หากเอ่ยถึงวรรณคดี วรรณกรรมไทยสมัยก่อน มักนึกถึงความสวยงามสละสลวยของบทประพันธ์ เรื่องราวจักรๆ วงศ์ๆ อันดีงาม ปนเรื่องบัดสีประปราย แฝงลูกเล่นชวนหัว

จนทำให้การผวนคำ ซึ่งมีมาแต่โบราณ กลายเป็นสกิลติดตัวของคนไทยไปแล้ว

ส่วนเรื่องเพศ ในวงสังคมสมัยก่อนถือเป็นเรื่องตลกขบขัน แต่ในขณะเดียวกันสังคมไม่ได้ให้การยอมรับเรื่องดังกล่าวและมองว่าเป็นเรื่องหยาบคาย

ถึงกระนั้นก็มีวรรณกรรมเรื่องหนึ่งที่สะท้อนถึงส่วนลึกภายในจิตใจคน

ชื่อ “สรรพลี้หวน” (สับ-พะ-ลี้-หวน)

สรรพลี้หวนเป็นวรรณกรรมท้องถิ่นทางใต้ ไม่ปรากฎหลักฐานผู้ประพันธ์แน่ชัด โดยสันนิษฐานกันว่าอาจจะแต่งขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยา ได้รับความนิยมในช่วงต้นรัตนโกสินทร์ ลักษณะเป็นกลอนแปดหรือกลอนสุภาพ

เนื้อหาโดยรวมจะเป็นเรื่องราวจักรๆ วงศ์ๆ ทั่วไป แต่ต่างกันตรงที่มีคำผวนเชิงโป๊เปลือย เช่น ชื่อตัวละครอย่างท้าวโคตวย ฤษีแหบ เจ้าชายใดหยอ เป็นต้น แฝงความตลกขบขันชวนให้ผู้อ่านผู้ฟังหัวร่อตาม

ขอยกตัวอย่างเป็นน้ำจิ้มคร่าวๆ

นครังยังมีเท่าผีแหน 

กว้างยาวแสนหนึ่งคืบสืบยศถา

เมืองห้างกวีรีหับระยับตา 

พันหญ้าคาปูรากเป็นฉากบัง,

(ฉากบรรยายเมือง)

พ่อเป็นตายไม่รู้เพราะหูกี

ยังเห็ดยีก็ไม่เก่งเด็งจะฉอ

ครั้นกลีหับกลับบ้านดานแทงวอ

จากใต้ยอยีหายพากายมา,

(ฉากอัศจรรย์แสนอีนุงตุงนัง)

ฯลฯ

แหนะ! แอบผวนกันล่ะสิ ตาวิเศษเห็นนะ

โดยก่อนหน้านี้อาจเป็นการเล่าแบบปากต่อปาก ต่อมาค้นพบสำนวนต้นฉบับและตีพิมพ์ที่จังหวัดนครศรีธรรมราชเมื่อพ.ศ. 2515 จนก่อให้เกิดการเลียนแบบโดยใช้สำนวนใหม่ และนำไปใช้ขับร้องเป็นกลอนหนังตะลุง รวมทั้งได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในภาคใต้

ความนิยมอันมาจากความเข้าใจในตัวบุคคลที่มักเล่นตลกกับมุกล้อเลียนอวัยวะเพศของกวี สอดคล้องกับจิตใต้สำนึกของคน 

แม้คนสมัยก่อนจะมองเรื่องใต้สะดือว่า “ต่ำทราม หยาบคาย ไม่ควรพูด” แต่ยังไงนี่ก็คือธรรมชาติของคนเรา เมื่อพูดตรงๆ ไม่ได้ก็ต้องเลี่ยงมาใช้วิธีแบบนี้แทนครับ