เมื่อเร็วๆ นี้มีข่าวออกมาว่าผู้ว่าการรัฐครึ่งประเทศอเมริกาออกมาสนับสนุนรัฐเท็กซัสในการรับมือกับปัญหา “คนเข้าเมืองผิดกฎหมาย” จนเกิดเป็นการเผชิญหน้ากับรัฐบาลไบเดนในเรื่องการรับมือคนเหล่านี้ที่ไม่ดีพอ จนทำให้พวกเขาต้อง “จัดการเองตามที่เห็นสมควร” รวมถึงมีการขยายผลเป็นวาทกรรม “แยกประเทศ” และ “สงครามกลางเมือง”

นอกจากนี้ยังเกิดข้อถกเถียงขึ้นมาอีกรอบว่าในเรื่องการจัดการกับคนเข้าเมืองเหล่านี้ โดยที่ผ่านมามีการจับขังในค่าย แยกพ่อแม่ลูก หรือการจับขึ้นรถไปส่งที่อื่นเพราะแบกรับไม่ไหวมาแล้ว ซึ่งทั้งสองฝ่ายต่างพยายามเสนอแนวทางของตัวเองซึ่งเห็นไม่ตรงกันเสียทีเพราะข้อแตกต่างทางอุดมการณ์

ตอนนี้ปัญหาเรื่องคนเข้าเมืองเลยกลายมาเป็นอีกประเด็นร้อนหนึ่งในสังคมอเมริกัน ในบทความนี้เราลองมาดูประวัติศาสตร์ “คนเข้าเมืองสร้างชาติ” อเมริกาในยุคสมัยต่างๆ จนถึงปัจจุบัน และดูว่าทุกวันนี้เรื่องราวใหญ่โตมันมาจากอะไรกันนะครับ

สหรัฐ ประเทศมหาอำนาจเบอร์ 1 ของโลกนั้น ได้ชื่อว่าเป็น “หม้อหลอมวัฒนธรรม” และ “ประเทศแห่งคนเข้าเมือง” คือถ้าไม่นับชนพื้นเมืองอเมริกันที่อยู่มาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์แล้ว ผู้ที่อาศัยอยู่ในประเทศนี้ทั้งหมดล้วนเป็นคนเข้าเมือง (immigrant) ทั้งสิ้น …และไม่น้อยเป็นยัง “ผู้ลี้ภัย” (refugee) อีกด้วย

คนเข้าเมืองที่มีชื่อเสียงยุคแรกๆ คือ พวก “พิวริตัน” (Puritan) ซึ่งเป็นกลุ่มที่ต้องการปฏิรูปศาสนาในอังกฤษและถูกปราบปรามอย่างหนัก ได้มาตั้ง “อาณานิคมพลีมัธ” ก่อนหน้านี้ก็มีนักสำรวจที่ถือพระบรมราชานุญาตของกษัตริย์อังกฤษมาที่เจมส์ทาวน์ และปลูกยาสูบกันเป็นล่ำเป็นสัน เป็นอาณานิคมถาวรแห่งแรกของชาวยุโรปในอเมริกาปัจจุบัน

คนเข้าเมืองยุคก่อนการปฏิวัติอเมริกาส่วนใหญ่เป็นชาวยุโรป ซึ่งมีทั้งชาวอังกฤษ สกอต สกอต-ไอริช เยอรมัน สวิสและฝรั่งเศส ประมาณการว่ามีคนเข้าเมืองในอาณานิคมราว 4 แสนคนในศตวรรษที่ 17 และอีก 4.5 แสนคนในศตวรรษที่ 18

พวกเขาเหล่านี้ขึ้นเรือมาจากชาติยุโรปมายังอเมริกา โดยไม่ได้แวะประเทศอื่นใกล้ๆ นะครับ…

จอร์จ วอชิงตัน ประธานาธิบดีคนแรกและหนึ่งในบิดาผู้ก่อตั้งสหรัฐ เคยกล่าวถึงเรื่องคนเข้าเมืองว่า “อ้อมอกของอเมริกานั้นเปิดให้ไม่เพียงแต่คนแปลกหน้าผู้มั่งมีและน่าเคารพเท่านั้น แต่ยังรวมถึงผู้ถูกกดขี่เบียดเบียนทุกชาติศาสนา”

และอีกตอนหนึ่งว่า “ข้าฯ หวังเสมอว่าแผ่นดินนี้จะเป็นที่ลี้ภัยอันปลอดภัยและน่าพอใจแก่มนุษยชาติผู้มีศีลธรรมและถูกเบียดเบียนไม่ว่าพวกเขาเหล่านั้นจะเป็นชาติใด” (แต่อเมริกาทุกวันนี้ก็ไม่ได้ยึดถือแนวคิดของวอชิงตันหลายๆ เรื่องอยู่แล้ว เรื่องการรับผู้ลี้ภัยเป็นเพียงเรื่องหนึ่งเท่านั้นเอง)

หลังจากการปฏิวัติอเมริกา คนเข้าเมืองยังคงหลั่งไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ผลทำให้มีการแผ่ขยายดินแดนอย่างรวดเร็วไปถึงมหาสมุทรแปซิฟิกคือชายฝั่งตะวันตกของสหรัฐปัจจุบันเมื่อถึงราวทศวรรษ 1840s ตามความเชื่อ “Manifest Destiny”

