เมื่อไม่นานมานี้ ผมและทีมงานมีโอกาสได้พูดคุยแบ่งปันความคิดเห็นกับ คุณแซวะ (อ่านว่า ซะ-แวะ) “ศิวกร โอ่โดเชา” เกษตรกรชาวปกาเกอะญอ หรือที่เรียกกันว่า “กะเหรี่ยง” ซึ่งอาศัยอยู่ที่อำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่
คุณแซวะเป็นบุตรของ “พะตีจอนิ โอ่โดเชา” นักเคลื่อนไหวเรื่องสิทธิในการอยู่ร่วมกันกับป่าและคนปกาเกอะญอ ซึ่งเขายังสืบทอดแนวคิดของบิดามาอย่างแน่วแน่ คุณแซวะเคยไปศึกษาในเมือง ก่อนกลับมาทำการเกษตรในบ้านเกิด
ในการคุยกันคุณแซวะเล่าถึงประเด็นปัญหาที่ปัญหาที่กลุ่มชาติพันธุ์ปกาเกอะญอโดยรวมได้รับ ไม่ว่าจะการถูกมองเป็นอื่นจากกลุ่มคนเมือง หรือการเข้ามาแก้ปัญหาของภาครัฐที่ไม่มีประสิทธิภาพ และไม่สอดคล้องกับวิถีชีวิตของชาวบ้าน โดยสรุปมาได้ดังนี้…
ก่อนอื่นขอเล่าสั้นๆ ถึง “กะเหรี่ยง” กะเหรี่ยงเป็นชนกลุ่มน้อยหนึ่งในไทย คาดว่ามีประชากรประมาณ 4 แสนคน อาศัยอยู่ในพื้นที่ 15 จังหวัดในภาคเหนือและตะวันตก แบ่งเป็นกลุ่มย่อยๆ ได้อีก คือ ปกาเกอะญอ, โป, ปะโอ และบะเว
พวกเขาอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่ปัจจุบันเป็นประเทศไทยและพม่าเป็นเวลาหลายร้อยหลายพันปีก่อนจะมีประเทศทั้งสองขึ้น และมีวัฒนธรรมชาติพันธุ์ที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนาน เช่น กะเหรี่ยงคอยาว
คุณแซวะบอกว่าการให้สัมภาษณ์ครั้งนี้ อาจจะมีข้อคิดเห็นส่วนตัวปนเข้ามา ถือว่าเป็นการเปิดประเด็นสร้างพื้นที่แลกเปลี่ยน ยินดีแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมา นอกจากนั้นเขาพูดแทนชาวกะเหรี่ยงได้ แต่พูดแทนชนกลุ่มน้อยอื่นๆ ซึ่งทุกกลุ่มมีอัตลักษณ์แตกต่างไป (แต่มักถูกเหมารวม) ไม่ได้
กะเหรี่ยงเป็นกลุ่มคนที่รักสันโดษ รักธรรมชาติ ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย ในชีวิตไม่เคยต้องคิดเลขเกินสิบ ขอเพียงให้มีข้าวกินก็พอแล้ว
…อย่างไรก็ตาม คุณแซวะได้บรรยายเรื่องราวที่น่าเป็นห่วงและน่าสะเทือนใจมาดังนี้
“ชาวเขา”: ปัญหาเกิดตั้งแต่การปลูกฝัง
คำว่า “ชาวเขา” นั้นเป็นคำที่เกิดใหม่ในช่วงที่เกิดโครงการพัฒนาชนบทของรัฐไทย
แต่นอกจากคำว่า “ชาวเขา” จะหมายถึงคนที่อาศัยอยู่ในป่าบนดอยแล้ว ยังมีนัยแฝงในเรื่องของการแบ่ง “เขา” แบ่ง “เรา” ด้วย
