มหาตมะ คานธี เป็นชายชาวอินเดียที่โด่งดังในเรื่องของการพาอินเดียไปสู่ความอิสระจากการถูกประเทศอังกฤษปกครองมาเป็นเวลานาน และเขาก็มีบทบาทเป็นนักรณรงค์เคลื่อนไหวทางการเมืองคนหนึ่งของประเทศอินเดีย ซึ่งสิ่งที่น่าสนใจของชายผู้นี้ คือการใช้ “สันติวิธี” ในการต่อสู้เพื่อเอกราชของอินเดีย
การต่อสู้ที่โด่งดังอย่างหนึ่งของคานธี คงหนีไม่พ้นเรื่องการเดินขบวนต่อต้านภาษีเกลือที่แพงเกินเหตุ อันเป็นสิ่งที่ชาวอินเดียทุกคนต้องทนทุกข์ยากกับภาษีเช่นนี้เป็นอย่างมาก และในวันนี้เองที่แอดมินจะพาทุกท่านย้อนรอยกลับไปในอดีตถึงเรื่องราวความเป็นมาของชายผู้นี้ และวิธีการที่เขาใช้สู้กับความไม่ยุติธรรมเหล่านี้
***ประวัติความเป็นมาของคานธี***
คานธีเติบโตมาในครอบครัวชาวฮินดู วิธีการคิดและวิธีดำเนินชีวิตต่างๆ มักจะได้รับอิทธิพลมาจากแม่ ซึ่งแม่ของเขามีความศรัทธาในศาสนาเชนอย่างมาก เลยทำให้ตัวของคานธีได้รับอิทธิพลจากทั้งศาสนาเชนและฮินดูในการดำเนินชีวิต
ซึ่งในช่วงที่เขาเติบโตขึ้น เขาก็ได้ตัดสินใจไปเรียนต่อด้านนิติศาสตร์ที่สำนักเนติบัณฑิตอังกฤษอินเนอร์เทมเพิล กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ อีกทั้งยังได้รับปริญญาเนติบัณฑิตอนอายุเพียงแค่ 22 ปี แต่ชีวิตหลังเรียนจบของเขาก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จในเส้นทางอาชีพทนายความซักเท่าไหร่ เพราะบางครั้งก็ว่าความแพ้ ทำให้เขาก็รู้สึกอับอายบ้างในบางครั้ง
บวกกับขณะนั้นเขาได้เล็งเห็นถึงปัญหาที่กำลังเกิดกับชาวอินเดียที่เป็นแรงงานอยู่ในประเทศแอฟริกาใต้พอดี เขาจึงตัดสินใจไปเริ่มต้นเส้นทางชีวิตใหม่ที่ประเทศแอฟริกาใต้แทน โดยมีเป้าหมายที่จะช่วยให้ชาวอินเดียที่นั่นมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น…ซึ่งการย้ายไปแอฟริกาใต้ไม่ได้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นชีวิตใหม่ของคานธีแต่ยังเป็นจุดเริ่มต้นของการปลดแอกอินเดียจากประเทศอังกฤษอีกด้วย
คานธีได้ย้ายมาประกอบอาชีพทนายความอยู่ที่นี่เป็นเวลา 21 ปี ในระหว่างนั้นเขาก็ได้ช่วยเหลือแรงงานชาวอินเดียที่ทำงานให้แก่ชาวอังกฤษ ซึ่งชาวอินเดียที่แอฟริกาใต้ส่วนใหญ่มักโดนกดขี่ด้วยสัญญาจ้างงานที่ไม่เป็นธรรม รวมถึงโดนผู้ว่าจ้างทุบตีทำร้ายร่างกายอยู่บ่อยครั้ง แม้กระทั่งตัวคานธีเองก็เคยโดนดูถูกเหยีดหยามไม่ต่างจากผู้อื่น เช่น ถูกไล่ลงจากรถไฟเพียงเพราะเป็นคนผิวดำ อีกทั้งยังโดนปาหินใส่และทำร้ายร่างกายหลายต่อหลายครั้ง แต่เขาเองก็ไม่เคยตอบโต้ด้วยการใช้กำลังกลับไปเลยซักครั้ง
พอหลังจากที่คานธีเจอเรื่องราวที่ไม่เป็นธรรมมามากมาย เรื่องเหล่านั้นทำให้ความคิดของคานธีถูกหล่อหลอม จนเขาตัดสินใจตั้งองค์การอินเดียน คองเกรส ขึ้นมา องค์การนี้มีจุดประสงค์ในการต่อสู้ปัญหาทางสังคม อุทิศการทำงานทั้งหมดเพื่อทำให้อินเดียเป็นอิสระจากการปกครองของอังกฤษให้ได้ ซึ่งแนวทางการดำเนินงานจะใช้แนวทางการประท้วงแบบ “สันติวิธี” เท่านั้น
