ช่วงนี้ท่านผู้อ่านหลายท่านดูข่าวน้ำท่วมในหลายพื้นที่ของประเทศไทยคงรู้สึกเหมือนเห็นภาพฉายซ้ำ โดยเฉพาะบางพื้นที่ที่ประสบปัญหาอุทกภัยแทบทุกปี
แม้มีการพยายามแก้ปัญหาเหล่านี้ในทางต่างๆ แต่ปัญหาก็ไม่หมดไป อาจเพราะต้นสายปลายเหตุมาจากปัญหาโลกร้อนยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น จนมีความกังวลว่ากรุงเทพมหานครซึ่งเป็นเมืองใหญ่สุดของประเทศไทยอาจจมอยู่ใต้บาดาลในที่สุด
เรื่องนี้เป็นจริงเท็จประการใด? น้ำท่วมในไทยเป็น “เรื่องปกติ” ที่เลี่ยงไม่ได้ใช่หรือไม่? บทความนี้จะลองรวบรวมข้อมูลจากแหล่งต่างๆ มานำเสนอให้ท่านผู้อ่านช่วยตัดสินครับ
ภาพรวมน้ำท่วมไทย
สถิติอุทกภัยในประเทศไทยช่วง 30 ปีที่ผ่านมา พบว่าโดยเฉลี่ยจะมีเหตุการณ์น้ำท่วมปีละ 9 ครั้ง ครอบคลุมพื้นที่ 63 จังหวัด (83% ของจังหวัดทั้งหมด) 17,867 หมู่บ้าน (24% ของหมู่บ้านทั้งหมด) กระทบกับประชาชนเฉลี่ยปีละ 4.5 ล้านคน โดยมีข้อมูลว่าน้ำท่วมใหญ่จะเกิดขึ้นทุกๆ 15-20 ปี
ด้านความเสียหายทางทรัพย์สินพบว่ามีบ้านเสียหายประมาณ 45,482 หลังต่อปี พื้นที่การเกษตรอีก 7.56 ล้านไร่ โดยตีเป็นมูลค่าความเสียหายทั้งหมดปีละ 5,361 ล้านบาท ทำให้ต้องมีการซ่อมแซมโครงสร้างพื้นฐานอยู่เรื่อยๆ
ในช่วง 10 ปีหลังสุด พบว่าความถี่ของอุทกภัยต่อปีลดลงประมาณครึ่งหนึ่ง เหลือปีละ 5 ครั้ง แต่พื้นที่และจำนวนประชากรที่ได้รับผลกระทบกลับเพิ่มขึ้น …สะท้อนให้เห็นแผนการรับมืออุทกภัยที่ยังไม่เป็นผลสำเร็จในช่วงที่ผ่านมา
เหตุน้ำท่วมใหญ่กรุงเทพฯ ในรอบ 100 ปีที่ผ่านมา
100 ปีที่ผ่านมา มีเหตุน้ำท่วมใหญ่ในกรุงเทพฯ หลายครั้ง
ในปี 1942 (2485) น้ำเข้าท่วมพระนครเป็นเวลาถึง 2 เดือน โดยวัดระดับน้ำท่วมที่สะพานสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ได้ 2.27 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลปานกลาง นับเป็นภัยพิบัติครั้งร้ายแรง และต่อมาจึงได้นำไปสู่การสร้างเขื่อนกั้นตั้งแต่ต้นน้ำ
ในปี 1983 (2526) ประเทศไทยได้รับผลจากพายุ 2 ลูก ทำให้ฝนตกหนักเหนือน้ำ และเมื่อน้ำเหนือไหลลงมารวมกับน้ำทะเลหนุน จึงทำให้น้ำเข้าท่วมกรุงเทพมหานคร ในปีนั้นฝนตกปริมาณมาก วัดปริมาณทั้งปีได้กว่า 2100 มิลลิเมตร
ปี 1994 (2537) เกิดพายุฝนฤดูร้อนถล่มกรุงเทพฯ และปริมณฑล เฉลี่ยทั่วกรุงเทพฯ มีปริมาณน้ำฝน 200 มม. มากที่สุดในประวัติการณ์ เรียกกันว่า “ฝนพันปี” ทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันในหลายพื้นที่
