รู้ไหมครับว่า สบู่ที่เราใช้ในชีวิตประจำวันนั้นมีต้นกำเนิดมาหลายพันปีแล้ว และทราบหรือไม่ว่า ยังมีสบู่ชนิดหนึ่ง ที่ยังคงกรรมวิธีดั้งเดิมที่สืบทอดกันมาตั้งแต่โบราณ เรียกว่า “สบู่นาบลุส”
สบู่นี้ตั้งชื่อตามแหล่งกำเนิดของมัน คือเมืองนาบลุสในเขตเวสต์แบงค์ของปาเลสไตน์ …ซึ่งเป็นเขตที่มีความซับซ้อนทางการเมือง ต้องตกอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล-ปาเลสไตน์อยู่เสมอ ความผันผวนดังกล่าวทำให้อุตสาหกรรมสบู่ซึ่งเคยรุ่งเรืองนั้นเศร้าหมองลงเป็นอันมาก ปัจจุบันจึงเหลือโรงงานผลิตสบู่นาบลุสอยู่เพียงไม่กี่แห่ง
บทความนี้ผมจะพาท่านไปรู้จักกันจุดเริ่มต้นของสบู่, สบู่นาบลุสในยุครุ่งเรือง, ความเสื่อมของอุตสาหกรรมสบู่ และการที่ชาวปาเลสไตน์พยายามรักษาวัฒนธรรมนี้ไป
จุดเริ่มต้น
หลักฐานทางประวัติศาสตร์บ่งชี้ว่า สบู่มีต้นกำเนิดในภูมิภาคตะวันออกกลาง โดยสูตรเก่าแก่สุดเท่าที่สืบค้นได้ป็นยุคสุเมเรียนหรือเมื่อราว 4,500 ปีก่อน โดยคนฟอกหนังผสมน้ำมันหรือไขมันสัตว์กับเถ้าไม้ออกมาเป็นของเหลวข้นๆ เอาไว้ใช้ขจัดขนสัตว์
สมัยต่อมา ในแดนปาเลสไตน์ (บางทีเรียกว่าคานาอัน เป็นดินแดนที่ทับซ้อนกับประเทศอิสราเอลปัจจุบัน) มีการใช้น้ำมันมะกอกแทนไขมันสัตว์ ต้มในหม้อทองแดงสี่-ห้าวัน ซึ่งระหว่างนั้นก็ใส่ผงด่างและปูนขาวลงไปผสมเรื่อยๆ คนให้เข้ากันจนมีเนื้อสัมผัส ก่อนเทลงพื้นหรือแม่พิมพ์เพื่อปล่อยให้มันแข็งตัว แล้วตัดแบ่งเป็นก้อนๆ
…สบู่นาบลุสเองเกิดขึ้นด้วยการต้มน้ำมันมะกอกเช่นนี้ และยังคงสูตรนี้จนถึงปัจจุบัน…
สบู่นาบลุส
เมืองนาบลุส ก็เช่นเดียวกับเมืองอื่นๆ ในปาเลสไตน์ คือตกอยู่ในเขตอิทธิพลของมหาอำนาจมากมายมาตลอดประวัติศาสตร์ ทั้งโรมัน, ไบแซนไทน์, ออตโตมัน, อังกฤษ แต่ไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยใด พวกเขาก็มีวัฒนธรรมการผลิตสบู่มาตลอด
การพัฒนาการผลิตสบู่จากระดับครัวเรือนสู่ระดับโรงงานนั้นเริ่มต้นในช่วงศตวรรษที่ 10 จากนั้นอุตสาหกรรมสบู่ก็รุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ ตามลำดับ
คุณสมบัติของสบู่นาบลุส
สบู่นาบลุสมีส่วนประกอบเพียงสามอย่าง คือน้ำมันมะกอก, น้ำด่าง, และน้ำ มีสรรพคุณมากมาย เช่น ช่วยให้ผิวชุ่มชื้น ฟื้นฟูเซลล์ผิว ทั้งความที่ใช้สารประกอบจากธรรมชาติ ยังช่วยให้มันปลอดภัยกับเด็กหรือผู้มีผิวแพ้ง่าย
นอกจากใช้อาบแล้ว ยังสามารถนำไปสระผม ทำให้ผมแข็งแรง หลุดร่วงน้อยลงได้อีกด้วย