จริงๆ คนไทยจำนวนหนึ่งก็เคยเล่นมุกคำนี้ แต่คุณแซวะได้ขยายความให้เราเห็นภาพว่ามันไม่ใช่เรื่องตลกเลย
เมื่อถูกจำกัดความเป็นชาวเขาแล้ว ภาพจำที่ระบบการศึกษาส่วนกลางปลูกฝังให้คนไทยมองมา มักอยู่ในรูปของ “ผู้ด้อยโอกาส” ที่ต้องการการเข้าไปช่วยเหลือ, พัฒนา, หรือสงเคราะห์ ไม่ใช่มนุษย์เท่ากันที่เพียงมีวัฒนธรรมการใช้ชีวิตต่างออกไป
ดังนั้นเราจึงมักพบเห็นการจัดกิจกรรมเพื่อบริจาคทรัพย์หรือจัดค่ายอาสาพัฒนาชนบทขึ้นในพื้นที่ของชนกลุ่มน้อย
…โดยส่วนตัวคุณแซวะมองว่า แม้การบริจาคหรือค่ายเหล่านี้จะเป็นสิ่งที่ดี แต่การช่วยเหลือชนกลุ่มน้อยเช่นนี้เพียงชั่วครั้งชั่วคราวไม่ใช่สิ่งที่ยั่งยืน
เรื่องสำคัญกว่าคือการสร้างกระบวนการที่เน้นให้คนในพื้นที่มีส่วนร่วม รวมทั้งการเปิดโลกทัศน์ของผู้จัดงานเพื่อเสริมสร้างความเข้าใจอันดีระหว่างชาวไทยกับชาวเขา
…แต่กิจกรรมที่พบ ส่วนใหญ่ยังเป็นกิจกรรมแบบสำเร็จรูปมากกว่า…
คุณแซวะเชื่อว่าการปลูกฝังจากระบบการศึกษาเป็นตัวต้นเหตุของสิ่งที่เกิดขึ้นตามมาทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นโครงการต่างๆ การจัดกิจกรรมพัฒนาชนบท การบริจาคหรืออาสาสมัครพัฒนาพื้นที่ ซึ่งมีนัยแฝงการไม่ยอมรับชนกลุ่มน้อยเหล่านี้เท่าเทียมกับตน
วิถีชีวิตชนกลุ่มน้อย: ป่ายังอยู่ แต่ถูกหาว่า “ทำลายธรรมชาติ”
คุณแซวะยืนยันว่าสิ่งที่ชนกลุ่มน้อยต้องการในการใช้ดำรงชีวิตอย่างปกติสุข คือ สิทธิเสรีภาพซึ่งไม่ถูกปิดกั้นจากรัฐ และการเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น เช่น การรักษาพยาบาล, การคมนาคมที่สะดวก, การชลประทาน, การศึกษา
…รวมถึงการได้รับการยอมรับในความหลากหลาย ซึ่งตรงจุดนี้ก็เป็นเรื่องสากลไม่ว่าชาติพันธุ์ไหนๆ
ที่ผ่านมา วิถีชาวบ้านกลับโดนกฎระเบียบต่างๆ ของรัฐไทยมาครอบไว้ ด้วยคำอธิบายว่า “การอนุรักษ์ธรรมชาติแบบตะวันตก”
คำนี้ครอบคลุมถึงการจัดการป่าลุ่มน้ำ, ป่าสงวน, หรือการประกาศอุทยาน ทำให้เส้นทางของชนกลุ่มน้อยเปลี่ยนแปลงไปจากแนวทางเดิมที่ควรจะเป็น
นอกจากนั้น เท่าที่ผ่านมาส่วนใหญ่ การประกาศมักเกิดขึ้นโดยไม่มีผู้เข้ามาดูพื้นที่จริง ไม่มีการสำรวจว่าว่าใครอาศัยอยู่ก่อน
เมื่อประกาศออกไป ทางการจะถือว่าผู้ใดอาศัยในพื้นที่สงวนแล้วไม่ไปแสดงตัวตนให้ถูกต้องตั้งแต่มีประกาศใหม่ๆ นั้นผิดกฎหมาย ซึ่งจะต้องดำเนินการเป็นภาษาไทย ณ ที่ว่าการอำเภอ
