“พวกทรยศ แกมันไม่ใช่ยิว!” คนฝ่ายหนึ่งตะโกน

“ไม่ใช่ยิวเหรอ ดูเราแต่งตัวสิ ใครเหมือนยิวมากกว่ากัน!” คนอีกฝ่ายโต้กลับ

“พวกแกคือความอับอายของมาตุภูมิ” คนฝ่ายแรกร้อง “บรรพชนเราต้องพลีชีพไปเท่าใดเพื่อได้แผ่นดินมา!”

“มาตุภูมิที่ไปแย่งคนอื่นมาน่ะเรอะ!? พลีชีพเพื่อไปขับไล่คนอื่นน่ะเรอะ!?” คนฝ่ายที่สองร้อง “ใครกันแน่ทำให้เผ่าพันธุ์ยิวต้องอับอาย!”

แล้วคนฝ่ายที่สองก็ตะโกนต่อเนื่อง

“หยุดเข่นฆ่าชาวปาเลสไตน์!”

“ปลดปล่อยโลกจากลัทธิไซออนนิสต์!”

“ขอพระเจ้าลงโทษรัฐอิสราเอล!”

ท่านผู้อ่านที่รักคำพูดพวกนี้หากออกมาจากปากของคนๆ หนึ่ง คนๆ นั้นมักถูกมองว่าเป็นผู้เหยียดชาวยิว

…แต่น่าแปลกที่คำพูดเหล่านี้กลับออกมาจากปากของชาวยิวกลุ่มหนึ่ง…

…เป็นชาวยิว ที่ “ยิว” ยิ่งกว่ายิวอื่นๆ เสียอีก…

…และที่เรียกว่า “กลุ่ม” นั้น มันมีอยู่นับล้านคน…
ท่านผู้อ่านที่รัก เรื่องที่ผมจะเขียนต่อไปนี้เป็นเรื่องของความย้อนแย้ง… เป็นกลุ่มก้อนของข้อถกเถียงอันร้อนแรงแห่งยุคสมัยของเรา…
มันเป็นเรื่องของคนหลายฝ่าย ซึ่งคนทุกๆ ฝ่ายที่จะกล่าวถึงล้วนถูกมองว่าสุดโต่งหัวรุนแรง

…ล้วนถูกมองเป็นผู้ก่อการร้าย …และล้วนถูกรังเกียจอย่างหนักทั้งสิ้น

…เช่นเดียวกันพวกเขาล้วนถูกบีบคั้นรังแกอย่างหนัก และล้วนถูกมองว่าเป็นผู้กล้าหาญที่ต่อสู้กับความอยุติธรรมในทางใดทางหนึ่ง…

…เรื่องที่ผมจะเล่าต่อไปนี้คือเรื่องราวอันน่าทึ่ง

…เป็นเรื่องอันน่าทึ่งของบรรดา “ผู้ไม่อ่อนน้อมยอมตาม”

…นั่งลงเถอะครับ ผมจะเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง…

วันหนึ่ง ณ พื้นที่สำหรับจัดประท้วงในกรุงลอนดอนได้มีคนสองกลุ่มยืนประจันหน้ากัน

หนึ่งคือกลุ่มคนที่ชูธงปาเลสไตน์ ร้องตะโกนว่า “อิสราเอลจงพินาศ!” และ “หยุดรุกรานปาเลสไตน์!”

อีกพวกคือคนที่ชูธงอิสราเอล ร้องตะโกนว่า “อิสราเอลจงเจริญ!” และ “ปกป้องมาตุภูมิ!”

แต่แล้วกลับมีคนชุดดำอีกกลุ่มหนึ่งเดินดุ่มๆ เข้ามาทางฝั่งปาเลสไตน์ ซึ่งคนฝั่งดังกล่าวยิ้มแย้มให้การต้อนรับพวกเขาเป็นอย่างดี

คนชุดดำเหล่านี้เดินเท้ามาเป็นระยะทาง 8 ก.ม. เพื่อร่วมประท้วง พวกเขาถอดเสื้อคลุมออกให้เห็นป้ายที่ซ่อนอยู่ภายใน เขียนว่า “ปลดปล่อยปาเลสไตน์!”

