“สยามไม่เคยตกเป็นเมืองขึ้นของชาติตะวันตกในช่วงศตวรรษที่ 19” นับเป็นประวัติศาสตร์ตอนหนึ่งที่มักถูกหยิบยกขึ้นมาสอนในชั้นเรียนประวัติศาสตร์ด้วยความภูมิใจ …แน่นอนว่าในช่วงนั้นการที่ชาติในเอเชียจะไม่ตกเป็นอาณานิคมของชาติมหาอำนาจในยุคนั้นมีอยู่น้อยมาก นอกเหนือจากสยามแล้วก็เห็นจะมีญี่ปุ่นเท่านั้น!

หากท่านพอทราบเรื่องราวของประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นมาบ้าง ก็คงทราบว่าหลังจากถูกบังคับเปิดประเทศและเซ็นสัญญาที่เสียเปรียบชาติตะวันตกแล้ว ยังเกิดสงครามกลางเมือง และการเปลี่ยนแปลงอำนาจจากโชกุนสู่จักรพรรดิอีก …แต่ญี่ปุ่นก็ยังสามารถปฏิวัติอุตสาหกรรมจนตามทันชาติตะวันตกแม้เริ่มทีหลังร่วม 30-100 ปี!

ท่านเคยสงสัยไหมว่าญี่ปุ่นพัฒนาประเทศจนตามทัน (และแซง) ชาติตะวันตกได้อย่างไรโดยใช้เวลาเพียงไม่นาน? มาร่วมหาคำตอบได้ในโพสต์นี้กันครับ

1. เหตุการณ์ที่นับเป็นจุดตั้งต้นของการปฏิวัติอุตสาหกรรมญี่ปุ่นน่าจะเป็นการมาถึงของ “เรือดำ” นำโดยนายพลเรือเพอร์รีในปี 1853-1854 นำไปสู่การเปิดประเทศญี่ปุ่นหลังปิดประเทศมานานกว่า 200 ปี …นอกจากจะนำไปสู่การติดต่อระหว่างญี่ปุ่นกับชาติตะวันตกแล้ว ยังนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่สำคัญ คือ “สงครามโบชิน” และการถวายอำนาจคืนจักรพรรดิที่เรียกว่า “การฟื้นฟูเมจิ” อีกด้วย

2. บริบทของเอเชียในเวลานั้นที่จีนเพิ่งแพ้สงครามฝิ่นครั้งที่ 1 ทำให้ญี่ปุ่นมองการปรับปรุงประเทศให้ทันสมัยเป็นเรื่องจำเป็นต่อความมั่นคงที่จะไม่ตกเป็นอาณานิคม นำไปสู่นโยบายของรัฐในการส่งเสริมอุตสาหกรรมโดยภาครัฐจะเป็นคนทำนำร่องเป็นตัวอย่าง ภายใต้สโลแกน “ฟูโกกุ เคียวเฮ” (ประเทศมั่งคั่ง แสนยานุภาพแข็งแกร่ง)

3. ถึงแม้ญี่ปุ่นจะปิดประเทศมานานและดูเหมือนมีเทคโนโลยีที่ล้าหลัง แต่ญี่ปุ่นก็ยังตอบสนองได้อย่างรวดเร็วต่อความจำเป็นในการเร่งรัดพัฒนาประเทศ เพราะญี่ปุ่นมีรากฐานทั้งมีระบบเมือง ถนน ชลประทาน การศึกษาที่วัดและงานพิมพ์ที่พร้อมอยู่แล้วจากยุคปิดประเทศ บวกกับความตั้งใจอย่างแท้จริงของทางการกับเอกชนญี่ปุ่นในการเปลี่ยนแปลงรับเอานวัตกรรมและเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามา

