รู้หรือไม่? คาตาโลเนีย (Catalonia) และอ็อกซิตาเนีย (Occitania) เคยเป็นอาณาจักรที่มีอำนาจในยุโรป แต่กลับสูญหายไปตามกาลเวลา หากเรื่องราวของชนชาติอย่างอ็อกซิตันและคาตาลัน ซึ่งมีทั้งศิลปะ ภาษา ประวัติศาสตร์ หรือแม้กระทั่งศาสนาของตนเอง กลับถูกกล่าวถึงน้อย…

หากตอนนี้! เราจะพาคุณย้อนรอยประวัติศาสตร์และเปิดเผยความลับของดินแดนที่เคยรุ่งเรืองในอดีต! เพราะถ้าคุณกำลังมองหาการเดินทางที่แตกต่างออกไป… การเดินทางที่เต็มไปด้วยเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ และบรรยากาศของยุคกลางซึ่งเต็มไปด้วยเรื่องราวของอัศวินและลัทธินอกรีต

การเดินทางไปกับกับเรา ณ ประเทศสเปน, อันดอร์รา, และฝรั่งเศส ในธีม ‘Unexpected Europe’ เพื่อย้อนรอยดินแดน “คาตาโลเนีย” และ “อ็อกซิตาเนีย” ดินแดนยุโรปที่ไม่ได้ปรากฏบนผืนแผนที่ จะเปิดประสบการณ์ใหม่ให้กับคุณได้อย่างแน่นอน!

The Wild Chronicles ขอพาท่านไป “ยุโรปที่ไม่คาดคิด” สเปน-อันดอร์รา-ฝรั่งเศส กับการเดินทางอันยิ่งใหญ่ที่พาท่านไปยังดินแดนคาตาโลเนีย และอ็อกซิตาเนีย ดินแดนที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และความลับของอาณาจักรที่เคยมีอำนาจรุ่งเรือง แต่ถูกรัฐชาติดูดกลืนหายไป

ทริปสุดพิเศษรอช้าไม่ได้! ออกเดินทาง 5-13 ธันวาคม 2025! เพราะ The Wild Chronicles จะนำพาทุกท่านไปพบกับยุโรปที่ไม่เหมือนใคร ผ่านสถานที่ทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่มีความสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก

เรามาดูกันดีกว่าครับว่า ทำไมต้องไป “ยุโรปที่ไม่คาดคิด” สเปน-อันดอร์รา-ฝรั่งเศส กับ The Wild Chronicles?

เมื่อเอ่ยถึงยุโรป หลายคนนึกถึงมหาอำนาจทางประวัติศาสตร์อย่างฝรั่งเศส สเปน หรือเยอรมนี แต่มีดินแดนสองแห่งที่แม้จะไม่มีรัฐเป็นของตัวเอง แต่กลับมีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม ภาษา และประวัติศาสตร์อันยาวนาน นั่นคือ “อ็อกซิตาเนีย” (Occitania) และ คาตาโลเนีย (Catalonia)

ดินแดนทั้งสองเป็นดินแดนที่มีการใช้ภาษาโรแมนซ์สายหนึ่งที่เรียกว่า “อ็อกซิตาโน-โรมานซ์” (Occitano-Romance) ซึ่งในยุคกลาง ดินแดนทั้งสองถือเป็นศูนย์กลางแห่งศิลปะและวรรณกรรม ทว่ากลับถูกบดบังและถูกลืมเลือนจากหน้าประวัติศาสตร์กระแสหลัก

***อ็อกซิตาเนีย: ดินแดนแห่งกวียุคกลางและวรรณกรรมรักเทิดทูน***

“อ็อกซิตาเนีย” (Occitania) หรือ “อ็อกซีตานี” (Occitanie) ดินแดนทางตอนใต้ของฝรั่งเศสที่มีภาษาของตนเอง คือ อ็อกซิตัน (Occitan) ซึ่งมีความใกล้เคียงกับภาษาคาตาลัน และแตกต่างจากภาษาฝรั่งเศสเป็นอย่างมาก ทำให้ในอดีต พื้นที่แห่งนี้ดูห่างไกลจากศูนย์กลางและมีอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมเป็นของตนเอง

