บทความนี้ชื่อ The Martyr หรือ “ผู้พลีชีพเพื่อความเชื่อ” เป็นส่วนที่สองของซีรีย์การปฏิวัติฝรั่งเศส
ยุคปฏิวัติฝรั่งเศส (1789-1799) เป็นยุคแห่งความวุ่นวายสับสน ในเดือนกรกฎาคมปีแรก หรือ 1789 นั้น ฝูงชนซึ่งไม่พอใจการปกครองของกษัตริย์ได้กรูเข้าถล่มคุกบาสตีย์ ตัดหัวผู้คุมมาแห่ประจาน แล้วต่างร้องเพลงเต้นรำกันด้วยความสะใจ …จากนั้นปารีสก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นแดนแห่งนรกมิคสัญญี เมื่อผู้คนเริ่มตระหนักว่าพวกเขาสามารถทำอะไรก็ได้
แต่ก่อนอื่นผมขอแนะนำให้ท่านรู้จักกับอุปกรณ์ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของยุคนี้หรือเครื่องกิโยตินเสียก่อน
เครื่องกิโยตินมีสัณฐานเป็นใบมีดใหญ่สำหรับหั่นศีรษะมนุษย์ มันถูกตั้งชื่อตาม ดร.โฌเซฟ-อินแนซ กิโยแตง ซึ่งแนะนำให้ใช้ เพราะสะดวกรวดเร็ว ไม่ทำให้นักโทษทรมานนัก ต่อมามีการใช้กันบ่อย จนคนเรียกมันว่า “ใบมีดแห่งชาติ” (National Razor) ส่วนใหญ่ใช้ฆ่าพวกเจ้านายและนักบวช ซึ่งเป็นตัวแทนของระบบเก่า
ประเด็นคือชาวปารีสพบแทบจะในทันทีว่ากิโยตินนั้นรวดเร็วเฉียบขาดเกินไป กระทั่งศีรษะที่ถูกตัดนั้นยังไม่ตายสนิท บ่อยครั้งเมื่อเพชรฆาตชูมันขึ้นแสดงแก่ฝูงชน หลายศีรษะกลับยังสามารถแสดงอารมณ์ได้ …บางศีรษะก็ทำหน้างงงวย …บางศีรษะก็ทำหน้าเจ็บอาย
…บางศีรษะกรีดร้อง …โดยที่ไม่มีเสียงหลุดจากปาก เพราะไม่มีกล่องเสียงอีกต่อไปแล้ว…
มีเรื่องเล่าว่ามีการนับเวลาที่ศีรษะสามารถแสดงอารมณ์ก่อนหมดสติ …ก็นับได้ประมาณ 10 วินาทีเศษ …ชาวปารีสตอนแรกก็กลัว แต่ต่อมาเริ่มเห็นของเหล่านี้เป็นสิ่งบันเทิง จึงผลัดกันมาดูมาเชียร์มิได้ขาด
แม้จะมีความป่าเถื่อนบ้าง หากในช่วงแรกของการปฏิวัตินั้น มีบรรยากาศแห่งการปรับปรุงสิทธิเสรีภาพเป็นที่น่าชื่นชม โรแบสปีแยร์ผู้นำฝ่ายประชาชนที่มีแบคกราวน์เป็นทนายซึ่งเกลียดชังความอยุติธรรม ฉายา “ผู้ซื่อตรง” (the incorruptible) ได้ผลักดันให้เกิดความดีงามหลายอย่าง เช่นยกเลิกการกดขี่ชาวยิว, เลิกการกดขี่คนดำ, และเลิกทาส สำหรับพวกราชวงศ์นั้นเขาเห็นว่าควรปลดจากอำนาจ แต่ก็ไม่เห็นด้วยกับการลงโทษอย่างโหดร้าย
ตอนนั้นแม้ฝ่ายประชาชนยึดอำนาจได้แล้ว แต่ไม่สมบูรณ์หมด บางจังหวัดที่พวกขุนนางยังมีอำนาจก็พากันกระด้างกระเดื่อง กษัตริย์หลุยที่ 16 และครอบครัวที่ถูกขังในปารีสนั้นถูกม๊อบบุกมารังแกเนืองๆ มีความเดือดร้อนเป็นอันมาก
มิถุนายน 1791 หลุยส์จึงตัดสินใจหลบหนีจากปารีสไปขอพึ่งอำนาจฝ่ายนิยมกษัตริย์ที่เหลืออยู่ และกองกำลังต่างชาติให้กลับมากู้ฐานะ
แต่ด้วยความที่เขาโง่เง่าไม่เอาถ่านมาชั่วชีวิต ก็ประเมินผิดว่ามีเฉพาะชาวปารีสที่เกลียดเขา แต่คนต่างจังหวัดยังรักเขาอยู่
พอถึงเวลาต้องเอาจริงหลุยส์ก็ดำเนินแผนต่างๆ ล่าช้า ผิดพลาด มีแอบไปทักทายราษฎรทิ้งร่องรอยไว้มากมาย ในที่สุดเขาและครอบครัวจึงถูกจับได้ที่เมืองวาแรน เพราะมีคนจำได้ว่าหน้าเหมือนภาพในพันธบัตร
เหล่าราชวงศ์ถูกคุมตัวกลับมาปารีสอย่างนักโทษ ผู้คนต่างเงียบงันด้วยความตื่นตระหนก ก่อนหน้านั้นหลุยส์ยังถูกมองเป็นแค่คนโง่ที่พอจะเห็นใจประชาชนบ้าง แต่การหลบหนีครั้งนี้ คือการไปขอกำลังต่างชาติมาทำร้ายชาวฝรั่งเศส “…มันคือการทรยศต่อประชาชน ไอ้เลวเอ้ย!”
