บทความนี้เขียนจากประสบการณ์ที่ผมได้ไปท่องเที่ยวในประเทศอาร์ตซัค ซึ่ง “ไม่นับว่ามีอยู่จริง” ตามบทบัญญัติของสหประชาชาติ มาร่วมแสวงหาคำตอบว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้นด้วยกันนะครับ

ก่อนพูดถึง Artsakh (อาร์ตซัค) ผมจะเล่านิทานเรื่องหนึ่งให้ท่านฟังก่อน

นิทานเรื่องนี้พูดถึงชาวอาร์มีเนีย… ชาวอาร์มีเนียตั้งถิ่นฐานอยู่แถบเทือกเขาคอเคซัส พวกเขาเป็นฝรั่งที่ถูกนับถือว่ามีหน้าตาสวยงาม จนมีการเอาคำว่า “คอเคเซียน” ไปใช้เรียกเผ่าพันธุ์ฝรั่งทั้งหมด

อาร์มีเนียเคยเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่ เมื่อสองพันปีก่อนนั้นมีดินแดนกว้างขวางจนได้ชื่อว่า “เมืองสองทะเล” คือมีอาณาเขตตั้งแต่ทะเลเมดิเตอเรเนียน ไปจรดทะเลแคสเปียน นอกจากนั้นยังเป็นชาติแรกที่เชิดชูศาสนาคริสต์เป็นศาสนาประจำชาติ

เป็นเวลานับพันปีที่ชาวคริสต์ช่วงชิงความเป็นใหญ่กับมุสลิม อาร์มีเนียซึ่งอยู่ปลายสุดของฝ่ายฝรั่งนั้นเคยเป็นหัวหอกของในการต่อสู้กับหมู่แขกอย่างกล้าหาญ

…แต่เมื่อก่อนพรมแดนระหว่างคริสต์กับอิสลามนั้นไม่เหมือนกับปัจจุบัน …พันปีก่อนดินแดนที่เป็นประเทศตุรกีซึ่งติดกับอาร์มีเนียทุกวันนี้เคยเป็นอาณาจักรไบแซนไทน์อันยิ่งใหญ่ของชาวฝรั่ง

หลังฝรั่งรบแพ้แขกในสงครามครูเสด อาณาจักรไบแซนไทน์ก็อ่อนแอจนย่อยยับดับสูญ ถูกแทนที่โดยอาณาจักรออตโตมันของชาวเติร์ก

…และอาร์มีเนียก็พบว่าตัวเองถูกปล่อยเกาะแล้ว…

หลายร้อยปีหลังแพ้สงครามครูเสด อาร์มีเนียจึงถูกมวลแขกผลัดกันมารุมยำ ผู้คนล้มตาย อาณาเขตหดหาย แตกเป็นหลายเสี่ยง ตกเป็นเมืองขึ้นของแขกชาติต่างๆ

…และบั้นปลายของการรังแกนั้น พวกเติร์กออตโตมันได้ตัดสินใจว่า “ไม่อาจไว้วางใจชาวคริสต์อาร์มีเนียได้ จะฆ่าล้างชาวอาร์เมียให้หมด”

…มันฟังดูเหมือนแผนการสุดชั่วร้าย ในหนังฮีโร่…
…อนิจจา ไม่มีฮีโร่คนไหนมาช่วยอาร์มีเนีย…

ปี 1915 ฝ่ายเติร์กอาศัยช่วงความวุ่นวายของสงครามโลกครั้งที่ 1 ทำการสังหารหมู่ชาวอาร์มีเนียไปนับล้านคนอย่างเป็นระบบ

อาร์เมเนียตะวันตกสิ้นชาติสูญพันธุ์ถูกผนวกเป็นดินแดนตุรกี

ปัจจุบันแม้เมืองหลวงโบราณที่เปรียบเหมือน อยุธยา-สุโขทัย ของอาร์มีเนียก็อยู่ในฝั่งเติร์ก และโบราณสถานมากมายถูกทำลายจนคล้ายไม่เคยมีชนชาตินี้อยู่

พวกที่รอดมา คืออาร์มีเนียตะวันออกที่อยู่ในดินแดนแคบๆ มีขนาดเพียงหนึ่งในสิบของอาณาจักรเดิม