หากในยุคกลาง ดินแดนนี้เป็นศูนย์กลางของวัฒนธรรมกวี โดยมีเหล่า “ทรูบาดูร์” (Troubadours) กวีขับร้องลำนำรักและสดุดีแนวคิด “ความรักเทิดทูน” (Courtly love/amour courtois) แนวคิดของความรักที่สูงส่งระหว่างอัศวินกับสตรีสูงศักดิ์ ซึ่งเต็มเปี่ยมด้วยความภักดี การยกย่องคู่รัก และการเสียสละ ซึ่งแนวคิดนี้ทรงอิทธิพลต่อวรรณกรรมโรแมนติกทั่วโลกมาจนถึงปัจจุบัน

อีกทั้งดินแดนแห่งนี้ยังเคยมี “ลัทธิคาธาร์” (Catharism) ขบวนการทางศาสนาที่เจริญรุ่งเรืองในช่วงศตวรรษที่ 12-13 ซึ่งลัทธินี้มีความเชื่อแบบทวินิยม (Dualism) ซึ่งมองว่าโลกวัตถุเป็นสิ่งชั่วร้ายที่สร้างโดยพระเจ้าด้านมืด ขณะที่โลกแห่งจิตวิญญาณเป็นสิ่งบริสุทธิ์ที่ต้องหลุดพ้น ชาวคาธาร์จึงปฏิเสธอำนาจของศาสนจักรที่เต็มไปด้วยความฟุ่มเฟือยและอำนาจทางโลก

ความเชื่อดังกล่าวถูกศาสนาจักรมองว่าเป็นพวกนอกรีต ทำให้ในปี 1209 สมเด็จพระสันตะปาปาทรงประกาศสงครามครูเสดอัลบิเจนเซียน (Albigensian Crusade) เพื่อกำจัดลัทธิคาธาร์ ซึ่งกองทัพคาทอลิกได้ทำสงครามกับขุนนางอ็อกซิตาเนียและชาวคาธาร์

สงครามครั้งนี้เต็มไปด้วยความโหดร้าย เมืองต่างๆ ของชาวอ็อกซิตันถูกเผาทำลาย ประชากรชาวคาธาร์ถูกสังหารหมู่ โดยสงครามยุติลงในปี 1229 เมื่อเคานต์แห่งตูลูซยอมจำนน ดินแดนอ็อกซิตาเนียจึงสูญเสียเอกราชและถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของฝรั่งเศส หลังจากนั้นเป็นต้นมา วัฒนธรรมและภาษาของชาวอ็อกซิตันก็ถูกกดขี่โดยฝรั่งเศส ทำให้ในปัจจุบัน ภาษาอ็อกซิตันกลายเป็นภาษากำลังสูญหายที่พูดโดยประชากรเพียงไม่กี่แสนคน

***คาตาโลเนีย: ดินแดนแห่งสถาปัตยกรรม ศิลปะ และฟุตบอล***

ส่วนคาตาโลเนีย หรือ คาตาลุญญ่า ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของสเปน อันมีเมืองหลวงคือ บาร์เซโลนา ก็ประสบชะตากรรมเช่นเดียวกันกับอ็อกซิตาเนีย โดยดินแดนนี้มีภาษาของตนเองคือ “คาตาลัน” (Catalan) ซึ่งใกล้เคียงกับภาษาอ็อกซิตัน ซึ่งคาตาโลเนียเคยยิ่งใหญ่เกรียงไกรในยุคราชอาณาจักรอารากอน

หากในศตวรรษที่ 18 คาตาโลเนียถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสเปนอย่างสมบูรณ์ แม้จะมีการพยายามแยกตัวเป็นเอกราชหลายครั้งก็ตาม

