตและการประกาศกฎอัยการศึก ทำการจับกุมผู้ต่อต้าน นอกจากนั้นยังสลายการชุมนุมต่อต้าน และตั้งม็อบชนม็อบ …ไปจนกระทั่งมีการใช้กระสุนจริง
…ผลคือจนถึงเดือนพฤษภาคม 2022 คาดว่ามีฝ่ายผู้ประท้วงเสียชีวิตแล้วกว่า 2,000 คน ถูกกักขังอีกกว่า 11,000 คน
แม้การปราบปรามลักษณะนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้งในยุคเผด็จการทหารพม่า ซึ่งอาจเป็นเหตุผลที่รัฐบาลเลือกใช้วิธีการนี้อีกครั้ง แต่สิ่งที่น่าสนใจคือรอบนี้ต่างออกไป เพราะเป็นครั้งแรกที่ชาวพม่าซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศตัดสินใจจับอาวุธขึ้นสู้กับรัฐบาล!
ผู้ประท้วงชาวพม่าบางส่วนมีการฝึกอาวุธ จัดตั้งเป็นกองกำลังพิทักษ์ประชาชน (PDF) ก่อเหตุยิงปะทะและใช้ระเบิดแสวงเครื่องกับทางการ ขณะที่กองกำลังชนกลุ่มน้อยบางกลุ่มก็กลับมารบกับรัฐบาลอีกครั้งและเข้ากับรัฐบาลพลัดถิ่น
นี่คือสภาพที่เกิดขึ้น ทำให้เศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของประชาชนต้องย่ำแย่ และทำให้ตัวเลขผู้พลัดถิ่นในประเทศ และผู้ลี้ภัยไปยังประเทศอื่นอย่างไทยและอินเดียเพิ่มสูงขึ้น จนอาจถึง 1.1 ล้านคนเข้าไปแล้ว
จะเกิดอะไรขึ้นต่อไป?
วิกฤตความรุนแรงที่เข้าขั้น “สงครามกลางเมือง” ย่อมๆ ในพม่านี้เป็นสิ่งที่ยังมองไม่เห็นทางออก
ทั้งฝ่ายรัฐบาลไม่มีเหตุผลจะต้องรามือ มีแต่จะยกระดับความรุนแรงขึ้นเพื่อหวังกำราบฝ่ายต่อต้านให้ราบคาบ ขณะที่ฝ่ายประชาชนพม่าและชนกลุ่มน้อยก็ไม่ยอมวางอาวุธเช่นกัน โดยเฉพาะชนกลุ่มน้อยที่ได้รับบทเรียนอันเจ็บปวดแล้วว่ารัฐบาลทหารพม่าไม่ว่ายุคใดสมัยใดก็ล้วนประสงค์ร้ายต่อพวกเขาทั้งสิ้น ถ้ายอมวางอาวุธจะไม่อาจป้องกันตัวเองได้เลย
มีรายงานการฆ่า การลักพาตัว ทุบตี ทรมาน บังคับใช้แรงงาน เผาหมู่บ้าน บังคับย้ายถิ่น เกณฑ์ทหารเด็ก การใช้ความรุนแรงทางเพศ ไปจนถึงการใช้กำลังทางอากาศโจมตีผู้ประท้วงก็เคยมาแล้ว หรือฝ่ายต่อต้านรัฐบาลเองก็ลงมือทำร้ายคนของรัฐบาลทหารหลายกรณี
การวิเคราะห์สถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในพม่าทำได้ยาก เพราะมีลักษณะเป็นความขัดแย้งที่เกิดขึ้นเป็นหย่อมๆ ทั่วไป ไม่ได้มีการยึดพื้นที่หรือสถาปนาเป็นแนวรบชัดเจนเหมือนอย่างสงครามยูเครน ลักษณะจะคล้ายๆ กับความไม่สงบในภาคใต้ของไทยมากกว่า แต่ภาพรวมในระยะยาวก็มีสื่อตะวันตกหลายสำนักวิเคราะห์ว่าฝ่ายรัฐบาลทหารพม่ากำลังอ่อนแอลง
เท่าที่พบเห็นคือ กองทหารพม่ามีขนาดเล็กลงจนจำเป็นต้องขอยืมมือตำรวจมาช่วยปฏิบัติการด้วย รวมทั้งกองทัพพม่าไม่สามารถรักษาหลายๆ พื้นที่ได้หลังโดนกลุ่ม PDF และกองกำลังชนกลุ่มน้อยโจมตี โดยมีรายงานว่าพื้นที่เกือบครึ่งประเทศอยู่ในมือของ PDF หรือกองกำลังชนกลุ่มน้อยแล้ว ตามข้อมูลของศูนย์ศึกษายุทธศาสตร์และการระหว่างประเทศ (CSIS)
หากดูแผนที่แล้ว ศูนย์กลางความรุนแรงที่เกิดขึ้นจะอยู่ทางภาคตะวันตกของพม่า ในเขตซะไกง์และมะเกว …ซึ่งในเรื่องนี้เคยมีคำทำนายบอกต่อๆ กันมาว่า ถ้าฝ่ายต่อต้านรัฐบาลสามารถเปิดแนวรบตามลำน้ำชี่น-ดวี่นทางตะวันตกเฉียงเหนือของพม่าได้แล้ว นั่นจะเป็นจุดจบของรัฐบาลทหารพม่า ซึ่งนั่นก็คล้ายๆ กับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในตอนนี้
แม้ PDF จะไม่ได้รับอาวุธจากต่างประเทศตามที่ร้องขอ แต่ก็มีรายงานว่า PDF ใช้อาวุธอย่างเครื่องยิงจรวดประทับบ่า (RPG) เครื่องยิงลูกระเบิด 40 มม. ปืนครกเบา 60 มม. และโดรนบ่อยครั้งขึ้น นอกจากนั้นยังสามารถปฏิบัติการออกจากป่าเข้ามาในเมืองได้มากขึ้น โดย PDF และกองกำลังชนกลุ่มน้อยถึงกับประกาศก้องว่า ถ้าพวกเขาได้ขีปนาวุธสติงเกอร์ซัก 50-100 ลูก และปืนเล็กยาวเอ็ม 4 หลักพันกระบอก พวกเขาคงจะล้มรัฐบาลได้แน่นอน!