4. การเปลี่ยนแปลงอย่างแรกๆ คือการยกเลิกระบบศักดินา โดยการยกเลิกตำแหน่ง “ไดเมียว” และการถือครองที่ดินโดยชนชั้นเจ้าของที่ดินแล้วรวบมาใช้ระบบจังหวัด การปรับเปลี่ยนชนชั้นดั้งเดิม เช่น ซามูไร ชาวนา พ่อค้า ช่างฝีมือ เหลือเพียงขุนนางกับสามัญชน รวมทั้งมีการปฏิรูปที่ดินมอบที่ทำกินให้แก่ชาวนาที่เพิ่งได้รับอิสระจากเจ้าที่ดินเดิม …นี่นับเป็นปัจจัยที่ส่งเสริมให้เอื้อต่อลัทธิทุนนิยมที่มีผลต่อการผลิตต่อไป

5. การรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางยังก่อให้เกิดการก่อตั้งกระทรวงต่างๆ ที่ทำหน้าที่อย่างเดียวกันทั่วประเทศ เช่น กระทรวงศึกษาธิการมีหน้าที่ให้การศึกษาภาคบังคับแก่เยาวชนและมีการตั้งมหาวิทยาลัยเพื่อเป็นสถานที่ศึกษาเล่าเรียนชั้นสูง หรือกระทรวงการคลังที่ตั้งธนาคารกลางญี่ปุ่นเป็นผู้ให้กู้ยืมแก่ธนาคารเอกชนต่างๆ

6. ทางการญี่ปุ่นยังมีการส่ง “คณะทูตอิวามุระ” ซึ่งประกอบด้วยบรรดารัฐบุรุษและนักวิชาการไปศึกษาระบบโครงสร้างประเทศที่ทันสมัยของสหรัฐและชาติยุโรป มีผลทำให้เกิดความตื่นตัวในการเร่งพัฒนาประเทศ

7. ในช่วงไล่เลี่ยกันญี่ปุ่นได้ทุ่มเทกับการวางโครงสร้างพื้นฐานใหม่ซึ่งประกอบด้วยสายโทรเลขในปี 1869), ระบบไปรษณีย์สมัยใหม่ในปี 1871, ระบบรถไฟในปี 1872, รวมถึงการนำเข้าโทรศัพท์ในปี 1877

8. เพื่อเร่งพัฒนาประเทศ ญี่ปุ่นยังได้ว่าจ้างชาวต่างชาติมารับราชการ โดยคาดว่ามีจำนวนประมาณ 3,000 คนตลอดช่วงพัฒนาประเทศ และมีพร้อมกันมากที่สุด 500 คนในปี 1876 นอกจากนี้ยังได้รับค่าตอบแทนสูงกว่าคนญี่ปุ่นเสียอีก อย่างตำแหน่งอัครเสนาบดีเคยได้เงินเดือนเดือนละ 800 เยน แต่ชาวอังกฤษที่เข้ามาทำงานในโรงกษาปณ์มีเงินเดือนเดือนละ 1,045 เยน

9. ด้านเศรษฐกิจ ญี่ปุ่นได้มีมาตรการ “โชคูซันโคเกียว” หรือการส่งเสริมอุตสาหกรรม ซึ่งได้ทำให้เกิดอุตสาหกรรมเบาอย่างเช่นสิ่งทอ ผ้าไหม ไปจนถึงการต่อเรือ สิ่งนี้ทำให้อุตสาหกรรมญี่ปุ่นมี “การประหยัดโดยเพิ่มขนาด” ได้เร็ว เพราะตั้งอยู่ใกล้กันไม่เสียค่าขนส่งมากนักและมีการพัฒนาระบบขนส่ง

10. ในช่วงทศวรรษ 1880 ทางการญี่ปุ่นได้มีการขายกิจการภาครัฐให้แก่เอกชนครั้งใหญ่ จึงเกิดเป็นกลุ่ม “ไซบัตสึ” หรือกลุ่มทุนขนาดใหญ่ที่ประกอบกิจการหลายๆ อย่างแบบครบวงจรและมีความสัมพันธ์กับชนชั้นนำ ด้วยมีสายสัมพันธ์กับคู่แข่งน้อยจึงได้เติบโตมาครอบงำเศรษฐกิจญี่ปุ่นได้ ตัวอย่างของกลุ่มนี้เช่น “มิตซูบิชิ” ที่มีต้นกำเนิดจากซามูไรตระกูลโทซะ (ระบบนี้อยู่มาจนสิ้นสงครามโลกครั้งที่ 2 และแทนที่ด้วยระบบ “เคเรตสึ”) สุดท้ายระบบเศรษฐกิจของญี่ปุ่นจึงเป็นแบบนำเข้าวัตถุดิบและส่งออกผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมและเข้าครอบงำตลาดเอเชียเป็นส่วนใหญ่

