ครั้งหนึ่งจีนในยุคสมัยของเหมาเจ๋อตงเคยได้เกิด “การปฏิวัติวัฒนธรรม” ขึ้น โดยมุ่งกวาดล้างองค์ประกอบที่มีความเป็นทุนนิยม รวมถึงร่องรอยค่านิยมและวัฒนธรรมดั้งเดิมที่นำไปสู่การสร้างชนชั้นออกไปจากสังคมจีนแผ่นดินใหญ่ เพื่อสร้างและปกป้องอุดมการณ์ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน

ซึ่งประธานเหมาได้ทำการมอมเมาและล้างสมองเยาวชนทั้งหลายให้ฝักใฝ่อุดมการณ์คอมมิวนิสต์ของเหมาเจ๋อตงอย่างสุดขั้วหัวใจ พวกเขาพร้อมทำลายล้างทุกสิ่งทุกอย่างที่เหมาเจ๋อตงบอกว่าเป็น “ภัยร้ายแรงต่อคอมมิวนิสต์”
…เกิดเป็นกองกำลังของท่านประธานเหมาหรือที่เรียกว่า “กลุ่มเรดการ์ด” …

กลุ่มนี้มีไอเทมประจำตัวคือหนังสือ “คติพจน์ของประธานเหมาเจ๋อตง” ซึ่งรวมรวมแนวคิดของเหมาไว้ หรือที่เรารู้จักกันดีว่า “หนังสือปกแดง”

พวกเขาเดินถือหนังสือไล่กำจัดทุกสิ่งทุกอย่างที่ถูกมองเป็น “สี่สิ่งเก่า” ได้แก่ แนวคิดเก่า, วัตนธรรมเก่า, พฤติกรรมเก่า, และประเพณีเก่า ซึ่งพวกเขามองว่า “มันคือสิ่งที่ทำให้จีนล้าหลัง! ”

มันจึงนำไปสู่เรื่องราวสุดบ้าระห่ำมากมาย ไม่ว่าจะเป็น จับครูที่สอนตำราขงจื้อมาทุบตีและส่งไปใช้แรงงาน, จับคนแก่ที่กำลังดื่มน้ำชามาตบกบาล, ทำลายโบราณสถาน และขุดหลุมศพอดีตฮ่องเต้มาประณาม, หรือแม้แต่ไหว้เจ้าก็ถูกกระทืบเกลี้ยงทุกราย!

…แน่นอนว่าประชาชนคนธรรมดายังโดนกันถ้วนหน้า เหล่าผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์ที่ประธานเหมาไม่เชื่อใจ ย่อมไม่รอดด้วยเช่นกัน พวกเขาโดนตามเก็บล้างบัญชีตามๆ กันไป…

อีกทั้งยังเกิดเป็นลัทธิบูชาบุคคลขึ้นมา และเกิดความเชื่อว่า …ท่านประธานเหมานั้น เปรียบประดุจเทพเจ้า และทำให้ของขวัญจากท่านประธานกลายเป็นของวิเศษ…

ภายใต้ความเชื่อลักษณะนี้มันนำไปสู่การห้ามพับ หรือห้ามทำลายรูปท่านเหมา จนแม้แต่หนังสือพิมพ์ก็ไม่กล้าทำลาย รวมถึงมะม่วงยังกลายเป็น “ผลไม้เทพเจ้า” ที่ผู้คนเคารพบูชากัน ซึ่งถ้าใครคิดต่างหรือวิจารณ์ประธานเหมา คนเหล่านั้นจะต้องถูกลงโทษ!

…อย่างไรก็ดี หลังเหมาเจ๋อตงเสียชีวิตไป ส่งผลให้การปฏิวัติวัฒนธรรมสิ้นสุดลงตามตัวเขาไปด้วย…

โดยผลลัพธ์ของเหตุการณ์ในครั้งนี้สร้างความเสียหายให้กับจีนอย่างมหาศาล เช่น เศรษฐกิจที่ตกต่ำลงไป, วัฒนธรรมต่างๆ ถูกทำลายอย่างย่อยยับ และผู้เสียชีวิตมากถึง 500,000 – 2,000,000 คน
::: ::: ::: :::
การปฏิวัติวัฒนธรรมกลายเป็นเหตุการณ์ที่สร้างความบอบช้ำและความสับสนทางจิตใจของชาวจีนมาจนถึงปัจจุบัน และมีผู้คนจำนวนมากที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ครั้งนั้น …และหนึ่งในนั้นคือบุรุษที่นามว่า “สีจิ้นผิง”…