…ด้วยอุปสรรคการสัญจรลำบากและภาษาอันแตกต่าง จึงทำให้ชาวกะเหรี่ยงส่วนใหญ่ไปแสดงตัวไม่ได้ สุดท้ายคนที่อาศัยอยู่มาหลายชั่วอายุคนจึงกลายเป็นบุกรุกป่าไป
ด้านกลุ่มปกาเกอะญอได้สั่งสมภูมิปัญญาจนสามารถใช้ชีวิตอยู่ในป่าได้โดยไม่เบียดเบียนธรรมชาติ เช่น เก็บของป่าตามฤดูกาล, เด็ดไม้เพียงยอด ไม่ได้โค่นราก หรือเมื่อตัดไม้แล้วก็จะทำพิธีขอขมาและปลูกป่าคืน
คุณแซวะชี้ให้เห็นว่าในพื้นที่ป่าที่เหลืออยู่ 30% ของประเทศไทยในปัจจุบันนั้นที่จากที่เคยมีถึง 70% นั้น ส่วนใหญ่ล้วนเป็นพื้นที่ที่มีชนกลุ่มน้อยอาศัยอยู่ทั้งสิ้น แสดงให้เห็นว่าพวกเขาสามารถอนุรักษ์ป่าไว้ได้เพียงไหน
ตัวอย่างหนึ่งของปัญหาการขับไล่ชนกลุ่มน้อยออกจากพื้นที่ป่าที่มีชื่อเสียง คือ ประเด็นบ้านบางกลอยและป่าแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี ที่เราอาจรู้จักกันในชื่อของ “เรื่องปู่คออี้”
คุณแซวะเล่าให้ฟังว่าสิ่งที่ปู่คออี้และชาวกะเหรี่ยงบริเวณนั้นต้องเผชิญคือการถูกบังคับให้ย้ายออกจากพื้นที่ที่เคยอยู่มาหลายสิบปี เป็นการตัดขาดชีวิตและจิตวิญญาณ และจากการยึดมั่นวิถีชีวิตดั้งเดิมที่สืบมาหลายชั่วอายุคน
ชาวกระเหรี่ยงที่โดนไล่ที่ต้องย้ายไปอยู่ที่ใหม่, ไปทำนาขั้นบันได, เรียนรู้เรื่องโซลาร์เซลล์ ขัดกับทุกสิ่งที่เขาเรียนรู้มาทั้งหมดตั้งแต่จำความได้
พวกเขาใช้ชีวิตอยู่แบบนี้ไม่ได้ ต้องย้ายกลับไปพื้นที่เดิม จนถูกขับไล่อีกเมื่อประมาณปี 2554 เกิดเหตุการณ์เผาบ้านและยุ้งฉางของชาวบ้าน แถมยังมีกรณีคนที่ไปเรียกร้องทวงสิทธิ์ของตนถูกอุ้มฆ่าด้วย
…เป็นเรื่องน่าสะเทือนใจอย่างยิ่ง โดยเฉพาะกับคนกลุ่มน้อยด้วยกัน…
คุณแซวะเชื่อว่า ถ้ามองให้ลึกลงไป นายทุนคงมีแผนที่จะเปลี่ยนพื้นที่แก่งกระจานให้เป็นพื้นที่ท่องเที่ยวเชิงพาณิชย์ ซึ่งเริ่มมีการตั้งนิคมจัดสรรจีนในเพชรบุรีบ้างแล้ว ต่อมาคงจะเปิดให้มีนักท่องเที่ยวมายิงสัตว์ได้ถูกกฎหมาย ดูสัตว์ป่า ดูชาวเขาที่ถูกจัดให้อยู่ในพื้นที่เล็กๆ เหมือนสวนสัตว์
แต่ขณะเดียวกัน คนเหล่านี้กลับไปใส่ร้ายชาวเขาว่าเป็นคนไปยิงสัตว์ป่า ทำลายธรรมชาติ
อีกข้อหาหนึ่งที่ชาวเขามักถูกตีตราคือเป็น “ภัยต่อความมั่นคง” โดยเฉพาะเรื่องการปลูกฝิ่น จากการผูกโยงว่าชาวเขาเสพติดฝิ่นและปลูกฝิ่นกันมาเนิ่นนานเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ
