โรคระบาดจากไวรัสโคโรนาที่เรากำลังเผชิญอยู่นี้ ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นครั้งแรกในประวัติศาสตร์มนุษย์ชาติ …นอกจากนั้นประวัติศาสตร์ยังสอนเราว่า “ภัยโรคระบาด” มักไม่หยุดอยู่แค่การเจ็บป่วย หากแต่เป็นอะไรที่น่ากลัวกว่านั้นมาก… เพื่อจะเข้าใจสิ่งนี้เราลองศึกษาจากประวัติศาสตร์ของโรคระบาดกันนะครับ

โรคระบาดเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับประวัติศาสตร์มนุษย์ชาติมายาวนาน และมักจะก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงในทุกอารยธรรม
เหล่าโรคร้ายมักเกิดจากเชื้อจุลชีวันเช่นไวรัสแบคทีเรีย ที่มีการวิวัฒนาการอยู่เรื่อยๆ สิ่งนี้อธิบายว่าทำไมเราต้องฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ทุกปี นั่นเพราะไข้หวัดใหญ่ที่ระบาดแต่ละรอบนั้นเกิดจากไวรัสไม่ซ้ำกัน ดังนั้นหากเราหยุดการพัฒนาวัคซีนและยาเมื่อไร วันหนึ่งมนุษยชาติก็อาจต้องสูญพันธุ์เพราะเป็นหวัดตาย

 

การระบาดของโรคนั้นมีหลายระดับ ภาษาอังกฤษแบ่งเรียกเป็น:

  • เอาท์เบรก (Outbreak) หรือการระบาดมากกว่าปกติ
  • เอนเดมิก (Endemic) หรือการระบาดในท้องถิ่น (เช่นไข้เลือดออกที่ระบาดเฉพาะในเขตร้อน) และ
  • แพนเดมิก (Pandemic) หรือการระบาดใหญ่ระดับโลก

การระบาดของไวรัสโคโรนาที่เราพบนี้ อยู่ในขั้นแพนเดมิก

ในอดีตโลกเราเคยเผชิญโรคระบาดระดับแพนเดมิกมาแล้วหลายครั้ง ที่ควรกล่าวถึงเช่น “กาฬโรค” หรือมหันตภัยที่เคยมากวาดล้างมนุษย์ถึงสามรอบใหญ่ๆ

การระบาดของกาฬโรคครั้งแรก เรียกว่าภัยระบาดจัสติเนียน (เริ่มปี 541 สงบและระบาดใหม่อีกหลายรอบ จนปี 750) ประมาณว่าคร่าชีวิตคนไป 25-100 ล้านคน ซึ่งเป็นปริมาณที่เยอะมากสำหรับประชากรโลกโบราณ โดยชื่อโรคมาจากการที่มันระบาดไปถึงจักรพรรดิจัสติเนียนที่ 1 แห่งอาณาจักรไบแซนไทน์ด้วย แต่พระองค์รอดมาได้

ตอนนั้นคนไม่รู้ว่าโรคนี้เกิดจากอะไร และไม่รู้วิธีรับมือ ก็พากันตกตายเป็นเบือจนจบลงโดยการที่คนมีชะตาต้องตายล้วนตายหมด และคนที่รอดอยู่มีภูมิคุ้มกันไปเอง

กาฬโรคระบาดครั้งที่สองในศตวรรษที่ 14-17 เชื่อว่าเริ่มระบาดมาจากจีน และแพร่มาถึงยุโรปผ่านทางเส้นทางสายไหม มันระบาดฆ่าคนตายไป 75-200 ล้านคน ในจำนวนนี้สังหารเป็น 30-60% ของประชากรยุโรป

คนไม่รู้จะรักษาตัวยังไงก็อ้อนวอนพระเจ้า กินแร่บด เอานกพิราบมาถูกตัว แช่ตัวในน้ำสมสายชู จับคนยิวมากดขี่แก้เครียด ล้วนแล้วแต่ไม่ได้ผล

เกิดมีอาชีพ “หมอโรคระบาด” ใส่หน้ากากคล้ายนก โดยใส่เครื่องหอมไว้ตรงปลายจงอย เพราะเชื่อว่าโรคนี้แพร่มากับอากาศเสีย ดังนั้นเครื่องหอมน่าจะช่วยได้ (แต่ก็ไม่)

หลังจากคนตายไปมากมาย ในที่สุดมนุษยชาติก็ค่อยๆ เรียนรู้ว่าการ “กักตัว” คนป่วยเป็นวิธีระงับการแพร่เชื้อที่ได้ผล

ที่เมืองเวนิสมีการออกกฏให้กะลาสีของเรือที่มาเทียบท่าให้รออยู่บนเรือสี่สิบวันก่อนจะเข้าเมือง คำว่าสี่สิบวันในภาษาอิตาลีของเวนิสคือ ควอแรนติโน (Quarantino) เป็นที่มาของศัพท์คำว่า ควอแรนทีน (Quarantine) อันแปลว่าการกักตัวในภาษาอังกฤษปัจจุบัน