…การถูกฆ่าล้างของพวกเขาไม่ใคร่มีใครจดจำ …ไม่มีมหาอำนาจชาติไหนยื่นมือมาช่วย แม้ปัจจุบันตุรกีก็ปฏิเสธว่าไม่เคยมีสิ่งนี้เกิดขึ้น

นับแต่นั้นชาวอาร์มีเนียที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดก็กลายเป็นพวกอำมหิตดุร้าย ต่อสู้ป้องกันตนเองอย่างกล้าหาญไม่เห็นแก่ชีวิต…

ผู้นำพวกอาร์มีเนียประกาศว่า “แผ่นดินอาร์มีเนียเหมือนซุปชามใหญ่ ชาติมหาอำนาจต่างๆ ให้สัญญาว่าจะช่วยเหลือดูแลมัน แต่พวกเขาไม่เคยรักษาสัญญาเหล่านั้น ตรงกันข้ามพวกเขาล้วนใช้กระบวยเหล็กแย่งกันตักซุปไปมากที่สุด ส่วนฉันมีแต่กระบวยกระดาษ (คือกระดาษสัญญาของมหาอำนาจ) ทำให้แย่งอะไรมาไม่ได้เลย…

…ต่อไปนี้เรามีแต่ต้องพึ่งตนเอง ไม่ใช่พึ่งคำหวานของคนนอก และเราจะไม่เชื่อถือในกระดาษอีกต่อไปแล้ว เราจะต้องเชื่อในเหล็ก! มีแต่ต้องสู้ด้วยเหล็ก เราจึงจะอยู่รอด!”

ช่วงปี 1920-1921 ชาติคอเคซัสได้แก่ จอร์เจีย อาร์มีเนีย อาเซอร์ไบจานต่างถูกผนวกเข้ากับสหภาพโซเวียตพร้อมกัน

โซเวียตได้ยกดินแดนนากอร์โน-คาราบัค (Nagorno-Karabakh) หรืออีกชื่อคือ “อาร์ตซัค” ซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ชาวอาร์มีเนียอาศัยอยู่แห่งท้ายๆ ให้อยู่ในเขตปกครองอาเซอร์ไบจาน

ทั้งนี้โซเวียตทำตามนโยบายแบ่งแยกแล้วปกครอง และแสดงไมตรีต่อตุรกี (ชาวอาเซอร์ไบจานเป็นชาติเติร์กเหมือนตุรกี การเอาใจอาเซอร์ไบจานจึงเป็นการเอาใจตุรกีด้วย)

…แน่นอนว่าพวกอาร์มีเนียประท้วงอย่างรุนแรง แต่ก็ไม่เคยได้ผล…

ปี 1991 เมื่อโซเวียตล่มสลาย อาร์มีเนีย และอาร์เซอร์ไบจานต่างประกาศเอกราช แต่ปัญหาอยู่ที่ดินแดนอาร์ตซัคนี้ควรเป็นของใคร?

ตามกฎหมายสากล มันควรอยู่กับอาเซอร์ไบจาน…
สหประชาชาติตัดสินใจให้มันอยู่กับอาเซอร์ไบจาน…
นานาประเทศยอมรับว่ามันเป็นของอาเซอร์ไบจาน…

…มีแต่ชาวอาร์มีเนียในอาร์ตซัคไม่ยอมรับสิ่งนี้… …และพวกเขาออกไปต่อสู้… ซึ่งนั่นเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวของเรา ที่ผมจะได้ถ่ายทอดโดยพิสดาร…

Artsakh (อาร์ตซัค) เป็นชื่อของ “ประเทศ” แห่งหนึ่งตั้งอยู่บนเทือกเขาคอเคซัส มีขนาดประมาณจังหวัดน่าน มีประชากรราว 150,000 คน

ประเทศนี้มีผลิตภัณฑ์มวลรวมปี 2017 อยู่ที่ 18,737 ล้านบาท พอๆ กับผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัดอำนาจเจริญ ถือว่าดำเนินเศรษฐกิจได้ค่อนข้างดีเมื่อเทียบกับปัจจัยประเทศ สินค้าส่งออกสำคัญคือ วอดก้า และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ต่างๆ

การเข้าประเทศอาร์ตซัคสามารถทำได้ช่องทางเดียว คือผ่านทางอาร์มีเนีย เราสามารถทำวีซ่าอาร์มีเนียไปจากไทยก่อน จึงไปทำวีซ่า on arrival ที่อาร์ตซัคได้