ต่อมาในยุคนายพลฟรังโก้ จอมเผด็จการมีความพยายามลบล้างอัตลักษณ์ของชาวคาตาลันอย่างรุนแรง แต่ขบวนการเอกราชของคาตาโลเนียยังคงต่อสู้และรักษาอัตลักษณ์ของตนเองได้ จนภายหลังจากฟรังโก้เสียชีวิตเมื่อปี 1975 ชาวคาตาลันก็มีอำนาจในการปกครองตนเอง แต่มันก็ยังไม่เพียงพอสำหรับสำนึกของพวกเขา จึงทำให้ยังคงมีขบวนการเอกราช และถูกปราบปรามอย่างหนักหน่วงโดยรัฐบาลสเปน

แม้ทั้ง “อ็อกซิตาเนีย” และ “คาตาโลเนีย” จะไม่ได้ปรากฏบนแผนที่ในฐานะประเทศอิสระ แต่พวกเขายังคงมีอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่แข็งแกร่ง ทั้งภาษา วรรณกรรม ศิลปะ และการเมือง ซึ่งได้สร้างอิทธิพลสำคัญต่อยุโรป แม้จะถูกอำนาจรัฐพยายามกลืนกิน แต่ดินแดนเหล่านี้ยังคงยืนหยัดและต่อสู้เพื่อดำรงอัตลักษณ์ของพวกเขาต่อไป

ซึ่งเราจะพาท่านเดินทางไปยังดินแดนที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และอดีตที่เคยมีอำนาจรุ่งเรือง แต่ถูกรัฐชาติดูดกลืนหายไปกันที่นี่ครับ

เริ่มต้นเดินทางที่ “บาร์เซโลนา” เมืองหลวงของแคว้นคาตาโลเนีย เมืองที่มีผังเมืองที่สวยงามและมีประสิทธิภาพที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ด้วยตึกแปดเหลี่ยมสุดเอกลักษณ์ และผังเมืองแบบกริด แถมยังเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และสถาปัตยกรรม

พร้อมสัมผัสเสน่ห์แบบเมดิเตอร์เรเนียนที่ผสมผสานอดีตและปัจจุบันได้อย่างลงตัว โดยการเดินสำรวจย่านเก่าแก่ ชื่นชมความงามของผลงานระดับโลก และเพลิดเพลินไปกับบรรยากาศที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา

เยี่ยมชม “มหาวิหารซากราดาฟามิเลีย” (Sagrada Familia) สถาปัตยกรรมชิ้นเอกของ “อันโตนี เกาดี” ที่เริ่มก่อสร้างมาตั้งแต่ปี 1882 และยังคงอยู่ระหว่างการก่อสร้าง ด้วยดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์ที่ผสมผสานสไตล์โกธิกและอาร์ตนูโว พร้อมหอคอยสูงเสียดฟ้า ซึ่งเมื่อเสร็จสมบูรณ์ มันจะกลายเป็นมหาวิหารที่สูงที่สุดในโลก! ด้วยความสูงถึง 172 เมตร

มหาวิหารแห่งนี้โดดเด่นด้วยการผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมโกธิกและอาร์ตนูโว องค์ประกอบที่เป็นเอกลักษณ์ ได้แก่ สามด้านหน้า ซึ่งสะท้อนช่วงสำคัญในชีวิตของพระเยซู ได้แก่ ด้านการประสูติ อันเปี่ยมด้วยรายละเอียดอ่อนช้อย ด้านความทรมาน ที่ถ่ายทอดความโศกเศร้า และ ด้านความรุ่งโรจน์

ทัศนา “ปาร์ค กูเอล” (Park Guell) สวนสาธารณะอันโดดเด่นที่ออกแบบโดยอันโตนี เกาดี เดิมทีโครงการนี้ถูกวางแผนให้เป็นหมู่บ้านที่อยู่อาศัยสุดหรู แต่ถูกยกเลิกในปี 1914 และต่อมาได้รับการเปลี่ยนแปลงเป็นสวนสาธารณะในปี 1926