ซึ่งสันติวิธี หรือ สัตยาเคราะห์ มีความหมายว่า ‘การต่อสู้บนรากฐานของความจริง’ คานธีมีความเชื่อที่ว่าหากทุกคนสามารถหนักแน่นกับความเป็นจริงได้ ก็จะสามารถวิเคราะห์ความคิดได้อย่างถ่องแท้ว่าอะไรคือความยุติธรรมที่สุด ซึ่งความยุติธรรมเหล่านั้นจะพาไปสู่ชัยชนะในที่สุด โดยการเรียกร้องในทุกๆ ครั้งของคานธี จะต้องดำเนินไปด้วย ความเมตตา การให้อภัย และแม้ว่าเขาจะใช้ความรุนแรงกับเราแค่ไหนก็ตาม เราจะไม่ตอบโต้ผู้ใดด้วยการใช้กำลังกลับ
***จุดเริ่มต้นของการเดินขบวนเพื่อทวงความเป็นธรรมของภาษีเกลือ***
เมื่อคานธีต่อสู้ในประเทศแอฟริกาได้ประมาณ 21 ปี ชื่อเสียงของคานธีก็เลื่องลือไปถึงประเทศอินเดียอันเป็นบ้านเกิด จนมีคนเสนอให้คานธีกลับมาประเทศอินเดียเพื่อช่วยเรียกร้องความเป็นธรรมในเรื่องที่ชาวอินเดียถูกกดขี่จากประเทศอังกฤษ
ในช่วงที่คานธีกลับมายังอินเดีย ก็เป็นช่วงที่ประเทศอินเดียยังตกอยู่ภายใต้การปกครองอาณานิคมของอังกฤษ ซึ่งประเทศอินเดียถือว่าเป็นทรัพยากรที่มีคุณค่าของอังกฤษมาก โดยเฉพาะในเรื่องของทรัพยากรเกลือที่สามารถสร้างรายได้ให้อังกฤษ ทางอังกฤษมีการออกอำนาจยึดเกลือต่างๆ ที่คนอินเดียผลิตได้ในประเทศ ไปเป็นของอังกฤษเอง (ยึดในที่นี้คือการกำหนดภาษีสุดโหดที่ห้ามไม่ให้คนอินเดียสามารถใช้เกลือที่ตนเองผลิตขึ้นมาได้เลย)
★ โดยมีกฏหมายหลายฉบับที่กำหนดขอบเขตการห้ามใช้เกลือไว้แบบชัดเจน เช่น พระราชบัญญัติเกลือ ปี ค.ศ. 1882 มีจุดประสงค์ในการห้ามชาวอินเดียผลิตหรือจำหน่ายเกลือด้วยตนเอง ชาวอินเดียสามารถซื้อเกลือได้แค่ชนิดเดียว คือ เกลือที่นำเข้า แถมยังจะมีราคาที่แพงกว่าปกติเพราะต้องบวกภาษีเพิ่มเข้าไปอีก
ทำให้ชาวอินเดียหลายต่อหลายคนที่มีฐานะยากจนไม่สามารถเข้าถึงเกลือเหล่านี้ได้เลย ทั้งๆ ที่เกลือพวกนี้จำเป็นต่อชีวิตประจำวันของชาวอินเดียมาก เนื่องจากอาหารหลายๆ อย่างที่ชาวอินเดียกินกันในชีวิตประจำวันมักมีเกลือเป็นส่วนผสมหลักๆ นี่จึงเป็นเหตุผลที่คนอินเดียต้องเรียกร้องความเป็นธรรมเรื่องเกลือกลับคืนมา
(ในปัจจุบันมีผลงานวิจัยกล่าวว่าชาวอินเดียบริโภคเกลือในปริมาณมากเป็นสองเท่าของปริมาณเกลือรายวันที่องค์การอนามัยโลกแนะนำอย่างมาก และภายในปี ค.ศ. 2025 ประเทศอินเดียได้ให้คำมั่นที่จะลดการบริโภคโซเดียมลงร้อยละ 30 ข้อมูลดังกล่าวนี้ทำให้เห็นว่าเกลือมีความสำคัญกับชาวอินเดียมาตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน)
***คานธีกลับมาที่ประเทศอินเดียเพื่อต่อสู้กับการกดขี่จากอังกฤษ***
ในปี ค.ศ. 1920 คานธีเริ่มการเคลื่อนไหวทางการเมือง และเริ่มชักชวนให้ชาวอินเดียทั่วไป ไม่ให้ความร่วมมือกับกฏหมายที่ประเทศอังกฤษตั้งขึ้นมาเพื่อกดขี่ และชักชวนให้เลิกสนับสนุนผลิตภัณฑ์ที่อังกฤษนำเข้ามา หันมาสนับสนุนผลิตภัณฑ์ภายในประเทศเอง แต่มีผลิตภัณฑ์หนึ่งที่ยังติดปัญหาอยู่ นั่นก็คือ “เกลือ”
เพราะต่อให้ชาวอินเดียจะแบนสินค้าที่อังกฤษกดขี่แค่ไหน แต่ที่เลิกใช้ไม่ได้เลยก็คือเกลือ คานธีจึงเห็นถึงปัญหาที่หนักหน่วงตรงนี้ จึงเริ่มการประท้วงขั้นต่อไป คือการ “เริ่มเดินขบวนประท้วง”