จริงๆ แล้วฝิ่นเพิ่งแพร่หลายในพื้นที่นี้หลังช่วงสงครามกลางเมืองจีนเท่านั้น ไม่ใช่ภูมิปัญญาดั้งเดิมของชนกลุ่มน้อยที่อาศัยอยู่ตรงนั้นนับร้อยๆ ปี เพียงแต่ว่าเมื่อฝิ่นเข้ามา ชาวเขาก็มีโอกาสเสพติดไม่ต่างกับกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ
ดังนั้นการโทษชนกลุ่มน้อยว่าเป็นปัญหาความมั่นคงเพราะปลูกฝิ่นแค่กลุ่มเดียวจึงเป็นความอยุติธรรมยิ่ง
*** ความพยายามเข้าหาชนกลุ่มน้อยของรัฐไทย ***
แนวทางการปฏิบัติต่อชนกลุ่มน้อยของรัฐไทยนั้นก็มีพื้นฐานมาจากการปลูกฝังภาพคนชายขอบ คนด้อยโอกาสและภัยความมั่นคงดังที่ได้กล่าวไปแล้ว
การเข้ามาของโครงการพัฒนาทั้งหลายทั้งจากภาครัฐและเอกชน ทำให้ชนกลุ่มน้อยต้องปรับตัวเรียนรู้เข้ากับกระแสใหม่ๆ ตามที่ผู้อื่นต้องการ เช่น การเปลี่ยนวิถีชีวิตจากการทำไร่นาหมุนเวียนไปเป็นปลูกผักในโรงเรือนขาย การรับเทคโนโลยีภายนอก เช่น โซลาร์เซลล์มาปรับใช้ ฯลฯ
ชาวเขาต้องพึ่งพาโลกภายนอกมากขึ้น และต้องเริ่มคิดเรื่องกำไรขาดทุน …ง่ายๆ คือ พอต้องขายสินค้าเกษตร สิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นตามมาก็คือ ต้องมีรถกระบะสำหรับขนส่งสินค้าไปขาย เป็นต้น
ในเรื่องนี้ คุณแซวะมีความเห็นว่า บางทีก็แค่เอาตัวเองให้รอดในแบบเดิมยังมีอุปสรรค ทำไมยังจะให้พวกเขาต้องละทิ้งวิถีชีวิตของตนไปรับเอาการใช้ชีวิตแบบอื่นๆ ที่ไม่สอดคล้องกับตัวเข้ามาให้ซับซ้อนยุ่งยากกว่าเดิมอีก?
นอกจากนี้ โครงการพัฒนาเหล่านี้ยังมีเงื่อนไขแนบมาด้วยเสมอ เช่น ทางการจะพัฒนาสถานีอนามัยหรือโรงเรียนให้ แต่ชาวบ้านต้องย้ายออกจากพื้นที่เดิมที่อาศัยอยู่มาร่วมร้อยๆ ปีไปยังพื้นที่จัดสรรใหม่ที่พวกเขาไม่ได้เลือกเอง
ส่วนใหญ่แม้ปกาเกอะญอเป็นคนโอนอ่อนผ่อนตาม แต่จริงๆ ถึงคิดจะต่อต้านก็ไม่ได้มีสิทธิ์มีเสียงอะไรพอจะเปลี่ยนแปลง
เท่าที่ทราบคือบางคนอาจใช้วิธีดื้อแพ่ง, ถ่วงเวลา, ไม่ให้ความร่วมมือ บ้างก็มีวัยรุ่นจำนวนหนึ่งไปประท้วงขว้างปาสิ่งของใส่สถานที่ราชการบ้าง แต่ชนกลุ่มน้อยมีจำนวนไม่มากมาย ทั้งไม่มีอาวุธ จึงไม่สามารถสู้ทัดทานด้วยทั้งการเจรจาและการใช้กำลังได้เลย
…ดังนั้นจึงเห็นได้ว่า ที่ผ่านมาชนกลุ่มน้อยได้พยายามปรับตัวเข้ากับรัฐไทยมากแล้ว แต่รัฐไทยได้ปรับตัวเข้าหาชนกลุ่มน้อยเหล่านี้เพียงพอหรือยัง?