สวนแห่งนี้ครอบคลุมพื้นที่กว่า 17 เฮกตาร์ (ประมาณ 106 ไร่) และเต็มไปด้วยองค์ประกอบเชิงสัญลักษณ์ที่สะท้อนเอกลักษณ์ของเกาดี ไฮไลต์สำคัญ ได้แก่ ซุ้มประตูทางเข้าที่มีดีไซน์แปลกตา และ บันไดมังกร ซึ่งประดับด้วยกระเบื้องโมเสคสีสันสดใส นอกจากนี้ ความงดงามและเอกลักษณ์ทางสถาปัตยกรรมของปาร์ค กูเอลยังทำให้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น มรดกโลกโดย UNESCO ในปี 1984

พร้อมเดินทางสู่ “พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์คาตาลัน” (Museum of the History of Catalonia) ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 1996 โดยมีเป้าหมายเพื่อเก็บรักษาและนำเสนอประวัติศาสตร์ของชาวคาตาลัน ผ่านนิทรรศการและของสะสมอันทรงคุณค่ามากมาย

หนึ่งในนิทรรศการที่โดดเด่นคือ ความทรงจำของประเทศ (Memòries del país) ซึ่งบอกเล่าเรื่องราวของคาตาลันตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์จนถึงปัจจุบัน นอกจากนี้ ยังมีนิทรรศการหมุนเวียนที่น่าสนใจ เช่น โปสเตอร์วิลาเดกัน (Viladecans Cartells) ซึ่งจัดแสดงโปสเตอร์ศิลปะที่สะท้อนอัตลักษณ์ของชาวคาตาลัน

พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ยังมีความโดดเด่นในด้านการนำเสนอข้อมูลผ่าน เทคโนโลยีมัลติมีเดีย ทำให้การเรียนรู้เป็นไปอย่างสนุกสนานและมีชีวิตชีวา อีกทั้งยังมี ระเบียงดาดฟ้า ที่สามารถชมทัศนียภาพอันงดงามของบาร์เซโลนา พร้อมด้วย ร้านอาหารและคาเฟ่ ให้ผู้เยี่ยมชมได้พักผ่อนระหว่างการสำรวจประวัติศาสตร์ได้อย่างเต็มที่

เดินทางไป “ทาเวอร์เต็ท” (Tavertet) หมู่บ้านลับกลางขุนเขาซึ่งตั้งอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลถึง 900 เมตร โอบล้อมด้วยบ้านหินดั้งเดิมอายุกว่า 300 ปี จนได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นทรัพย์สินทางวัฒนธรรมของสเปน (Bien de Interés Cultural) เพราะซากปรักหักพังและเส้นทางประวัติศาสตร์ของหมู่บ้าน แสดงให้เห็นถึงร่องรอยของยุคหินใหม่และยุคกลาง ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญของแคว้นคาตาลัน

🌄 ไฮไลต์ของที่นี่คือ “หน้าผาทาเวอร์เต็ท” (Cliff of Tavertet) จุดชมวิวที่สามารถมองเห็นภูเขากิลเลอรีส์ และอ่างเก็บน้ำเซา สถานที่แห่งนี้ยังเป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางเดินป่าที่นักผจญภัยไม่ควรพลาด พร้อมสัมผัสเสน่ห์ “โบสถ์นักบุญคริสโตเฟอร์แห่งทาเวอร์เต็ท” (Sant Cristòfol de Tavertet) โบสถ์เก่าแก่อายุกว่า 950 ปี ซึ่งสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 11 โบสถ์แห่งนี้เป็นตัวอย่างของสถาปัตยกรรมโรมาเนสก์ที่ผสานกับสไตล์โกธิกได้อย่างลงตัว