ตอนนั้นมีอดีตนักวิทยาศาสตร์ชื่อ ฌ็อง-ปอล มารา เจ็บป่วยเป็นโรคผิวหนังต้องนอนแช่อ่างน้ำเป็นประจำ แต่มีความคิดรุนแรงทางการเมือง จึงออกหนังสือพิมพ์ชื่อ “เพื่อนประชาชน (L’Ami du peuple)” ทุกเล่มจะต่อว่าพวกศักดินาอย่างกราดเกรี้ยว ด่าแม้กระทั่งอดีตรัฐมนตรีคลัง ฌัก แนแกร์ ที่จริงๆ แล้วดีกับประชาชน
เขาตั้งข้อสงสัยว่าคนโน้นคนนี้แอบวางแผนร้าย จะฆ่าหมู่ประชาชน ดังนั้นจึงเชียร์ให้ประชาชนออกมาฆ่าล้างพวกมันก่อนเพื่อเป็นการป้องกันตัว
ในสมัยที่เทคโนโลยีการสื่อสารยังไม่ดี วาจาอันดุเดือดอันร้อนผสมความกาวชวนสะใจนี้ ได้ทำให้มีคนอินตามเป็นจำนวนมาก ผู้คนเริ่มคิดว่าต้องฆ่าล้างโคตรพวกเจ้านายเก่าให้หมดสิ้นเพื่อป้องกันตัวจริงๆ!
ขณะเดียวกันเหล่าราชวงศ์ในยุโรปเริ่มเห็นว่าการปฏิวัติฝรั่งเศสเป็นภัยคุกคาม เพราะกลัวคนจะเลียนแบบมาปฏิวัติพวกตนด้วย ฝ่ายประชาชนฝรั่งเศสก็หวาดกลัวถูกโค่นล้มการปฏิวัติเช่นกัน จึงประกาศสงครามสู้กับออสเตรีย และปรัสเซีย ในช่วงแรกนั้นทัพฝรั่งเศสเพลี่ยงพล้ำบ้าง แม่ทัพปรัสเซียชื่อ ชาร์ล วิลเลียม เฟอร์ดินาน ประกาศว่า “หากพวกปฏิวัติทำอันตรายพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 จะเผาปารีสให้ราบเป็นหน้ากลอง”
ชาวปารีสฟังคำขู่นั้นก็โกรธเป็นอย่างมาก เอาคำประกาศมาเช็ดก้นด้วยความกราดเกรี้ยว!
กันยายน 1792 มาราซึ่งเป็นตัวจี๊ดของการปฏิวัติได้ออกมาประกาศให้ผู้คน “ฆ่าล้างศัตรูของประชาชนให้หมด!” เกิดม๊อบบุกเข้าสังหารหมู่ผู้ต้องสงสัยว่าเป็นศัตรูกับประชาชน ซึ่งจริงๆ ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง เด็ก และคนธรรมดาที่ไม่เกี่ยวกับการเมือง
พวกม๊อบกระทำการชั่วช้าป่าเถื่อนมากมาย จับบาทหลวงมาผ่าท้องลากไส้ ข่มขืนผู้หญิงแล้วตัดหัว นำอวัยวะของเหยื่อกว่าพันคนมาแห่ประจาน ร้องรำทำเพลงด้วยความสะใจประดุจสัตว์
ความนี้โด่งดังไปทั่วยุโรป ประชาชนต่างชาติจากที่เคยอึนๆ ว่าการปฏิวัติฝรั่งเศสดีไหม ก็ตั้งข้อสงสัยว่า “…นี่หรือการตื่นรู้ของประชาชน? …นี่หรือสิทธิความเท่าเทียมกันของมนุษย์อย่างที่เขากล่าวอ้าง?” ปรากฏภาพลักษณ์ของการปฏิวัติแย่ลงมาก
เดือนเดียวกันรัฐบาลฝ่ายปฏิวัติได้โหวตให้ล้มล้างราชวงศ์ ต่อไปพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 จะไม่ใช่กษัตริย์อีกต่อไปแล้ว แต่จะเป็น ซีโตย็อง หลุยส์ กาเป (Citizen Louis Capet)
ฝรั่งเศสเปลี่ยนจากราชอาณาจักรเป็นสาธารณรัฐซึ่งประชาชนปกครองตนเองเป็นครั้งแรก มีการก่อตั้งสภากงว็องซียงแห่งชาติ (Convention nationale) เป็นคณะปกครอง