การเดินทางจากเยเรวัน (เมืองหลวงอาร์มีเนีย) ไปเมืองสเตฟานาเกิร์ต (เมืองหลวงอาร์ตซัค) นั้นมีระยะทาง 326 กิโลเมตร

ระยะทางแค่นี้ แต่ขับรถไปใช้เวลา 8 ชั่วโมง เนื่องจากตลอดเส้นทางเป็นภูเขาทำความเร็วไม่ได้ อย่างไรก็ตามจะมีโบสถ์สวยงามให้จอดแวะเรื่อยๆ

อาร์มีเนียเป็นประเทศที่เคร่งศาสนา มีศิลปะคริสต์แบบโบราณเป็นของตนเอง สวยงามไม่เหมือนที่ใดในโลก

นอกจากนั้นยังเป็นประเทศแรกๆ ที่ผลิตไวน์ มีอุตสาหกรรมผลิตไวน์รุ่งเรืองจนปัจจุบัน อย่างขวดนี้ราคาเพียง 120 บาท รสชาติดีมาก

ไวน์อาร์ตซัค

ค่ำมืดวันนั้นผมจึงเดินทางถึงอาร์ตซัค โย่! ภาพนี้คือ ต.ม.

ตม. อาร์ตซัค

ผมนอนโรงแรมชื่อ Valex Garden ซึ่งเป็นโรงแรมหรูที่สุดของอาร์ตซัค …ไม่ใช่เพราะติดหรู แต่เพราะมันราคาแค่คืนละ 2,000 นะครับ

คุณภาพนี่เทียบเท่าพวกคืนละ 4,000 – 5,000 เมืองไทย ผู้คนยังไม่ชินนักท่องเที่ยวก็ไม่ค่อยโก่งราคา เรียกว่าเที่ยวอาร์ตซัคนี่เรากลายเป็นเศรษฐีกันเลยทีเดียว

เช้านั้นผมออกเดินเที่ยวเมืองสเตฟานาเกิร์ต ซึ่งทำได้ง่ายเพราะตัวเมืองมีขนาดเล็กมาก ตามที่บอกว่าประเทศอาร์ตซัคมีประชากร 150,000 คน อาศัยอยู่ในสเตฟานาเกิร์ต 50,000 คน ก็ถือว่าเป็นเมืองใหญ่ที่สุด

สเตฟานาเกิร์ด

อาร์มีเนียว่าไม่ค่อยมีคนเอเชียไปเที่ยวแล้ว อาร์คซัคยิ่งไม่เคยเห็นคนเอเชียเข้าไปใหญ่ เวลาเดินไปไหนคนจะมองผมด้วยความตกใจ ดีใจ โบกมือ และยิ้มให้ ใครอยากมีประสบการณ์ดารา เดินไปไหนก็มีคนตื่นเต้น ให้มาเที่ยวอาร์ตซัคนะครับ…

เนื่องจากอาร์ตซัคยังต้องต่อสู้กับอาเซอร์ไบจานอยู่เสมอ จึงมีลัทธิชาตินิยม ทหารนิยมเด่นชัด ดูได้จากธงชาติ และรูปอาวุธที่ติดอยู่ทุกที่

โปสเตอร์ในสเตฟานาเกิร์ด
ป้ายประกาศในสเตฟานาเกิร์ด
สเตฟานาเกิร์ต แปลว่า “เมืองของสเตฟาน” ซึ่งคือวีรบุรุษของประเทศท่านนี้
รูปปั้น Stepan Shaumian
ถนนสายชอปปิ้ง แฟชันก็จะย้อนยุคหน่อยๆ
ถนนช็อปปิ้งของสเตฟานาเกิร์ด

ออกจากถนนสายชอปปิ้งหลักมานิดเดียว บ้านเมืองก็จะเริ่มกรังๆ หน่อย

ถนนพังในสเตฟานาเกิร์ด
แป้งห่อสมุนไพรอาร์ตซัค

เมืองหลวงแห่งนี้มีจุดที่กำลังก่อสร้างมากมาย อาคารพัง และอาคารใหม่หาได้ง่าย เพราะกำลังซ่อมแซมเมืองจากสงคราม