ปี 1995 (2538) ฝนตกเหนือน้ำอย่างหนักจนระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาสูง วัดที่สะพานสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ สูงถึง 2.27 เมตร (รทก.) นับว่าสูงเป็นประวัติการณ์ (เท่าน้ำท่วมปี 1942) ทำให้น้ำล้นคันป้องกันริมสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา เข้าท่วมพื้นที่ริมแม่น้ำสูงถึง 50-100 ซม. นาน 2 เดือน
ล่วงถึงปี 2011 (2554) ประเทศไทยได้รับอิทธิพลจากพายุโซนร้อน 5 ลูกในช่วงมรสุม ทำให้ปริมาณน้ำฝนขึ้นสูงมากที่สุดในรอบ 61 ปี
ในปีนั้นพายุนกเต็นได้ทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันในภาคเหนือและอีสานมากถึง 11 จังหวัด ตามมาด้วยปริมาณน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง
ส่วนทางการได้คาดการณ์ผิดจึงไม่ได้เตรียมระบายน้ำล่วงหน้า เมื่อเห็นท่าว่าน้ำจะล้นเขื่อนจึงได้รีบปล่อยน้ำลงมาเพิ่มทำให้ปริมาณน้ำเพิ่มขึ้นยิ่งกว่าเดิม
นอกจากนี้ความขัดแย้งระหว่างหน่วยงานภาครัฐยังทำให้พื้นที่บางแห่งไม่ปฏิบัติตามคำสั่งจากส่วนกลาง และมีการเปลี่ยนเส้นทางน้ำแบบขาดการประสานงาน
ในเหตุอุทกภัยปีนั้น มีสิ่งที่ได้สร้างความเจ็บปวดเพิ่มเติมให้แก่ประชาชนผู้ได้รับผลกระทบคือ “การกั้นบางพื้นที่ไม่ให้น้ำท่วม”
เรื่องนี้ทำให้เกิดเป็นประเด็นละเอียดอ่อนในการบังคับให้ประชาชนบางพื้นที่ต้อง “เสียสละ”
ภูมิศาสตร์กรุงเทพ: เมืองน้ำผ่าน
ที่ตั้งภูมิประเทศของกรุงเทพมหานครนั้นตั้งอยู่ในดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำ เป็นที่ราบต่ำน้ำท่วมถึง อยู่ติดกับแม่น้ำเจ้าพระยาซึ่งเป็นแม่น้ำใหญ่ทำให้กรุงเทพมหานครเป็นพื้นที่รับน้ำก่อนไหลงลงทะเล
และเมื่อพิจารณาในแนวราบ พื้นที่ตั้งแต่จังหวัดอยุธยาลงมาถึงกรุงเทพมหานครจัดเป็นพื้นที่ที่มีความลาดชัดต่ำ น้ำจะไหลเอื่อยๆ และควบคุมทิศทางไม่ได้ รวมทั้งกว่าน้ำจะระบายหมดยังต้องใช้เวลานานมากอีกด้วย
กรุงเทพมหานครนั้นแต่เดิมอยู่ใต้บาดาลมาก่อน ต่อมาค่อยงอกเป็นพื้นที่เมืองขึ้นได้จากการทับถมของดิน จนปัจจุบันทั้งเมืองยังมีระดับสูงสูงกว่าระดับน้ำทะเลปานกลางเพียงไม่เกิน 1.5 เมตรเท่านั้น
ข้อดีคือ พื้นที่ดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำเช่นนี้อุดมสมบูรณ์ด้วยแร่ธาตุจากการทับถมของดินและโคลนตะกอน ทำให้เอื้อต่อการเพาะปลูกมาก
แม้เมืองลักษณะนี้เป็นเมืองที่เอื้อต่อการเติบโตของประชากร แต่ขณะเดียวกัน ถ้ามีน้ำหลากจากต้นน้ำลงมา แล้วมาเจอกับมรสุมหนัก ก็จะเกิดน้ำท่วมได้ง่าย ทำให้กรุงเทพฯ เสี่ยงต่อการเกิดน้ำท่วมเสมอ
…กล่าวได้ว่าถ้าน้ำไม่ท่วมสิแปลก…
…แต่ว่าทำไมคนสมัยก่อนถึงไม่ย้ายหนีน้ำท่วมล่ะ ถ้ามันจะท่วมบ่อยขนาดนี้?