การพวกเขาไม่ใช้รถ และไม่เดินถือป้าย เป็นเพราะวันนั้นเป็นวันสะบาโตซึ่งตามประเพณียิวห้ามไม่ให้ใช้รถ และห้ามเดินถือของ

…ใช่แล้ว คนพวกนั้นเป็นยิว …และเขากำลังเรียกร้องให้อิสราเอลปลดปล่อยปาเลสไตน์อยู่!

คนฝ่ายอิสราเอลอีกฝั่งตะโกนด่าพวกเขาว่า “ไอ้พวกทรยศ แกมันไม่ใช่ยิว!”

เหล่าคนชุดดำตะโกนกลับว่า “ไม่ใช่ยิวเหรอ ดูเราแต่งตัวสิ ใครเหมือนยิวมากกว่ากัน!”

“พวกแกคือความอับอายของมาตุภูมิ” ฝ่ายอิสราเอลร้อง “บรรพชนเราต้องพลีชีพไปเท่าใดเพื่อได้แผ่นดินมา!”

“มาตุภูมิที่ไปแย่งคนอื่นมาน่ะเรอะ!? พลีชีพเพื่อไปขับไล่คนน่ะเรอะ!?” คนชุดดำร้อง “ใครกันแน่ทำให้เผ่าพันธุ์ยิวต้องอับอาย!

ใช่ครับ กลุ่มชายชุดดำนี้เป็นชาวยิว พวกเขา “ยิว” เป็นอย่างยิ่ง …แต่พวกเขาคือใครกันล่ะ?

ย้อนอดีตไปในยุคกลาง ตอนที่ชาวยุโรปยังกดขี่ชาวยิวอย่างหนักเพราะไม่ยอมนับถือคริสต์นั้น เหล่าผู้ปกครองพวกฝรั่งได้สร้าง “เก็ตโต” หรือสลัมพิเศษขึ้นกักขังชาวยิว บังคับให้อยู่แต่ในนี้

แม้ถูกกดขี่หนักแต่อีกทางหนึ่งชีวิตในเก็ตโตก็ทำให้ชาวยิวสามารถรักษาขนบประเพณีดั้งเดิมไว้ได้มาก

กตัวอย่างเช่น ชาวยิวสามารถรักษาวัฒนธรรมการรับประทานอาหารที่ถูกตามหลักศาสนายิว เรียกว่า “โคเชอร์”

หลักนี้มีความซับซ้อน เช่นทานหมูไม่ได้ ทานหอย ปู กุ้งไม่ได้ คล้ายเรื่องอาหารฮาลาลของอิสลาม

นอกจากนั้นชาวยิวยังรักษากฎที่ต้องพักผ่อนและระลึกถึงพระเจ้าในวันสะบาโต (นับตั้งแต่พระอาทิตย์ตกวันศุกร์ ถึงพระอาทิตย์ตกวันเสาร์)

ในวันนี้ชาวยิวห้ามขนของ ห้ามจุดไฟ ห้ามดับไฟ ห้ามเขียนหนังสือ และห้ามทำงานประเภทอื่นๆ เลย ให้เน้นทำพิธีทางศาสนา และใช้เวลากับครอบครัว

*จากกฎห้ามขนของ ซึ่งหมายถึง “ห้ามถือของเพื่อย้าย” ทำให้พวกยิวพัฒนาระบบรอกเรียกว่า “แอรัฟ” ขึ้นมาชักของย้ายไปมาแทนในวันสะบาโต

ชุมชนในเก็ตโตยังพัฒนาเครื่องแต่งกายของตนเองไปต่างๆ กัน แต่ทั้งหมดเพื่อทำตามคัมภีร์ที่บอกว่าให้แต่งกายเรียบร้อย ไม่แสดงเนื้อหนังมังสามากเกินไป และอย่าแต่งกายตามเครื่องแบบที่เป็นเอกลักษณ์ของกลุ่มคนที่ไม่ใช่ยิว

ดังนี้ยิวในเก็ตโตโบราณจึงมักสร้างเครื่องแบบที่ถูกหลักขึ้นมาแล้วแต่งกายเหมือนกันหมด เช่นบางเก็ตโตแต่งสีน้ำเงิน บางเก็ตโตแต่งสีเหลือง บางเก็ตโตแต่งสีดำ ใส่หมวกพิเศษ

ต่อมาในศตวรรษที่ 18 ยุโรปเริ่มมีแนวคิดสิทธิมนุษยชนขึ้นมา จนต้นศตวรรษที่ 19 จึงมีการปลดปล่อยยิวออกจากเก็ตโตแล้วให้สิทธิพลเมืองเหมือนชาวบ้านอื่นๆ ทำให้ยิวค่อยๆ กลมกลืนกับสังคมท้องถิ่น