มีเกร็ดเกี่ยวกับอาร์มีเนีย และอาร์ตซัคมาแชร์เล็กน้อย คือธงชาติอาร์มีเนียนั้นมีสามสี คือแดง น้ำเงิน ส้ม

  • สีแดง หมายถึงการดิ้นรนต่อสู้ของชาวอาร์มีเนีย เพื่อรักษาชีวิต อัตลักษณ์ และศรัทธาในศาสนาคริสต์ จากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
  • สีน้ำเงิน หมายถึงความปรารถนาของชาวอาร์มีเนียที่จะใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ภายใต้ฟ้ากว้าง
  • สีส้ม หมายถึงพลังความสร้างสรรค์ของชาวอาร์มีเนีย

ส่วนธงชาติอาร์ตซัค เหมือนธงอาร์มีเนียทุกประการ แต่มีแถบสีขาวคาด การถูกแบ่งด้วยแถบขาวหมายถึงการพลัดพรากจากประเทศแม่ และความประสงค์ที่จะกลับมารวมกันเป็นหนึ่งอีกครั้ง นอกจากนั้นแถบขาวยังคล้ายลายผ้าที่ชาวอาร์มีเนียนิยมใช้

คนถามว่าทำไมอาร์มีเนียไม่ผนวกอาร์ตซัคไปเลย? คำตอบคือทำอย่างนั้นถ้ามองจากภายนอกแล้วมันคือการยึดครองประเทศคนอื่น จะทำให้เจรจาขอความเห็นใจจากชาติอื่นยาก สู้เปลี่ยนให้เป็นชาวอาร์ตซัคต่อสู้เพื่ออิสระภาพจากการถูกกดขี่เองจะดูดีกว่า

ช่วงสายผมได้เดินทางออกจากเมืองสเตฟานาเกิร์ตไปยังเมืองชูชิ

 

เมืองชูชิ

เมืองนี้มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์เพราะอยู่บนเขาสูงกว่าสเตฟานาเกิร์ต สามารถตั้งฐานปืนใหญ่ยิงมาถล่มเมืองหลวงได้ …มันจึงเป็นที่ๆ สู้ชิงกันหนัก …เต็มไปด้วยซากปรักหักพังจากสงคราม

ปี 1992 หลังอาร์มีเนีย กับอาเซอร์ไบจานประกาศเอกราช พวกเขาก็เริ่มทำสงครามชิงอาร์ตซัคอย่างดุเดือด

อาเซอร์ไบจานแม้ได้เปรียบเพราะเป็นชาติส่งออกน้ำมันร่ำรวย มีรี้พลเยอะกว่า อาวุธดีกว่า และมีฐานทัพในอาร์ตซัคอยู่ก่อน

แต่เสียเปรียบที่ตลอดระยะเวลาหลายสิบปีที่ตกเป็นเมืองขึ้นโซเวียตนั้น โซเวียตหวาดกลัวอิทธิพลเติร์กก็แกล้งไม่เอาทหารอาเซอร์ไปจานไปใช้ต่อสู้จริง

ชอบให้อยู่แต่ในหน่วยก่อสร้าง หรือหน่วยเสบียง ทำให้ทหารอาเซอร์ไบจานขาดความสามารถในการสู้รบ

(ติ่งของอาเซอร์ไบจานชื่อนัคชีวันนั้น จริงๆ ก็เป็นแดนอาร์มีเนียมาก่อน แต่คนอาร์มีเนียถูกไล่ เอาคนเติร์กมาอยู่แทน ทำให้กู้กลับมาไม่ได้)

ตรงกันข้ามโซเวียตกลับชอบใช้ทหารอาร์มีเนียที่ทรหดดุดัน โดยเฉพาะเอาไปถมในศึกอัฟกานิสถาน เพราะเป็นชาติคริสต์สามารถใช้ปราบศัตรูมุสลิมโดยสะดวกใจ ทำให้เมื่อจบสงครามแล้วทหารอาร์มีเนียมีความกล้าหาญชาญสมรกว่าอาเซอร์ไบจานมาก

ทหารชาวอาร์ตซัค

ทั้งสองฝ่ายมีจุดอ่อนจุดแข็ง สู้ผลัดกันแพ้ชนะ จนมาถึงศึกแตกหักในการชิงเมืองสเตฟานาเกิร์ต อาเซอร์ไบจานใช้เมืองชูชิเป็นฐานทัพใหญ่ ยิงปืนใหญ่ทำลายสเตฟานาเกิร์ตจนแทบแพ้พ่าย