การระบาดร้ายแรงอีกครั้งคือ การระบาดอเมริกันในปีศตวรรษที่ 16 ตอนนั้นนักสำรวจชาวยุโรปได้เดินทางมาถึงทวีปอเมริกาและพาโรคฝีดาษมาด้วย

มันสังหารชนพื้นเมืองที่ไม่มีภูมิคุ้มกันตายไปถึง 90% และเป็นส่วนสำคัญในการล่มสลายของอารยธรรมแอซแท็ก และอินคา ทำให้สเปนสามารถยึดดินแดนในทวีปอเมริกาเป็นเมืองขึ้นได้โดยง่าย

ปลายศตวรรษที่ 18 แพทย์ชาวอังกฤษชื่อเอ็ดเวิร์ด เจนเนอร์พบว่าการให้เชื้อฝีดาษวัว หรือ cowpox ซึ่งใกล้เคียงกับฝีดาษปกติ (smallpox) แต่รุนแรงน้อยกว่ามากแก่คน และปล่อยให้ป่วยจนหายเอง จะทำให้คนๆ นั้นมีภูมิต้านทานเชื้อฝีดาษไปด้วย

นี่เป็นที่มาของการสร้างวัคซีนฝีดาษขึ้นมาหยุดยั้งการระบาดที่คร่าชีวิตคนกว่า 10% ของเกาะอังกฤษ

และนั่นเป็นเหตุให้พวกเรารุ่นหนึ่งต้องปลูกฝีกันอยู่ จนกระทั่งเชื่อว่าโรคฝีดาษได้สูญพันธุ์ไปหมดแล้วในปี 1980

กาฬโรคระบาดใหญ่ครั้งที่สามในปี 1855-1960 ฆ่าคนตายไป 12 ล้านคน (คนตายน้อยกว่าครั้งก่อนๆ เพราะตอนนั้นเริ่มรู้วิธีรับมือแล้ว) ส่วนใหญ่ระบาดในจีนและอินเดีย มีแพร่มาถึงไทย คนไทยเรียกว่าโรคห่า (ซึ่งจริงๆ คำว่าห่านั้นแปลว่าโรคระบาดใหญ่ อาจแปลว่ากาฬโรค อหิวาตกโรค หรือโรคโคโรนานี้ก็ได้)

เชื่อว่าไข้หวัดสเปนนั้นแพร่จากจีนไปยังแคนนาดา และไปสู่ยุโรปพร้อมทหารที่ไปรบ ทั้งฝ่ายสัมพันธมิตรและมหาอำนาจกลางต่างโดนโรคระบาดตายกันเกลื่อนเมือง แต่เนื่องจากกำลังรบกันไม่อยากให้คนเสียขวัญจึงกลบข่าว

ครั้นโรคนี้ระบาดไปถึงสเปนที่วางตนเป็นกลาง สเปนไม่ปิดข่าวก็กระพือมันออกจนคนคิดว่าเริ่มระบาดจากที่นี่และตั้งชื่อว่า “ไข้หวัดสเปน” ไป

อนึ่งไข้หวัดสเปนนี้มีความใกล้เคียงกับไข้หวัดใหญ่ และเป็นสาเหตุที่เราต้องฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่กันทุกปีจนปัจจุบัน

โรคระบาดคร่าชีวิตผู้คนไปมาก… แต่ประวัติศาสตร์สอนเราว่าภัยของมันมักไม่จบแค่นี้ เพราะสังคมของมนุษย์มักมีการเปลี่ยนแปลงภายหลังทุกการระบาดใหญ่ ซึ่งจะเป็นสิ่งที่กล่าวต่อไป

ไวรัสโคโรนาที่เราเผชิญในปัจจุบันนั้นมีความใกล้เคียงกับไวรัสที่ทำให้เกิคโรคซาร์ (SARS) ในปี 2003 มันถูกเรียกว่าโคโรนา (Corona) เพราะมีรูปร่างคล้ายพวงหรีด, มงกุฏ (พวงหรีด, มงกุฏ ในภาษาละตินเรียกว่า corona)

ไวรัสตัวนี้ทำให้เกิดอาการคล้ายหวัด แต่จริงๆ แล้วเป็นคนละโรคกับหวัดธรรมดา และไข้หวัดใหญ่ที่เรารู้จัก

การระบาดของไวรัสโคโรนานี้นับเป็นการระบาดขั้น “แพนเดมิก” ครั้งล่าสุด

โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนานั้นติดต่อง่าย แต่อัตราการตายต่ำ คนแข็งแรงจะหายเอง คนอ่อนแออาจเจ็บป่วยถึงตาย มีการประเมินว่าทางออกจากวิกฤตโคโรนานั้นเป็นไปได้สามแบบ

ทางที่หนึ่งคือรัฐบาลทุกชาติ ชาวโลกทุกคนร่วมใจกัน กักตัวใส่หน้ากาก หยุดยั้งการระบาดของไวรัสโคโรนาไว้ได้จนมันหายไปเอง