คำตอบคือคนไทยสมัยก่อนต่างมีวิถีชีวิตผูกพันกับแม่น้ำ สังเกตได้จากบันทึกของ นิโกลาส์ แชร์แวส นักเดินทางชาวฝรั่งเศส เมื่อปี 1685 (ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา) ว่า:
“น้ำท่วมใหญ่ซึ่งดูเป็นที่น่ารำคาญและทำความเสียหายให้มากนี้ กลับนำประโยชน์และความชื่นชอบมาสู่คนสยามเป็นอันมาก เพราะมันเหมือนกับแม่น้ำไนล์ คือให้พื้นดินอุดมและนำความมั่งคั่งมาสู่ประเทศ…”
“…สิ่งที่ให้ประโยชน์อีกประการหนึ่งในกรณีที่มีน้ำท่วม ก็คือมีปลาเป็นอันมากและมากเสียจนกระทั่งว่า แม้จะไม่ต้องลงจากเรือน คนๆ หนึ่งจะตกปลาได้ภายในหนึ่งชั่วโมงพอใช้บริโภคไปได้หลายวันทีเดียว
อนึ่งตลอดเวลาที่น้ำท่วม จะมีการเล่นสนุกสนานบนน้ำและการแข่งยานทางน้ำ ซึ่งคนสยามเรียกว่า เรือ (rua) และคนโปรตุเกสเรียกว่า บาล็อง (balon) ดูสนุกมาก ใครพายไปถึงหลักชัยซึ่งมีของรางวัลรอยู่ก่อน ก็จะได้รับการต้อนรับด้วยเสียงเครื่องมโหรีประโคมให้เกียรติในความแข็งขันและสามารถ”
วิถีชีวิตของคนไทยภาคกลางสมัยก่อนยังสร้างเรือนไทยแบบยกใต้ถุนสูง รวมทั้งมีการใช้บ้านแพ การทำนาโคลนตม การทำสวนยกร่อง การสัญจรด้วยเรือเป็นหลัก จนถึงกับมีการขุดคลองสลับซับซ้อนแทนถนน
…เรียกว่าพร้อมรับน้ำท่วม …อาศัยอยู่กับน้ำท่วมจนเป็นวัฒนธรรม…
ถ้าเรายึดหลักเรียกคนตามสิ่งที่ใกล้ชิดเขา เช่นเรียกคนที่อยู่บนเขาว่าชาวเขา เรียกคนที่ทำสวนว่าชาวสวน …จะเรียกคนกรุงเทพว่าชาวน้ำท่วมก็ไม่แปลก
นับตั้งแต่ปี 1961 (2504) มีการออกแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ซึ่งเน้นการสัญจรด้วยถนน ทำให้เกิดการพัฒนาเมืองที่ “ฝืน” ลักษณะพื้นที่ที่กล่าวไปก่อนหน้านี้ เพราะมีการถมคลอง การสร้างอาคารกีดขวางทางน้ำ
จนถึงปัจจุบันเมืองก็ยังคงพัฒนาไปในแนวทางนี้อยู่ (หลายจังหวัดเองมีการระบุว่าการพัฒนาแบบไม่มีผังเมืองเป็นสาเหตุที่ทำให้แก้ไขปัญหาน้ำท่วมไม่ได้เช่นเดียวกัน)
ข้อมูลย้อนหลังปี 2005 ถึง 2016 พบว่า มีปีที่กรุงเทพมหานครประสบปัญหาน้ำท่วมอยู่ 5 ปี
มีช่วงที่น้ำท่วมติดต่อกันคือในปี 2010 ถึง 2013 และครั้งใหญ่ที่สุดคือปี 2011 ซึ่งกรุงเทพมหานครประสบปัญหาน้ำท่วมเกินครึ่งเมือง!
การรับมือน้ำท่วมเป็นเรื่องการเมือง?
จากผลงานที่ผ่านมาพบว่าทางการไม่ว่าสมัยใดก็ยังรับมือน้ำท่วมวงกว้างได้ไม่ดี นอกจากนั้นยังดูไม่ค่อยตื่นตัวต่อภัยอื่นที่มากับน้ำด้วย เช่น ภัยโรคระบาด, ภัยสารเคมี หรือปัญหาจากการจัดการของเสีย
อีกทั้งความพยายามวางแผนรับมือภัยพิบัติระยะยาวได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งทางการเมืองที่ทำให้ขาดตอนด้วย…
เท่าที่เห็นกรมอุตุนิยมวิทยาทำได้เพียงประกาศเตือนให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยให้พยายามระวังน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากเท่านั้น
ในระดับชุมชนชาวบ้านเอาตัวรอดกันเองก่อน มักต้องหนีขึ้นไปบนหลังคา และใช้ทรัพยากรช่วยเหลือกันเอง เช่น ช่วยกันก่ออิฐบล็อกกั้นน้ำ, ใช้รถแทรกเตอร์เข้าไปช่วยเหลือกัน เมื่อน้ำท่วมลดลงทางการจึงจะทำการสำรวจความเสียหาย ซ่อมแซม และทำความสะอาดบ้านเรือนประชาชน
หน่วยงานปกครองท้องถิ่นบางท้องที่เคยระบุว่าเจ้าหน้าที่ทำได้เพียงรีบส่งเรือท้องแบนไปให้ความช่วยเหลือชาวบ้านเป็นการเฉพาะหน้า
จึงเป็นคำถามว่าท้องถิ่นมีความคล่องตัวในการรับมือภัยพิบัติอย่างเต็มที่หรือไม่?