สำรวจ “อันดอร์รา” (Andorra) – ประเทศเล็กๆ ใจกลางขุนเทือกเขาพิเรนีส ที่นี่คือประเทศเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์ของธรรมชาติและวัฒนธรรม ผสานกลิ่นอายของคาตาลัน ฝรั่งเศส และสเปนได้อย่างลงตัว! โดยเยี่ยมเยือน “อันดอร์ราลาเวลลา” (Andorra la Vella) เมืองหลวงที่สูงที่สุดในยุโรป! ตั้งอยู่เหนือระดับน้ำทะเลถึง 1,023 เมตร เป็นแหล่งช้อปปิ้งปลอดภาษีที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลก พร้อมเพลิดเพลินไปกับร้านค้าหรู คาเฟ่บรรยากาศดี และตรอกซอกซอยแสนคลาสสิกที่เต็มไปด้วยเรื่องราวทางประวัติศาสตร์

สัมผัสความยิ่งใหญ่ของ “การ์กาซอน” (Carcassonne) 🏰 เมืองป้อมปราการยุคกลางแห่งฝรั่งเศส ที่มีเสน่ห์เกินห้ามใจ เมืองแห่งนี้เป็นดั่งฉากในเทพนิยาย 💕 โดดเด่นด้วยกำแพงหินสูงตระหง่านยาวกว่า 3 กิโลเมตร หอคอยกว่า 52 แห่ง และตรอกซอกซอยที่พาคุณย้อนเวลากลับไปในยุคกลาง ถือเป็นหนึ่งในเมืองป้อมปราการยุคกลางที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดีที่สุดในโลก ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดย UNESCO ตั้งแต่ปี 1997

เยี่ยมเยือน “อาสนวิหารเซนต์นาแซร์” (Basilique Saint Nazaire) มหาวิหารแห่งนี้เปรียบเสมือนอัญมณีล้ำค่าของการ์กาซอน ด้วยสถาปัตยกรรมผสมผสานระหว่างโรมาเนสก์และโกธิก โดดเด่นด้วยกระจกสีอันวิจิตรจากศตวรรษที่ 13-14 และออร์แกนอายุกว่า 300 ปี ซึ่งยังคงบรรเลงเสียงเพลงอันไพเราะจนถึงทุกวันนี้

ปัจจุบัน อาสนวิหารเซนต์นาแซร์ยังคงใช้เป็นสถานที่ในการประกอบพิธีกรรม และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น อนุสรณ์สถานทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญของประเทศฝรั่งเศส อีกด้วย

เยี่ยมชม “ปราสาทชาโตว์ คอมทัล” (Chateau Comtal) สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 11 โดย ตระกูลเทรนคาเวล (Trencavel Family) และได้รับการเสริมป้อมปราการในช่วง สงครามครูเสดแอลบิเจนเซียน (Albigensian Crusade) ในศตวรรษที่ 13

หลังจากนั้น ปราสาทแห่งนี้กลายเป็นที่ประทับของเสนาบดี เมื่อการ์กาซอนได้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของราชวงศ์ฝรั่งเศส ตัวปราสาทมีลักษณะเด่นคือ กำแพงป้อมปราการที่แข็งแกร่ง และ หอคอยสูงตระหง่าน พร้อมลานกลางที่สวยงาม ภายในยังประกอบด้วยป้อมปราการและห้องต่างๆ ที่เคยใช้เป็นที่พักของเจ้าขุนมูลนาย และปัจจุบัน ปราสาทชาโตว์ คอมทัล ยังเป็นที่ตั้งของ พิพิธภัณฑ์อัญมณี ที่จัดแสดงคอลเลกชันอัญมณีอันล้ำค่าอีกด้วย