สบู่นาบลุสมีชื่อเสียงเป็นวงกว้างตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 14 เพราะพระราชินีนาถอลิซาเบธที่ 1 ทรงโปรดมันยิ่ง ทำให้มีการขายไปทั่วยุโรป
เซอร์จอห์น เบาว์ริ่ง (คนเดียวกับที่เข้ามาในสยามเพื่อทำสัญญาการค้ากับร.4) ก็เคยเขียนชื่นชมสบู่นี้เป็นอย่างมาก ในช่วงปี 1830s
ในปี 1907 เมืองนาบลุสมีโรงงานผลิตสบู่ราว 30-40 แห่ง ผลิตสบู่ปีละ 5,000 ตัน หรือเกินกว่าครึ่งของสบู่ที่ชาวปาเลสไตน์ใช้ และยังส่งออกไปทั่วตะวันออกกลางและทั่วโลก ทำให้นาบลุสกลายเป็นศูนย์กลางการผลิตสบู่ประเภทนี้
วิบากกรรมของสบู่นาบลุส
แม้สบู่นาบลุสจะได้รับความนิยมเพียงใด แต่พอถึงช่วงกลางศตวรรษที่ 20 อุตสาหกรรมผลิตสบู่ก็ต้องสะดุด ปัจจัยหนึ่งเป็นเพราะเกิดแผ่นดินไหวใหญ่ในปี 1927 ทำให้เมืองนาบลุสเสียหายอย่างหนัก …แต่ในที่สุดชาวนาบลุสก็ยังฟื้นตัวกลับมาได้
อย่างไรก็ตามหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดเหตุชาวยิวที่อพยพเข้ามาปาเลสไตน์พยายามตั้งรัฐใหม่ชื่อว่า “อิสราเอล” ทำให้ต้องรบกับปาเลสไตน์ แม้ประเทศอาหรับหลายแห่งจะมาช่วย (เพราะปาเลสไตน์เป็นอาหรับเผ่าหนึ่ง) แต่ก็พ่ายแพ้แทบทุกครั้ง ทำให้ชาวปาเลสไตน์ต้องอพยพหลบหนี ได้รับความลำบากเป็นอันมาก
หลังสงครามในปี 1973 พวกรัฐอาหรับเริ่มประจักษ์ว่า ไม่ว่าอย่างไรไม่อาจเอาชนะอิสราเอลอย่างเด็ดขาด จึงค่อยๆ เปลี่ยนมาเจริญไมตรี ทำมาค้าขายกับอิสราเอล ลืมความขัดแย้งในอดีต ปัจจุบันชาติอาหรับต่างๆ ก็หันมาเป็นไมตรีกับอิสราเอลกันมาก
ขณะเดียวกันการกดขี่ชาวปาเลสไตน์ก็ยังดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ในปี 1985 อิสราเอลใช้นโยบาย “กำปั้นเหล็ก” กดขี่ชาวอาหรับปาเลสไตน์ทุกรูปแบบ สั่งเนรเทศคนออกไปมากมาย และย้ายคนยิวไปอาศัยในปาเลสไตน์เพื่อกลืนชาติ
ชาวปาเลสไตน์ซึ่งตระหนักว่าถูกทิ้งแล้ว จึงต้องสู้เองแบบตามมีตามเกิด ซึ่งวิธีต่อสู้ของผู้อ่อนแอที่ใช้ต้านผู้เข้มแข็งกว่ามากนั้น ก็คือการทำกองโจร การก่อจราจล และการก่อการร้าย เช่นใช้ระเบิดฆ่าตัวตาย วิธีนี้มีข้อเสีย คือทำให้นานาชาติรังเกียจ ตำหนิว่าเป็นโจรชั่ว
เมืองนาบลุสเองก็ได้รับความเสียหายอย่างหนักจากการจราจลและสงคราม โรงงานมากมายถูกทำลายลง ทางการอิสราเอลยังเข้มงวดกับกิจการในเขตเวสต์แบงค์มากขึ้น จนธุรกิจการค้าใดๆ เป็นไปอย่างยากลำบาก
อิสราเอลสร้างกำแพงล้อมชาวปาเลสไตน์แต่ละเมืองเอาไว้เป็นกระจุกๆ การเดินทางข้ามเมืองต้องผ่านจุดตรวจเป็นอันมาก มีทหารเฝ้าตลอดเวลา ชาวปาเลสไตน์จะออกจากเขตตนต้องขออนุญาต หรือมีบัตรพิเศษ ผู้ประกอบการต้องเผชิญเงื่อนไขการส่งออกสินค้ามากมาย