แม่ทัพคนหนึ่งของอาเซอร์ไบจันในศึกนี้คือ ชามิล บาซาเยฟ ผู้กล้าชาวเชเชนที่รบชนะรัสเซียในสงครามเชเชนครั้งที่ 1 มาช่วยด้วย

บัดนั้นบาซาเยฟทำการป้องกันเมืองชูชิอย่างแข็งขัน ทั้งทหารอาเซอไบจันนั้นมี 2,500 คน ขณะที่อาร์เมเนียมีเพียง 1,000 คน แทบไม่มีทางหักเมืองชูชิได้เลย

…แม่ทัพอาร์มีเนียทราบว่าหากยึดชูชิไม่ได้ก็จะต้องเสียสเตฟานาเกิร์ต และเสียอาร์ตซัคทั้งหมด ศึกนี้จึงเป็น “การยุทธเพื่อชี้ขาดสงครามทั้งหมด” ซึ่งบีบให้เขาตัดสินใจใช้แผนการที่กล้าบ้าบิ่น

กลางดึกวันที่ 8 พ.ค. 1992 ฝ่ายอาร์มีเนียแบ่งทัพเป็นหกสาย และทำการ “ปีน” หน้าผาในรูปขึ้นไปยังเมืองชูชิ

หน้าผาชูชิ

ท่านจะเห็นว่าหน้าผานี้ชันมาก เกือบ 90 องศา แต่เป็นทางเข้าเมืองทางเดียวที่ฝ่ายอาเซอร์ไบจานไม่ระวังป้องกัน เพราะไม่นึกว่าข้าศึกจะเข้ามาด้านนี้ได้…

อาร์มีเนียตั้งชื่อปฏิบัติการนี้ว่า “งานแต่งงานบนภูเขา” เพราะทหารคนหนึ่งสัญญากับแฟนสาวว่าจะกลับไปแต่งงานหากกู้ชาติสำเร็จ

พวกเขา “ปีน” ด้วยความอดทน จนในที่สุดก็บรรลุถึงยอดเขาในคืนเดียว โดยที่ศัตรูไม่รู้ตัวเลย แสดงถึงระเบียบวินัย และความแข็งแรงอันยอดเยี่ยม

ครั้นถึงรุ่งเช้าวันที่ 9 พ.ค. พวกอาร์เมเนียบุกขึ้นหักเมืองโดยฉับพลัน! พวกเขาสู้อย่างนองเลือด และอาศัยความแตกตื่นข้าศึก เอาชนะได้สำเร็จ บาซาเยฟแค้นนักเป็นคนท้ายๆ ที่หนีออกจากเมือง…

น่าเสียดายที่ทหารคนที่สัญญาว่าจะแต่งงานนั้นพลีชีพในที่รบ มีการสร้างอนุสาวรีย์ให้เขาเป็นรถถังในภาพด้านล่าง และมีงานระลึกถึงผู้พลีชีพในสงครามนี้ในวันที่ 9 พ.ค. ของทุกปี

การบุกยึดเมืองชูชิทำให้ฝ่ายอาร์มีเนียสามารถแก้ไขเมืองสเตฟานาเกิร์ตสำเร็จ นำสู่การเอาชนะอาเซอไบจาน ตั้งประเทศอาร์ตซัคขึ้นจนปัจจุบัน…

…เรื่องนี้เข้ากับที่ผมเคยเขียนว่าในสงครามนั้นนอกจากปัจจัยด้านอาวุธยุทโธปกรณ์แล้ว “ขวัญทหาร” ยังมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง

…การที่กองทัพหนึ่งจะชนะได้ ทหารในกองทัพจำเป็นต้องเชื่อในเหตุผลที่เขาต่อสู้ รักชาติ รักเพื่อนทหาร รักแม่ทัพ ยินยอมพลีชีพเพื่อสิ่งที่ตัวเองอยากปกป้องมิได้กลัวความตาย กองทัพก็จะมีอานุภาพขึ้นเป็นอันมาก

ในกรณีนี้ฝ่ายอาร์มีเนียซึ่งเต็มไปด้วยความคับแค้นจากการถูกกดขี่เข่นฆ่านับพันปี ต้องต่อสู้เพื่อปกป้องบ้านเกิด จึงสามารถเอาชนะอาเซอร์ไบจานสำเร็จ…

แต่ก่อนที่ผมจะจบบทความนี้ ผมอยากกล่าวถึงเรื่องอาร์ตซัคในทางที่ซับซ้อนขึ้น โดยพาท่านสู่คำถามที่ว่า “ท่านรู้จักเมืองอักดัมหรือเปล่า?”