ณ จุดนี้ยิวจำนวนมากเปลี่ยนศาสนาเป็นคริสต์ หรือเลิกนับถือศาสนา แล้วกลายเป็นเหมือนฝรั่ง

ส่วนพวกที่สายกลางที่ยังนับถือศาสนาบ้าง ก็พยายามกลมกลืนกับฝรั่งเช่นกัน

เมื่อยิวยุโรปอื่นๆ กลายเป็นคล้ายๆ ฝรั่งไปหมด ยิวที่ยังชินกับประเพณีดั้งเดิมอยู่จึงกลายเป็น “ยิวอนุรักษ์นิยม” เรียกว่าพวก “ฮาเรดิ” แปลว่า “(ผู้) สั่นกลัว (ต่อวจนะของพระเจ้า)” พวกนี้ก็อยู่ในเขตของตัวเอง แต่งงานกันเอง ปฏิบัติศาสนกิจตามที่ตนเองเชื่อต่อไป

แม้ว่ายิวจะถูกปลดปล่อยแล้ว แต่เนื่องจากฝรั่งนั้นกดขี่ยิวจนกลายเป็นวัฒนธรรมที่สั่งสมมาหลายร้อยปี ดังนั้นจึงยังคงมีการรังแกยิวอยู่เนืองๆ ถึงขั้นว่าแม้ยิวบางคนจะเหมือนฝรั่งไป 100% แล้ว แต่ก็มีการพยายามสืบสายเลือดเพื่อเอามากดขี่อยู่

เพื่อตอบโตเรื่องดังกล่าวจึงได้เกิดความเคลื่อนไหวในหมู่ยิวตั้งเป็น “ขบวนการไซออนนิสต์” ขึ้น ในช่วงศตวรรษที่ 20

อุดมการณ์ของขบวนการไซออนนิสต์คือการสร้าง “รัฐของยิว” ขึ้น ณ ที่ใดที่หนึ่ง เพื่อให้คนยิวสามารถอยู่รวมกัน ปกครองตัวเอง เป็นอิสระจากการกดขี่ต่างๆ

ตอนแรกมีบางประเทศเสนอแผ่นดินที่ยังไม่มีใครครองให้กับยิว และมีแนวคิดจะให้ยิวไปตั้งประเทศบนแผ่นดินร้างในอเมริกาใต้หรือแอฟริกา แต่ในที่สุดแกนกลางของกลุ่มไซออนนิสต์นั้นเลือกที่จะมุ่งเป้าไปตั้งประเทศในดินแดนปาเลสไตน์ ซึ่งเคยเป็นพื้นที่อาณาจักรของยิวในอดีต และตามตำนานแล้วเป็นดินแดนที่พระเจ้าเคยประทานให้ชาวยิว

…ปัญหาจึงเกิดขึ้น เพราะปาเลสไตน์นั้นมิใช่แผ่นดินร้าง แต่มีชาวอาหรับอาศัยอยู่มาหลายร้อยปีแล้ว และเมื่อพวกไซออนนิสต์พยายามไปตั้งรกรากอยู่ในปาเลสไตน์จึงต้องขัดแย้งกับคนท้องถิ่นอย่างหนัก

เรื่องนี้เป็นจุดที่ทำให้พวกไซออนนิสต์แตกกับพวกยิวฮาเรดิ เพราะตามคำทำนายในคัมภีร์ยิวนั้น ชาวยิวจะกลับสู่ดินแดนปาเลสไตน์มิได้จนกว่าจะมีพระเมสสิยาห์ หรือผู้ปกครองที่พระเจ้าส่งมานำพาชาวยิวคืนสู่ดินแดนแห่งพันธสัญญา

อนึ่งพวกฮาเรดิมองว่า การที่ยิวต้องหลบหนีกระจัดกระจายออกจากดินแดนปาเลสไตน์ในอดีตนั้นเป็นเพราะพระเจ้าต้องการส่งพวกยิวซึ่งเป็นชนชาติที่มีความบริสุทธิ์ และเคารพเชื่อฟังพระเจ้า ไปเผยแผ่ความดีงามยังดินแดนต่างๆ ในโลกอย่างสันติ…