สิ่งเหล่านี้ทำให้การขนส่งวัตถุดิบทำได้ยาก วัตถุดิบทั้งน้ำมันมะกอกและผงด่างมีราคาแพงขึ้น การขนส่งก็แพง ราคาสบู่นาบลุสจึงแพงขึ้น
ขณะเดียวกันชาวปาเลสไตน์ที่ถูกกดขี่ต่างยากจนลง ฐานะทางเศรษฐกิจบีบให้ต้องหันไปซื้อสบู่สำเร็จรูป ที่นำเข้าจากตุรกีหรือจีน (เทียบกันคือ เงินที่ซื้อสบู่นาบลุสได้หนึ่งก้อน ซื้อสบู่ตุรกีหรือจีนได้ถึง 5 ก้อน) อุตสาหกรรมสบู่นาบลุสจึงเศร้าหมองลงเป็นอันมาก
…ทุกคนต้องเอาตัวรอด ยากจะหาใครสนใจวัฒนธรรมก้อนนี้ต่อไป…
ผู้จัดการโรงงานสบู่ของตระกูลทูคาน (Tuqan เป็นตระกูลขุนนางและคหบดีเก่าแก่ของปาเลสไตน์และจอร์แดน ตั้งรกรากในนาบลุสตั้งแต่สมัยออตโตมัน) ซึ่งเป็นโรงงานหนึ่งไม่กี่แห่งที่เหลืออยู่ในปัจจุบันได้ให้สัมภาษณ์ในปี 2008 ว่า
“ก่อนปี 2000 โรงงานเราแห่งเดียวผลิตสบู่ได้ 600 ตันต่อปี แต่หลังจากต้องเผชิญอุปสรรคทางเศรษฐกิจเพราะการยึดครองของอิสราเอล รวมทั้งการมีจุดตรวจ ทุกวันนี้เราผลิตได้ครึ่งเดียว”
…และจนปัจจุบันการกดขี่ดังกล่าวก็ยังมิได้ยุติ…
ความพยายามรักษาวัฒนธรรมสบู่นาบลุส
หลายฝ่ายรู้ว่า วัฒนธรรมการผลิตสบู่นาบลุสซึ่งสืบทอดมายาวนานหลายชั่วอายุคนกำลังจะหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์ จึงพยายามหาทางรักษาไว้
เช่น Nablus Soap Company ของตระกูลเทบเลห์ ซึ่งเป็นตระกูลเก่าแก่อีกแห่ง ก็พยายามผลิตสบู่เรื่อยๆ แม้จะมีอุปสรรคเพียงใด เพราะพวกเขาภูมิใจที่ได้สืบทอดมรดกของบรรพบุรุษ
มีการตั้งศูนย์ส่งเสริมมรดกทางวัฒนธรรม (Cultural Heritage Enrichment Center) ที่มีการส่งเสริม วิจัยและจัดแสดงการผลิตสบู่แบบต้นตำรับ
ทางภาคเอกชน ก็มี NGO จำนวนหนึ่งคอยหาทุนสนับสนุนในการทำสบู่ เช่น Project Hope ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงผลกำไรจากอังกฤษ ก็เป็นตัวกลางประสานงานนำสบู่จากท้องถิ่นไปขายยังยุโรปด้วย
บทส่งท้าย
อุตสาหกรรมสบู่นาบลุสที่ยังอยู่ทุกวันนี้ต้องผ่านพ้นอุปสรรคต่างๆ มากมาย ผู้ผลิตต้องใช้ความพยายามอย่างยิ่งในการยืนหยัดรักษาวัฒนธรรมนี้ไว้เช่นเดียวกับคนปาเลสไตน์ที่พยายามดิ้นรนใช้ชีวิตอย่างทรนง
…ตามที่ผมอ่านเรื่องราวของสบู่ประเภทนี้ มักพูดกันแพร่หลายว่าปัจจุบันเหลือโรงงานผลิตเพียงสองแห่ง แต่เมื่อไปจริงก็เห็นว่าน่าจะมีมากกว่านั้น ซึ่งแปลว่าความพยายามฟื้นฟูน่าจะได้ผล
สบู่นาบลุสไม่ใช่ของที่พบได้ทั่วไปในร้านสะดวกซื้อหรือซุปเปอร์มาเก็ตของปาเลสไตน์ แต่จะมีบ้างในร้านของที่ระลึกที่เอาไว้ขายนักท่องเที่ยว
0 Comment