อักดัมเป็นเมืองในเขตอาเซอร์ไบจาน เคยมีประชากรถึง 60,000 คน ส่วนใหญ่เป็นชาวเติร์ก ปี 1993 ทัพอาร์มีเนียบุกตีเมืองนี้ เข่นฆ่าคนบริสุทธิ์ ขับไล่ให้ชาวเมืองต้องอพยพลี้ภัยออกไปจนหมดสิ้น จากนั้นจึงทำลายสิ่งก่อสร้างในเมือง เพื่อให้ชาวเติร์กขาดแรงจูงใจในการหวนกลับ

เหตุผลที่อาร์มีเนียใช้ให้ความชอบธรรมกับการกระทำดังกล่าว คือ “เพื่อสร้างเขตกันชนให้กับอาร์ตซัค” แต่การกระทำนี้ได้ทำให้ชาวอักดัมมากมายต้องบ้านแตกสาแหรกขาด พลัดถิ่นไปยังเมืองต่างๆ พวกเขายังโหยหาที่จะกลับบ้านอยู่เสมอ

…นี่แตกต่างจากเคราะห์กรรมของชาวอาร์มีเนียอย่างไรบ้าง?…

ปัจจุบันแม้อาเซอร์ไบจานเจริญขึ้น มีกำลังทหารพร้อมพรั่งกว่าเดิม แต่ยังไม่อาจหวนมาตีอาร์ตซัค

นี่เป็นเพราะอาร์มีเนียเข้าสวามิภักดิ์ต่อรัสเซียและอิหร่าน ดึงกำลังมหาอำนาจป้องกันตัว รัสเซียเลี้ยงอาร์ตซัคไว้ ก็เพื่อให้ภูมิภาคนี้มีปัญหาต้องพึ่งพาการแทรกแซงจากภายนอกอยู่เสมอ และหากไม่ทำเช่นนี้อาเซอร์ไบจานซึ่งเป็นชาติน้ำมันก็จะมีกำลังแข็งกล้าเกินไป…

การที่รัสเซียชุบเลี้ยงอาร์ตซัค จึงเป็นกระจกสะท้อนการที่อเมริกาชุบเลี้ยงอิสราเอลเพื่อให้ภูมิภาคตะวันออกกลางซึ่งมีน้ำมันนั้นขาดเสถียรภาพ เป็นช่องให้อเมริกาสามารถเข้าแทรกแซงได้…

…เช่นนี้ถ้าท่านเป็นชาวอาเซอร์ไบจาน …ท่านคับแค้นหรือไม่?

ปัจจุบัน (ปี 2018) อาร์มีเนีย อาเซอร์ไบจาน ตั้งประจันหน้า กระทบกระทั่งกันอยู่เสมอ มีทหารหนุ่มถูกฆ่า ชาวบ้านถูกลูกหลง ทั้งสองฝ่ายบาดเจ็บล้มตายมิได้ขาด เฉพาะตั้งแต่ปี 2012 ถึงปัจจุบันตายไปกว่า 400 คน (ข้อมูลไม่อัพเดท คงมากกว่านี้อีก)

…คำถามคือแล้วบุญคุณความแค้นนี้จะจบลงตรงไหน?

…หนทางออกจากสิ่งนี้คืออะไร?

…เรื่องนี้คงเป็นปัญหาที่เราท่านต้องขบคิด…

บทความนี้เขียนจากการเดินทางไปยังประเทศซึ่งยังไม่ได้รับการยอมรับจากนานาชาติ เพื่อเปิดหูเปิดตาตนเอง และนำเรื่องราวมาแบ่งปันแก่ท่านทั้งหลาย

ประเทศอาร์ตซัคแม้ไม่มีจริง …แต่ก็มีจริงเป็นอย่างยิ่ง

เรื่องที่เกิดขึ้นในอาร์ตซัคนั้น …แม้ห่างไกลจากตัวเราเหลือเกิน …แต่ก็ใกล้ตัวเราเหลือเกิน