ด้านรัฐบาลพม่าได้รับอาวุธจากรัสเซียน้อยลงหลังเกิดสงครามยูเครน และถึงแม้จะยังได้รับอาวุธจากรัฐบาลจีน แต่จีนเองก็หนุนกองกำลังชนกลุ่มน้อยด้วยเหมือนกัน ทำนองว่าตัวเองเข้ากับทั้ง 2 ฝ่ายในสงครามครั้งนี้ ส่วนเฮลิคอปเตอร์และเครื่องบินรบของที่กองทัพพม่าใช้ครองน่านฟ้านั้นมีการวิเคราะห์ว่าอาจเหลือแค่ไม่กี่สิบลำเท่านั้น จากข้อมูลของเอเชียไทมส์
ความพยายามเอาตัวรอดของรัฐบาลพม่า คือ การประกาศจะเจรจาหยุดยิงรอบใหม่กับชนกลุ่มน้อยหลายกลุ่ม ซึ่งเป็นวิธีการเดิมที่ทางการพม่าพยายามใช้เพื่อรักษากำลังจากแนวรบหนึ่ง แล้วทุ่มไปยังแนวรบอื่นๆ แต่เรื่องนี้กองกำลังชนกลุ่มน้อยหลายกลุ่มไม่ยอมรับ
ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ได้แปลว่ากองทัพพม่าเสียเปรียบ แท้จริงยังต้องยอมรับว่าพวกเขายังคงมีความสามารถในการสู้รบสูงกว่าศัตรูมาก แม้ว่าจะลดลงกว่าในอดีต
ในขั้นสุดท้าย เคยมีการวิเคราะห์ฉากจบของสงครามกลางเมืองพม่ารอบนี้เอาไว้ 4 กรณี
กรณีแรก คือ รัฐบาลทหารพม่าสามารถปราบ PDF และกองกำลังชนกลุ่มน้อยจนไม่สามารถเป็นภัยคุกคามความมั่นคงของรัฐบาลได้ นี่เป็นผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นมาแล้วอย่างน้อย 2 ครั้งในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ของพม่า
กรณีที่ 2 คือ มีการเจรจายุติความขัดแย้งระหว่างฝ่ายรัฐบาลกับฝ่ายต่อต้านซึ่งนานาชาติต้องการ แต่นี่มีโอกาสเป็นไปได้ต่ำสุด
กรณีที่ 3 คือ ฝ่ายต่อต้านสามารถชนะรัฐบาลทหารพม่า และสามารถเจรจากับกองกำลังชนกลุ่มน้อยก่อตั้งเป็นสหพันธรัฐประชาธิปไตยได้ แต่นี่ก็มีโอกาสต่ำในปัจจุบันเช่นกัน และ
กรณีที่ 4 คือ ความขัดแย้งยืดเยื้อยาวนานจนประเทศพม่าแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เป็นส่วนที่ควบคุมโดยฝ่ายต่างๆ และพม่าจะกลายเป็นรัฐล้มเหลว …ใช่ครับ กรณี 1 และ 4 เป็นกรณีที่มีโอกาสเกิดได้มากกว่า
นอกจากเรื่องความขัดแย้งแล้ว เรื่องเศรษฐกิจของพม่าเองก็ได้รับผลกระทบอย่างหนัก จนอาจเข้าขั้นใกล้พังทลาย
โดยตัวเลขจีดีพีของปีงบประมาณ 2021 พบว่าจีดีพีพม่าอาจหดตัวลงถึงร้อยละ 17.9 และของปีนี้อาจหดตัวลงอีกร้อยละ 5.5 ซึ่งเป็นผลมาจากการคว่ำบาตรของต่างประเทศ อัตราว่างงานสูงและค่าเงินจ๊าดอ่อนลง
รัฐบาลพม่าอ่อนแอขาดแคลนสินค้า เกิดปัญหาไฟฟ้าดับ ขณะที่ทางการก็สั่งควบคุมการค้าขายด้วยเงินตราต่างประเทศ และคาดกันว่ากว่าเศรษฐกิจพม่าจะกลับมาเท่ากับระดับก่อนโควิด คงต้องใช้เวลาถึงปี 2028
สุดท้ายแล้ววิกฤตในพม่าจะไปสิ้นสุดลงที่ตรงไหน ยังเป็นเรื่องที่ต้องดูกันต่อไป…
0 Comment