นอกจากนั้นยังมักมีกรณีที่กล่าวหากันว่าการที่ท้องถิ่นไม่สามารถปฏิบัติงานได้เต็มที่ เป็นการ “เล่นการเมือง” หรือเปล่า?
สำหรับกรุงเทพมหานคร ยังนับว่า “โชคดี” กว่าอีกหลายพื้นที่ ที่มีการเตรียมป้องกันหลายวิธี ได้แก่:
(1) มีอุโมงค์ระบายน้ำใต้เมืองขนาดใหญ่จำนวน 4 แห่ง ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 3.4-5 เมตร กำลังสูบ 30-60 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที และกำลังมีแผนสร้างเพิ่มอีก
(2) มีท่อเร่งระบายน้ำ (pipe jacking) หรือท่อใต้ดินเชื่อมระหว่างพื้นที่ที่น้ำท่วมบ่อยกับทางระบายออก 10 จุด
(3) มีธนาคารน้ำใต้ดิน ซึ่งมีลักษณะคล้ายบ่อกักเก็บน้ำ 2 แห่ง
(4) มีการลอกท่อระบายน้ำล่วงหน้า
(5) วิธีอื่นๆ เช่น แก้มลิง, สถานีสูบน้ำ, บ่อสูบน้ำ, ประตูระบายน้ำ
นับถอยหลัง กรุงเทพจมทะเลแน่?
นอกจากเรื่องน้ำท่วมขังแล้ว กรุงเทพมหานครยังประสบปัญหาเรื่องดินทรุดตัว จากการสูบน้ำบาดาล และน้ำหนักของสิ่งปลูกสร้างที่กดทับดิน ทำให้ความสูงของเมืองลดลง 1-2 เซนติเมตรทุกปี
ในปี 2019 มีกลุ่มสิ่งแวดล้อมออกโรงเตือนว่าเมืองชายฝั่งสำคัญแถบอาเซียนอาจได้รับผลกระทบจากปัญหาน้ำทะเลสูงขึ้นภายในปี 2050 หรืออีกไม่ถึง 30 ปี
มีการประมาณว่าพื้นที่ 10% ของกรุงเทพมหานครอาจจมอยู่ใต้น้ำ ในปี 2050 (จากเดิมคาดไว้ที่ 1%) และอาจเพิ่มเป็น 70% ในปี 2080 ถ้าอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกเพิ่มขึ้น 4 องศาเซลเซียส และระดับน้ำทะเลสูงขึ้นกว่าในปัจจุบัน 88 เซนติเมตร
ในช่วงหลังๆ เรายังได้เห็นผลของปรากฏการณ์ลานีญา เป็นช่วงที่ลมค้า (คือลมที่พัดอยู่ตลอดเวลาจากทิศตะวันออกมาตะวันตกในแถบเส้นศูนย์สูตรของโลก) แรงกว่าปกติ พัดพาน้ำอุ่นในมหาสมุทรแปซิฟิกไปทางทวีปเอเชีย จึงเกิดฝนตกหนักขึ้นและพายุรุนแรงขึ้นในทุกภูมิภาคของประเทศ
ด้วยเหตุนี้ อนาคตของประเทศไทย โดยเฉพาะกรุงเทพมหานคร จะยิ่งได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศมากขึ้นเรื่อยๆ
บทส่งท้าย
เรื่องน้ำท่วมไทยและกรุงเทพมหานครเป็นเรื่องที่ใหญ่กว่าตัวประชาชนหรือการจัดการ
มันเป็นผลจากที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ และวัฒนธรรมความเป็นอยู่ของผู้คนที่เปลี่ยนไป นอกจากนั้นมันยังได้รับผลกระทบจากปรากฏการณ์โลกร้อนเป็นอย่างยิ่ง
หากเราควบคุมไม่ได้ วันหนึ่งกรุงเทพมหานครและเมืองชายฝั่งของไทยก็คงต้องจมอยู่ใต้ทะเล ซึ่งแม้ว่าจะมีเทคโนโลยีและการวางมาตรการที่ดีอย่างในประเทศพัฒนาแล้วก็ยังไม่แน่ว่าจะรอด
นอกจากนี้ยังมีเรื่องของการรับมือของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องที่ยังพัฒนาได้อีกกว่านี้ ซึ่งคงต้องช่วยกัน มิฉะนั้นวันหนึ่งกรุงเทพฯ ก็คงจมทะเลไปจริงๆ
0 Comment