ทั้งนี้ การบังคับกะเหรี่ยงให้ย้ายออกจากพื้นที่แก่งกระจาน ยังถือได้ว่าเป็นการบังคับให้ชนกลุ่มน้อยเหล่านี้ต้อง “เริ่มต้นใหม่ตั้งแต่ศูนย์” เพราะได้สูญเสียภูมิปัญญาทั้งหมดที่สั่งสมมาตั้งแต่บรรพบุรุษที่สอนกันในบริเวณนั้นมาว่า ดินตรงนั้นเพาะปลูกอะไรขึ้นบ้าง, เก็บเห็ดที่ไหน, ธารน้ำอยู่แห่งใด, ของป่ามีอะไรบ้างมีพิษหรือไม่มีพิษ
…ถึงแม้จะย้ายไปยังป่าแห่งใหม่ก็ประสบปัญหาตรงนี้ ต้องเริ่มต้นเรียนรู้ใหม่เหมือนกัน
การบังคับย้ายถิ่นทุกวันนี้ ถ้าจะชดเชยก็ต้องชดเชยทั้งแผ่นดินที่ชาวบ้านเหยียบย่าง, น้ำที่ชาวบ้านดื่มกิน, อากาศที่เขาหายใจ ซึ่งของเหล่านี้มันแทนกันไม่ได้ ยังไม่ต้องพูดถึงว่ากฎเกณฑ์การชดเชยของทางการไทยไม่ได้มาตรฐานสากลอีก
*** ทางออกที่เสนอ ***
คุณแซวะเชื่อว่าอันดับแรกสิ่งที่ยังขาดอยู่ในประเด็นชนกลุ่มน้อยในไทย คือ ความเข้าใจและการพูดคุยกันตามความจริง และเนื่องจากปัญหาเกิดจากการปลูกฝังตั้งแต่ในระบบการศึกษา
ดังนั้นอยากเห็นระบบการศึกษาไทยที่เปิดกว้างให้ทุกฝ่ายนำความจริงมาพูดคุยกัน เลิกการปลูกฝังให้ชนกลุ่มน้อยมีภาพเป็น “ผู้ด้อยโอกาส” หรือ “ภัยต่อความมั่นคง” แต่ให้เป็นมนุษย์เท่ากัน
สำหรับทางออกของปัญหา “การบุกรุก” พื้นที่ป่าสงวนหรืออุทยาน คุณแซวะอยากเห็นการพูดคุยร่วมกันแก้ไขปัญหาระหว่างทุกฝ่าย ควรยอมให้ชาวบ้านในพื้นที่เดิมที่อาศัยอยู่มาหลายชั่วอายุคนได้อยู่ต่อ แล้วพูดคุยหาข้อตกลงการใช้พื้นที่ร่วมกับราชการน่าจะดีที่สุด
…ถ้าเขาไม่ได้เลือกออกจากพื้นที่ไปเองแต่กลับบังคับย้ายเขาออก อย่างไรปัญหาก็จะไม่จบ
เสียงของชนกลุ่มน้อยที่ผ่านมาพยายามเรียกร้องให้สังคมตระหนักถึงปัญหาของพวกตน ผ่านนักกิจกรรมที่มีชื่อเสียงเช่น ปู่คออี้, บิลลี่ พอละจี และ สุรพงษ์ กองจันทึก (ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษากะเหรี่ยงและพัฒนา) จากกรณีป่าแก่งกระจาน แต่ปัญหาก็ยังคงอยู่ต่อไป
ในอนาคตคุณแซวะยังมองโลกในแง่ดีว่า ชนกลุ่มน้อยคงจะได้โอกาสมีสิทธิ์มีเสียงในสภามากขึ้นเมื่อมี ส.ส. เป็นกลุ่มชาติพันธุ์
แต่ขณะเดียวกันก็ยังมองว่าการต่อสู้นี้ยังคงอีกไกล เพราะเสียงที่จะช่วยหนุนชนกลุ่มน้อยอย่างแท้จริงมักถูกกลบเสมอในกลไกการเมืองไทย
ทั้งหมดนี้คือเรื่องราวที่คุณแซวะถ่ายทอดให้เราเห็นประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้น รวมทั้งนำเสนอทางออกให้ทุกฝ่ายอยู่ร่วมกันได้แบบประนีประนอม
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ยังนับว่าคงมีอุปสรรค์อีกมากมายกว่าจะเกิดผลได้จริง ไม่ว่าจะทั้งจากภาครัฐหรือเอกชน ที่ต้องการคงภาพความเป็นอื่นของชนกลุ่มน้อยไว้
คงต้องให้ท่านผู้อ่านช่วยกันเป็นอีกแรงผลักดันเพื่อนำไปสู่ทางออกของปัญหานี้ต่อไป…
0 Comment