ทางนี้คือทางออกที่ดีที่สุด แต่ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันน่าจะเป็นไปไม่ได้อีกต่อไปแล้ว เพราะมีการระบาดในวงกว้างเกินไป รัฐบาลหลายประเทศก็ไม่ได้จริงจังในการแก้ไขมัน

ทางที่สองคือปล่อยให้ไวรัสโคโรนาระบาดใส่คนทุกคน ปล่อยให้คนแข็งแรงรอด คนอ่อนแอตาย แล้วในที่สุดทุกคนที่รอดก็จะมีภูมิต้านทาน หรือที่เรียกว่า Herd Immunity

วิธีนี้เรียกว่า “เจ็บแต่จบ” มีบางรัฐบาลเคยใช้ แต่ยกเลิกไปเพราะกำลังการแพทย์ไม่พอแก่โรค หากปล่อยระบาดกระจายกว้างเกินไปเร็วเกินไป คนจะตายกันเป็นเบือ เพราะมีหมอไม่พอรักษา

ทางที่สามคือชะลอให้คนกักตัวอยู่บ้านให้มากที่สุด ให้โรคระบาดช้าที่สุด เพื่อ “พยุง” ให้คนป่วยมีจำนวนไม่มากเกินศักยภาพทางแพทย์ วิธีนี้จะให้คนตายน้อยกว่าวิธีที่สอง

แต่วิธีนี้มีผลเสียคือการที่คนไม่ออกมาทำกิจกรรมเป็นเวลานาน ก็จะมีหลายธุรกิจที่เผชิญปัญหา ธุรกิจท่องเที่ยว ห้างร้าน จะไปก่อน ธุรกิจอื่นๆ ที่ไม่ใช่ปัจจัยสี่และการแพทย์จะทยอยพัง จะมีคนตกงานมาก คนจะกักตุนใช้เงินน้อยลงทำให้เศรษฐกิจยิ่งย่ำแย่ลงไปเรื่อยๆ

แต่วิธีนี้ก็เป็นวิธีที่รัฐบาลแทบทุกประเทศในโลกใช้ เพราะรัฐบาลเหล่านั้นเลือก “รักษาชีวิตประชาชน แลกกับเศรษฐกิจพัง”

ถามว่าภาวะนี้จะจบลงเมื่อใด …ก็คงเมื่อมีการพัฒนาวัคซีนมารับมือไวรัสโคโรนา แต่วัคซีนนั้นปกติต้องใช้เวลานาน ทดลองในสัตว์ ทดลองในคนแก่ ทดลองในคนหมู่มาก กว่าจะนำมาผลิตกระจายในวงกว้างได้ก็ต้องมีปีเศษเป็นอย่างน้อย

เชื่อว่ากว่าจะถึงเวลานั้นพวกเราส่วนใหญ่คงติดโคโรนาจนมีภูมิคุ้มกันไปเองแล้ว แต่วัคซีนก็คงช่วยคนได้มากอยู่ดี

ในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำที่กำลังจะมาถึงเราในไม่ช้านั้น คนชั้นสูงกับคนชั้นกลางที่พอมีเงินเก็บอาจจะพอดำรงตัวรอดไปได้ แต่คนยากจนที่ปกติรายรับรายจ่ายเดือนชนเดือน และมีหนี้จะเป็นผู้ประสบปัญหามากที่สุด

ประวัติศาสตร์โลกสอนเราว่า พอบ้านเมืองเกิดเภทภัยอดอยาก ผู้คนทนอดทนหิวไม่ได้ ก็จะพากันต้องการความเปลี่ยนแปลง

ประวัติศาสตร์บอกเราว่าการประท้วง และความวุ่นวายทางสังคมนั้น ส่วนใหญ่มักมีรากเหง้ามาจากปัญหาปากท้องมากกว่าปัญหาความไม่เท่าเทียม หรือปัญหาอื่นๆ

…โรคระบาดที่ทำลายเศรษฐกิจของรัฐต่างๆ จนพังพินาศก็สามารถนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงทางสังคมขนาดใหญ่ …และนั่นอาจจะเป็นสิ่งน่ากลัวที่แท้จริง…

เรื่องดังกล่าวเป็นสิ่งที่ผมหวังว่าจะไม่เกิดขึ้น แต่ดูเหมือนสัญญาณต่างๆ จะบ่งชี้ไปทางนั้น

ถามว่าในสถานการณ์เช่นนี้เราทำอะไรได้บ้าง?

ก็คงต้องช่วยกันรักษาสุขภาพ ดูแลตัวเอง ช่วยลดความเสี่ยงในการระบาดของโรค ไม่กักตุน และไม่ตระหนี่จนเกินไป เพื่อประคับประคองมิให้เศรษฐกิจพังพินาศ

หวังว่าพวกเราจะสามารถช่วยกันผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปได้นะครับ