ในช่วงเดียวกันได้เกิดกลุ่มเป้าหมายของการต่อต้านคนเข้าเมืองขึ้นมาเป็นกลุ่มแรก พวกนี้ถูกประณามว่ายากจนและขี้โรค, แย่งงานจากคนอเมริกันและสูบสวัสดิการ, นับถือศาสนาแปลกๆ นอกจากนี้ยังเป็นพวกอาชญากรรมและก่อเหตุข่มขืนกระทำชำเราอีกด้วย …ใช่ครับ พวกเขาเหล่านี้คือคนเม็กซิกัน เอ๊ย ไอริช นั่นเอง…

ชาวไอริชเหล่านี้เป็นกลุ่มคนที่หลบหนีความยากจนและอดอยากจากภาวะข้าวยากหมากแพงมันฝรั่งไอริชในช่วงทศวรรษ 1840-1850s

การกดขี่ชาวไอริชมีด้วยกันหลายวิธี เช่น การไม่ยอมรับเข้าทำงาน หรือการออกกฎหมายเนรเทศคนไม่มีสัญชาติและรับสวัสดิการ (ซึ่งในยุคแรกสหรัฐให้สัญชาติน้อยมาก ทำให้มีเคสการเนรเทศคนไอริชที่อยู่มานานถึง 40 ปีกลับประเทศ และเป็นการปล่อยกลับตามยถากรรมไม่มีปัจจัยสี่ให้เลย มีบันทึกว่าคนที่ถูกกลับไปปล่อยประเทศเดิมแล้วเสียชีวิตในเวลาไม่นาน)

…จะเห็นได้ว่านอกจากคนผิวขาวจะมีประวัติเหยียดคนผิวดำและคนเอเชียแล้ว คนขาวก็ยังเคยเหยียดคนขาวด้วยกันเองด้วยนะครับ

ผู้โชคดีลำดับต่อมาคือชาวจีน ซึ่งหลั่งไหลเข้ามาในช่วงภาวะตื่นทองแคลิฟอร์เนีย (California Gold Rush) ในปี 1875 ได้มีการออก “รัฐบัญญัติเพจ” (Page Act) เนื้อหาห้ามผู้หญิงเอเชียตะวันออกเข้าอเมริกา โดยอ้างว่าผู้หญิงเหล่านั้นค้าประเวณี เป็นพาหะนำโรค รวมถึงเผยแพร่วัฒนธรรมผัวเดียวหลายเมีย ซึ่งทั้งหมดล้วนขัดต่อ “ศีลธรรมอันดี” ของประชาชนชาวอเมริกัน!

ก่อนที่ต่อมาจะมีการขยายผลเป็น “รัฐบัญญัติกีดกันชาวจีน” (Chinese Exclusion Act) ปี 1882 มีเนื้อหาห้ามคนจีนเข้าประเทศ ยกเว้นพ่อค้า ครู นักเรียน และนักการทูต …นี่นับเป็นครั้งแรกที่สหรัฐมีกฎหมายห้ามคนบางกลุ่มเข้าประเทศ และเป็นจุดเริ่มต้นยุคการกำหนดโควต้าคนเข้าเมืองตามเชื้อชาติ

กฎหมายฉบับต่อมาคือ “รัฐบัญญัติการเข้าเมืองปี 1917” ที่มีเนื้อหาห้ามบุคคลจากภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกเข้าประเทศ รวมทั้งมุ่งเป้าไปยังคนรักเพศเดียวกัน ผู้มีความบกพร่องทางสติปัญญาและผู้มีแนวคิดอนาธิปไตย นอกจากนี้ยังมีการกำหนดการทดสอบการอ่านออกเขียนได้เป็นครั้งแรกด้วย (ก่อนที่ต่อมายอมผ่อนผันให้คนงานจากเม็กซิโกเข้ามาทำงานในภาคเกษตรกรรม อุตสาหกรรมและเหมืองแร่)

ในปี 1921 มีการออก “รัฐบัญญัติโควตาฉุกเฉิน” (Emergency Quota Act) เพื่อตอบสนองต่อกระแสคนเข้าเมืองจากยุโรปใต้และยุโรปตะวันออก กฎหมายฉบับนี้นับเป็นครั้งแรกที่มีการกำหนดโควตาคนเข้าเมืองเป็นจำนวน เช่น มีการกำหนดอัตราคนเข้าเมืองแต่ละชาติไม่เกิน 3% ต่อปีเทียบกับคนชาตินั้นที่อยู่ในสหรัฐก่อนแล้ว คือถ้าปีแรกมีคนไทยในอเมริกา 1,000 คน ปีต่อไปจะรับคนไทยเข้าประเทศเพิ่มแค่ไม่เกิน 30 คน

…สิ่งนี้นับเป็นการกีดกันคนที่ไม่ได้มาจากยุโรปเหนือมาก เพราะเข้ามากันมากแล้ว ส่วนคนชาติอื่นๆ ยังเข้ามากันน้อยอยู่