ต่อมาใน มกราคม 1793 พวกรัฐบาลก็ตัดสินประหารหลุยส์เสีย เขาพยายามรักษาขัตติยะมานะเป็นครั้งสุดท้ายโดยร่ำลาลูกเมียอย่างเข้มแข็ง ก่อนจะเดินทางสู่แท่นประหารด้วยความสงบ รัฐบาลจัดรถม้าปิดพาหลุยส์ไปลานประหารโดยมิให้ต้องรับผลกระทบจากม๊อบที่คอยก่นด่าตลอดทางเกินไป
ณ ตะแลงแกง หลุยส์ได้พยายามกล่าวสุนทรพจน์เป็นครั้งสุดท้าย เขาพูดประมาณว่า “ข้าพเจ้าตายอย่างผู้บริสุทธิ์ ข้าพเจ้ายกโทษให้ผู้สังหารตัวข้า และยินดีตายเพื่อความสุขของประชาชน อย่างไรก็ตามข้าพเจ้าขอสวดมนต์อ้อนวอนไม่ให้ประเทศฝรั่งเศสถูกพระเจ้าลงโทษจากสิ่งนี้” สุนทรพจน์ดังกล่าวมีคนฟังออกมาได้หลายเวอร์ชัน ทุกคนฟังไม่ชัด เพราะมันถูกเหล่าทหารตีกลองกลบเพื่อป้องกันไม่ให้คนได้ยิน จากนั้นเพชฌฆาตจึงจับหลุยส์ไปตัดหัว
ตอนนั้นฝรั่งเศสเกิดความวุ่นวาย พวกกลุ่มนิยมเจ้าก่อการขึ้นทั่วไป ภาวะข้าวยากหมากแพงก็ทำให้ชาวบ้านธรรมดาออกมาประท้วงเพราะอดอยาก สำหรับคณะรัฐบาลนั้นเคยแบ่งเป็นกลุ่มจิรองแดงซึ่งเป็นกลางซ้าย กับกลุ่มมองตาญซึ่งเป็นซ้ายจัด
ปรากฏว่ากลุ่มจิรองแดงถูกมองว่าหัวรุนแรงไม่มากพอ ถือว่าน่าสงสัย อาจเป็นการผู้ทรยศต่อประชาชน จึงถูกกำจัดไปด้วย ทำให้คณะรัฐบาลเหลือแต่พวกพีคๆ
กรกฎาคม 1793 มีผู้หญิงคนหนึ่งชื่อ ชาร์ล็อต กอร์แด เป็นประชาชนที่สนับสนุนการปฏิวัติ และชอบกลุ่มจิรองแดง ต่อมาเธอเกิดตระหนักว่าความวุ่นวายทั้งหมดมาจากมาราคอยปั่นหัวประชาชนนั่นแหละ เธอจึงมาหาเขา อ้างว่านำข้อมูลของพวกจิรองแดงหลบหนีมาให้ จากนั้นเอามีดทำครัวแทงเขาตาย
กอร์แดเดินเข้าสู่เครื่องกิโยตินด้วยความกล้าหาญ เธอคิดว่าความรุนแรงในฝรั่งเศสจะจบไปพร้อมกับวีรกรรมของเธอ หารู้ไม่ว่าประชาชนมากมายซึ่งเป็นแฟนหนังสือผู้บ้าคลั่งของมาราได้ถือเหตุการณ์นี้เปรียบมาราเสมือนนักบุญ …เหมือนมรณสักขี …เหมือน “การเสียสละของพระเยซู” ที่พลีชีพเพื่อช่วยเหลือมวลมนุษย์
ตอนนั้นศาสนาคริสต์ในฝรั่งเศสถูกกำจัดไปมาก ผู้คนสร้าง “ลัทธิบูชามารา” ขึ้นมายึดเหนี่ยวจิตใจแทน มีการเอารูปเขานอนในอ่างน้ำไปตั้งบนแท่นบูชาแทนกางเขนพระเยซู มีการวาดรูปเขานอนตายในลักษณะคล้ายรูปปิเอตา (รูปพระแม่มารีกอดศพพระเยซูที่มีชื่อเสียง แกะโดยไมเคิลแองเจลโล) พวกที่บูชามาราก็จะใช้ความรุนแรงตามแนวทางศาสดานั่นเอง
ในตอนนั้นเอง โรแบสปีแยร์ผู้ซื่อตรง คิดว่าจะต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อช่วยกอบกู้สถานการณ์ …แต่สิ่งที่เขาจะทำต่อไปนั้น ยังน่าสยอดสยองขึ้นไปกว่านี้ได้อีก ดังจะได้เขียนต่อในตอนต่อไปครับ
0 Comment