เดินทางไป “ลาทัวร์ส” (Lastours) อัญมณีแห่งยุคกลาง เมืองที่ขึ้นชื่อในด้านมรดกทางวัฒนธรรมยุคกลางและความงามของธรรมชาติ โดยเฉพาะ “ปราสาทลาทัวร์ส” (Châteaux de Lastours) ป้อมปราการสำคัญในสงครามครูเสดแอลบิเจนเซียน และบริเวณรอบๆ ยังมีเส้นทางเดินป่าและจุดชมวิวที่สวยงามให้ท่านได้เพลิดเพลินกับทัศนียภาพที่น่าประทับใจ

เยี่ยมเยือน “มาซาเมต์” (Mazamet) เพื่อเยี่ยมชม “พิพิธภัณฑ์การชำระล้างจิตใจแห่งมาซาเมต์” (Musee du Catharisme de Mazamet) พิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของลัทธิคาธาร์ (Catharism) เพื่อให้ผู้เข้าชมได้เข้าใจถึงความเชื่อ บุคคลสำคัญ และผลกระทบของลัทธิคาธาร์ในอดีต ไฮไลท์ของพิพิธภัณฑ์ ได้แก่ ห้องจำลองปราสาทคาธาร์ที่มีทั้งเครื่องบรรยายเสียงและวิดีโอ ซึ่งถ่ายทอดเรื่องราวได้อย่างน่าสนใจ

พร้อมเยี่ยมชม หมู่บ้านยุคกลางโฮตพูล (Village Médiéval d’Hautpoul) เป็นหมู่บ้านประวัติศาสตร์ที่ก่อตั้งขึ้นในปี 413 ซึ่งเคยเป็นฐานที่มั่นสำคัญในสงครามครูเสดแอลบิเจนเซียน ก่อนที่จะกลายเป็นบ้านเกิดของเมืองมาซาเมต์

มุ่งหน้าสู่ “นาร์บอนน์” (Narbonne) เมืองแห่งประวัติศาสตร์โรมันและมรดกคาธาร์ อีกทั้งยังมีชื่อเสียงในด้านอาหาร โดยเฉพาะไวน์ท้องถิ่น ทั้งไวน์แดงคอร์บิแยร์ (Corbières) และไวน์ขาวฟิโต (Fitou) ที่คงความเป็นเอกลักษณ์ของเมืองได้ดีทีเดียว

⚜️ณ ริมทางหลวง A61 ท่านจะได้พบกับ “รูปปั้นอัศวินคาธาร์” (Cathar Knight Statue at Aire de Pech-Loubat) อนุสรณ์ที่สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของชาวคาธาร์ แม้ว่าในประวัติศาสตร์ ชาวคาธาร์จะมีแนวคิดรักสันติภาพ แต่รูปปั้นนี้ยังคงสะท้อนถึงความเข้มแข็งและความเคร่งขรึมของพวกเขา

เดินทางสู่ “เปอร์ปิญ็อง” (Perpignan) เมืองชายแดนฝรั่งเศส-สเปนใกล้ชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน โอบล้อมด้วยบรรยากาศที่อบอุ่น มีเสน่ห์เฉพาะตัวจากวัฒนธรรมคาตาลัน และเป็นเมืองที่เคยรุ่งเรืองในฐานะศูนย์กลางของราชอาณาจักรมายอร์กา (Kingdom of Majorca) ในศตวรรษที่ 13-14

พร้อมย้อนรอยเรื่องราวยุคกลางที่ “พระราชวังของกษัตริย์มายอร์กา” (Palais des rois de Majorque) พระราชวังสไตล์โกธิกที่สร้างขึ้นปลายศตวรรษที่ 13 เพื่อเป็นที่ประทับของกษัตริย์แห่งมายอร์ก้า แล้วแวะถ่ายภาพที่ปราสาทกาสติเยต์ (Castillet), จัตุรัสสาธารณรัฐ (Place de la République), และมหาวิหารเซนต์จอห์นแบปทิสต์แห่งเปอร์ปิญ็อง (Cathédrale Saint-Jean-Baptiste de Perpignan)