11. นอกจากนี้กระทรวงมหาดไทยยังได้ส่งเสริมด้วยการจัดแสดงสินค้าอุตสาหกรรมในประเทศคล้ายๆ กับงาน “เวิลด์แฟร์” โดยจัดครั้งแรกในปี 1877 และจัดอีก 5 ครั้ง เฉพาะครั้งแรกมีการจัดแสดงสินค้ากว่า 84,000 รายการ และมีผู้เข้าชมกว่า 450,000 คนในเวลาประมาณ 3 เดือน

12. ในยุคนี้บุคคลสำคัญที่ได้เปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจญี่ปุ่นอย่างก้าวกระโดดคือ “ชิบูซาวะ เออิจิ” ซึ่งทำงานในกระทรวงการคลังญี่ปุ่นโดยได้รับมอบหมายในการวางระบบบริษัทร่วมทุน, ระบบการเงิน, ระบบชั่ง ตวง วัด, วางทางรถไฟและวางระบบธนาคารของประเทศ นอกจากนี้เขายังรับหน้าที่ในการปรับปรุงความสัมพันธ์ระหว่างญี่ปุ่นกับสหรัฐ และมีประมาณว่าเขาเป็นผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทในญี่ปุ่นกว่า 500 แห่ง และทั้งหมดนี้เขาใช้เวลาดำเนินการเพียง 4 ปีขณะมีอายุได้ 29-33 ปีเท่านั้น!

13. ในด้านการทหาร ญี่ปุ่นยังมีการเร่งรัดพัฒนากองทัพโดยเริ่มจากการตั้งโรงงานผลิตอาวุธขึ้นที่โตเกียวในปี 1868 และเริ่มมีการผลิตปืนและเครื่องกระสุน ตามด้วยการวางระบบกองทัพตามแบบฝรั่งเศสและมีการผ่านกฎหมายเกณฑ์ทหารในปี 1873 ซึ่งวางให้มีกองทัพประจำการขนาดเล็ก กองหนุนขนาดใหญ่และให้ชายทุกคนมีหน้าที่ป้องกันประเทศ

14. แสนยานุภาพของกองทัพญี่ปุ่นได้รับการทดสอบครั้งแรกในการปราบ “กบฏซัตสึมะ” ในปี 1877 ตามด้วยสงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่ 1 (ปี 1894-1895) ที่ทำให้ญี่ปุ่นได้เกาหลีเป็นเมืองขึ้น และที่พีคที่สุดคือสงครามรัสเซีย-ญี่ปุ่น (ปี 1904-1905) นับเป็นครั้งแรกที่คนเอเชียเอาชนะฝรั่งได้ ซึ่งความฮึกเหิมนี้ก็เป็นชนวนเหตุข้อหนึ่งที่นำไปสู่ความขัดแย้งในสงครามโลกครั้งที่ 2 ในที่สุด

15. ปัจจุบันญี่ปุ่นยังคงหลงเหลือมรดกจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมในช่วงแรกๆ โดยยูเนสโกได้ยกย่องให้ญี่ปุ่นมีแหล่งมรดกโลกชื่อว่า “แหล่งมรดกจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมของญี่ปุ่นในยุคเมจิ: การถลุงเหล็กและผลิตเหล็กกล้า การต่อเรือและการทำเหมืองถ่านหิน” ที่มีอู่ต่อเรือ โรงหลอมโลหะ เหมืองถ่านหินและสถานที่ที่เกี่ยวข้องอื่นๆ นับได้ว่าเป็นเครื่องย้ำเตือนถึงอดีตของญี่ปุ่นที่สามารถพัฒนาตนเองจนมาทัดเทียมกับชาติตะวันตกได้นั่นเอง

#TWCHistory #TWCJapan #TWC_Cheeze