ศตวรรษที่ 19 ดินแดนลิทัวเนียตกเป็นเมืองขึ้นของจักรวรรดิรัสเซีย หลังการลุกฮือขึ้นกู้ชาติของชาวลิทัวเนียล้มเหลวในปี 1864 จักรวรรดิรัสเซียจึงตัดสินใจว่ามีแต่ต้องกลืนชาติให้ชาวลิทัวเนียสูญพันธุ์สิ้นอัตลักษณ์ กลายเป็นชาวรัสเซียไป จึงจะกำราบให้คนเหล่านี้สยบยอมได้

มีการประกาศห้ามชาวลิทัวเนียตีพิมพ์หนังสือด้วยอักษรโรมัน (ที่ชาวลิทัวเนียใช้มาตลอด) ให้ใช้แต่อักษรซีริลลิกของรัสเซียในการเขียนอ่าน ให้เยาวชนลิทัวเนียเรียนแต่ในภาษารัสเซียเท่านั้นเพื่อให้พวกเขาถูกกลืนกลายเป็นชาวรัสเซียไปในที่สุด

ด้วยเหตุนี้เหล่าปัญญาชนลิทัวเนียจึงหลบลงใต้ดิน พวกเขาตั้งเครือข่าย “สมาคมลับเพื่อลักลอบขนหนังสือเถื่อน” ขึ้น 

เกิดอาชีพ “นักลักลอบขนหนังสือเถื่อน” เรียกว่า “คนิกเนสิส” (Knygnešys) คนเหล่านี้ลักลอบพิมพ์หนังสือขนหนังสือด้วยความกล้าหาญ หากพวกเขาถูกจับได้ พวกเขาจะต้องถูกลงโทษอย่างหนัก อาจถึงกับถูกส่งไปใช้แรงงานที่ไซบีเรีย ซึ่งมีโอกาสอดตาย หนาวตายสูง

เป็นเวลา 40 ปี ตั้งแต่ปี 1864-1904 ที่กลุ่มคนิกเนสิสเสี่ยงอันตราย ขนหนังสือเฉลี่ยสามถึงสี่หมื่นเล่มต่อปี ไปแจกจ่ายให้ทุกหมู่บ้าน ทุกชุมชนของชาวลิทัวเนียแอบอ่านกันลับๆ

ประมาณว่า จักรวรรดิรัสเซียจับหนังสือเหล่านี้ได้ถึงหนึ่งในสาม แปลว่ามีคนิกเนสิสถูกเนรเทศไปไซบีเรียไม่นับได้ อย่างไรก็ตามพวกเขาก็ยังต่อสู้ขนหนังสือมิได้ย่อท้อ

จนปี 1904 จักรวรรดิรัสเซียทำสงครามกับญี่ปุ่น มีลางว่าคู่ต่อสู้ตึงมือ ฝ่ายรัสเซียไม่ต้องการให้ความขัดแย้งกับชนกลุ่มน้อยเป็นปัญหาให้ต้องพะวงหลัง จึงยอมยกเลิกกฎห้ามพิมพ์หนังสือลิทัวเนีย

ดังนี้ชาวลิทัวเนียจึงกลับมาอ่านหนังสือของตนได้ใหม่

ด้วยการเสียสละของเหล่าคนิกเนสิสที่ต่อสู้ทรมานบาดเจ็บล้มตายมาตลอด ทำให้หลังผ่านการกลืนชาติมาถึงสี่สิบปี กลับปรากฏว่าทุกหมู่บ้าน ทุกตำบลของลิทัวเนียยังมีหนังสือของตนอยู่พร้อมพรั่ง เยาวชนลิทัวเนียยังสามารถใช้ภาษาของตนเองได้ และยังทราบว่าตนมีรากเหง้าอย่างไร

ในลักษณะนี้วัฒนธรรมลิทัวเนียจึงถูกปกป้องไว้ มิได้สูญหาย ต้องขอบคุณวีรกรรมของ “นักลักลอบขนหนังสือเถื่อน” เหล่านี้เอง

ภาพแนบ : วินคัส จัสกา นักลักลอบขนหนังสือเถื่อนชื่อดัง