เยี่ยมเยือน “ฟิเกเรส” (Figueres) ประเทศสเปน 🇪🇸 บ้านเกิดของ “ซัลวาดอร์ ดาลี” (Salvador Dalí) จิตรกรชื่อดังผู้สร้างสรรค์งานศิลปะแนวเหนือจริง โดยเราจะได้เยี่ยมชม “พิพิธภัณฑ์โรงละครดาลี” (Dalí Theatre Museum) สถานที่ที่อุทิศให้กับผลงานอันเป็นเอกลักษณ์ของเขา ซึ่งรวบรวมผลงานของดาลีไว้อย่างครบครัน ตั้งแต่ภาพวาดในช่วงแรกเริ่ม ไปจนถึงผลงานที่สะท้อนแนวคิดเหนือจริงอันเป็นเอกลักษณ์
แถมยังเป็นที่ตั้งของห้องเก็บศพของดาลี ตามความปรารถนาของเขาที่จะได้พักผ่อนชั่วนิรันดร์ในบ้านเกิด

เดินทางไป “กิโรนา” (Girona) เมืองที่มีชื่อเสียงในด้านประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และสถาปัตยกรรม โดยเฉพาะการอนุรักษ์เมืองเก่าที่ยังคงความงดงามอย่างดีเยี่ยม จากการเป็นจุดบรรจบของหลายอารยธรรม ทั้งวัฒนธรรมของชาวโรมัน, วิซิกอธ, ชาวมัวร์, และชาวแฟรงค์ สะท้อนได้จากจากถนนแคบๆ และกำแพงเมืองในสมัยยุคกลาง รวมทั้งย่านชาวยิว (El Call) ที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดี

ปิดท้ายด้วยการเยือน “สนามคัมป์นู” (Camp Nou Stadium) สนามของสโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนา ซึ่งมีความจุถึง 99,354 ที่นั่ง ทำให้ที่นี่ถือเป็นสนามกีฬาที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป! โดยสนามแห่งนี้เป็นสถานที่รวมจิตวิญญาณของแฟนบอลบาร์ซาและชาวคาตาลัน และเคยเป็นเจ้าภาพการแข่งขันฟุตบอลนัดสำคัญระดับโลก แถมยังเคยเป็นสถานที่จัดคอนเสิร์ตโดยศิลปินชื่อดังระดับโลกอีกมากมาย!

สุดท้ายนี้ เราขอฝากทัวร์ “ยุโรปที่ไม่คาดคิด” สเปน-อันดอร์รา-ฝรั่งเศส ด้วยนะครับ โดยการเดินทางครั้งนี้เป็นเส้นทางพิเศษที่ตั้งใจพาท่านไปสัมผัสดินแดนคาตาโลเนีย-อ็อกซิตาเนียอย่างลึกซึ้งผ่านเส้นทางการเดินทางที่พาท่านไปเจาะลึกเรื่องราวประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมของสองดินแดนที่เลือนหายไปจากผืนแผนที่

อย่าพลาด! ทริปใหม่สุดพิเศษแบบนี้! ออกเดินทาง 5-13 ธันวาคม 2025 โดยทริปนี้เดินทางร่วมกับ “คุณปั๊บ” เจ้าของเพจ The Wild Chronicles ซึ่งจะพาท่านไปกับพบความรู้ที่แปลกใหม่ ในสถานที่ที่ซ่อน “ความไม่ธรรมดา” เอาไว้มากมาย

รับประสบการณ์ที่แตกต่าง และสัมผัสบรรยากาศแบบใหม่ที่อาจไม่เคยลิ้มลอง หากท่านใดสนใจขอโปรแกรม สามารถติดต่อได้ทาง หมายเลข 082-894-8444, 089-927-6446 หรือแอด LINE OA ได้ที่ @thewildchronicles (พิมพ์ @ ด้านหน้า) และพิมพ์ว่า “สนใจทัวร์สเปน” ได้เลยนะครับ หรือกดปุ่ม “จองทัวร์” ได้เลยครับ