พอถึงปี ค.ศ. 1930 มีนาคม คานธีตัดสินใจรวบรวมคนจำนวนกว่า 70 คน ออกเดินขบวนจากรัฐคุชราตไปเมืองดันดี รวมระยะทางกว่า 380 กิโลเมตร
ระหว่างเดินขบวนก็จะแวะหมู่บ้านต่างๆ ตามทางผ่าน และกล่าวถึงปัญหาภาษีเกลือให้ชาวบ้านฟัง จนบางคนก็เห็นด้วยกับความไม่ยุติธรรมนี้และเข้าร่วมเดินขบวนกับคานธี ซึ่งสาเหตุนี้คือสาเหตุที่ทำให้ขบวนเดินของคานธีมีคนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นั่นเองค่ะ
เมื่อเวลาผ่านไปจนถึงเดือนเมษายน ขบวนได้เดินทางไปถึงเมืองดันดีและเริ่มทำการผลิตเกลือเป็นครั้งแรก โดยได้หยิบเกลือจากชายฝั่งขึ้นมา ซึ่งตามเทคนิคแล้วสิ่งนี้คือการผลิตเกลือ และแน่นอน…ว่ามันผิดกฏหมาย แต่ถึงอย่างไรในครั้งนี้ คานธีก็ยังไม่ถูกจับ
และเมื่อไม่ถูกจับ คานธีเลยประกาศว่าขบวนของตนจะเดินเท้าไปยังโรงงานผลิตเกลือใหญ่ ที่เมืองดาราซานา เพื่อประท้วงต่อ
ในระหว่างนั้นผู้เข้าร่วมขบวนหลายคนก็โดนจับเข้าคุก โดนทำร้ายร่างกาย แต่สุดท้ายคนเหล่านี้ก็โดนปล่อยตัวออกมา เนื่องจากชาวอังกฤษไม่มีแรงงานชาวอินเดียเอาไว้ทำงาน ตัวคานธีเองท้ายที่สุดก็โดนชาวอังกฤษจับกุมเช่นกัน เนื่องจากทำผิดกฎหมายเรื่องการผลิตเกลือหลายต่อหลายครั้ง ซี่งคานธีเองก็ยอมรับผิดแต่โดยดี แต่การจับคานธีครั้งนี้ทำให้คนส่วนใหญ่หันมาเข้าร่วมกับคานธีเพราะเกิดความศรัทธาในตัวเขา จนในปลายปี ค.ศ. 1930 มีคนเข้าร่วมเดินขบวนทั้งสิ้น 2,500 คน และมีคนถูกคุมขังอยู่ในคุกกว่า 60,000 คน…
คานธีถูกคุมขังจนเวลาล่วงเลยมาถึงเดือนมกรา ปี ค.ศ. 1931 คานธีก็ได้รับการปล่อยตัว จากนั้นเขาก็มุ่งหน้าเพื่อไปเจรจากับลอร์ดเออร์วิน ผู้สำเร็จราชการชาวอังกฤษท่านหนึ่ง โดยการเจรจาครั้งนี้มีเนื้อความว่าต้องการที่จะยุติการเดินขบวนอย่างสันติ โดยมีข้อแลกเปลี่ยนว่าอังกฤษจะต้องปล่อยชาวอินเดียที่อยู่ในคุกให้หมด และปล่อยให้ชาวอินเดียผลิตเกลือกินเองได้ ถ้าตกลงตามนี้ทางอินเดียก็จะหยุดเดินขบวนทันที
ซึ่งการเจรจาครั้งนี้ก็ผ่านไปด้วยดี ทั้งคู่ลงนามในข้อตกลงที่มีชื่อว่า “สนธิสัญญา คานธี-เออร์วิน” การเดินขบวนของคานธีจบลงด้วยระยะทางทั้งสิ้น 387 กิโลเมตร และนอกเหนือจากนั้นคานธียังได้สิทธิ์เข้าร่วมการเจรจาในการประชุมที่กรุงลอนดอน เกี่ยวกับรัฐธรรมนูญในอนาคตของอินเดียอีกด้วย
***ในที่สุด อินเดียก็ได้รับเอกราชจากอังกฤษ***
เมื่อเวลาผ่านไปหลังจากที่ประเทศอินเดียได้รับสิทธิ์ในการผลิตเกลือเองดังเดิม มันยังทำให้ประเทศอังกฤษรู้สึกได้รับแรงกดดันว่าอาจจะคุมอินเดียไว้ได้อีกไม่นาน เนื่องจากการเมืองภายในอินเดียช่วงนั้นแตกออกเป็นหลายกลุ่มและวุ่นวายมาก ดังนั้นเมื่อถึงช่วงหลังจากจบสงครามโลกครั้งที่ 2 อังกฤษก็เริ่มเจรจาคืนเอกราชให้กับประเทศอินเดีย อินเดียจึงได้รับเอกราชอย่างเป็นทางการในวันที่ 15 สิงหาคม ปี ค.ศ. 1947 และเกลือ…ก็กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งเสรีภาพของประเทศอินเดียไปจนถึงปัจจุบัน
#TWCHistory #TWCTravel #TWCIndia #TWCgade
0 Comment