ก่อนที่จะมาพีคที่ “รัฐบัญญัติคนเข้าเมืองปี 1924” ซึ่งห้ามคนเข้าเมืองจากทวีปเอเชีย และจำกัดคนเข้าเมืองนอกจากซีกโลกตะวันตกไว้ปีละไม่เกิน 165,000 คน และจำกัดคนเข้าเมืองชาตินั้นๆ เป็นไม่เกิน 2% ต่อปีเทียบกับคนชาติเดียวกันที่อยู่ในสหรัฐก่อนแล้ว

…ซึ่งจะเห็นได้ว่า ที่กล่าวมานี้มีกฎหมายกีดกันคนจากทวีปเอเชียแล้วถึง 4 ฉบับ และหากกฎหมายเหล่านี้ยังไม่ถูกยกเลิก คนไทยอย่างเราๆ ก็ไม่มีสิทธิ์ “เข้าเมืองอเมริกาอย่างถูกกฎหมาย” เลยนะครับ

ในช่วงก่อนและระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 สหรัฐไม่ได้ช่วยเหลือผู้ลี้ภัยชาวยิวจากเงื้อมมือนาซีเพียงเล็กน้อย

ในช่วงปี 1939 ถึง 1941 มีคนยิวเข้าคิวรอลี้ภัยในสหรัฐถึง 3 แสนคน ซึ่งพวกเขาต้องเตรียมเอกสารหลายอย่างในการขอวีซ่า ทั้งเอกสารระบุตัวตน ใบอนุญาตออกนอกประเทศ คำให้การด้านการเงิน เป็นต้น รวมทั้งต้องเตรียมตั๋วนั่งเรือข้ามมหาสมุทรและมีสปอนเซอร์ในอเมริกาให้พร้อม ทั้งหมดนี้เป็นกระบวนการที่ใช้เวลาหลายปี ทำให้มีชาวยิวเพียงน้อยรายที่ได้ลี้ภัยเข้าอเมริกาจริงๆ

…และในช่วงนั้น ชาวอเมริกัน 83% ไม่ต้องการรับผู้ลี้ภัยจากทวีปยุโรปเพิ่ม ท่ามกลางกระแสความกังวลว่าชาวยิวอาจเป็นไส้ศึกของเยอรมนี…

หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จึงมีการแก้ไขนโยบายในการรับผู้ลี้ภัยและคนพลัดถิ่นมากขึ้น เช่น ผู้ลี้ภัยสงครามโลกครั้งที่ 2, ผู้ลี้ภัยจากการปฏิวัติฮังการีในปี 1956, ผู้ลี้ภัยจากการปฏิวัติคิวบาปี 1959 กับผู้ลี้ภัยชาวเวียดนาม ลาวและกัมพูชาจากสงครามเวียดนาม

สถานการณ์เรื่องคนเข้าเมืองเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง เมื่อมีการออก “รัฐบัญญัติการเข้าเมืองและสัญชาติปี 1965” เพิ่มโควตา และเปลี่ยนจากการรับคนตามเชื้อชาติมาเป็นการรับคนตามอาชีพและการมีญาติอยู่ในสหรัฐ …สัดส่วนคนเข้าเมืองสหรัฐจากทวีปเอเชียและแอฟริกาจึงค่อยเพิ่มขึ้น

…และในปี 1986 ประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกนจากพรรครีพับลิกันยังเซ็นผ่านกฎหมายนิรโทษกรรมคนเข้าเมืองผิดกฎหมายถึง 3 ล้านคน

แต่แล้วสถานการณ์กลับมาพลิกอีกครั้งหลังเกิดเหตุวินาศกรรม 11 กันยายน 2001 ในช่วงนี้เกิดความกังวลในเรื่องคนเข้าเมือง และฝ่ายที่ต่อต้านคนเข้าเมืองมักโทษว่าเกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านี้:
1) การก่อการร้าย
2) อาชญากรรม
3) การเป็นภาระสวัสดิการ (โดยเฉพาะคนที่ไม่ได้เดือดร้อนถึงขั้น แต่อยากย้ายมาหาชีวิตใหม่ในอเมริกา และคนลี้ภัยข้ามหลายประเทศมาอเมริกา)
4) บวกกับจำนวนคนเข้าเมืองโดยไม่มีเอกสารที่หลั่งไหลเข้ามาจากชายแดนที่ติดกับเม็กซิโก

หลังจากนั้นจึงเห็นความพยายามของทั้งสองพรรคใหญ่ในการเล่นบทขึงขังในการปราบปรามคนเข้าเมืองผิดกฎหมาย

ในช่วงหลังข่าวกระแสคนเข้าเมืองสหรัฐมักเป็นข่าวใหญ่ เช่น ข่าวคาราวานชาวอเมริกากลางที่เดินเท้าผ่านหลายประเทศมายังชายแดนสหรัฐตั้งแต่ปี 2017 (ซึ่งนำมาสู่กระแสเรียกปรากฏการณ์ดังกล่าวว่า “ถูกต่างด้าวบุกประเทศ”) หรือการรับผู้ลี้ภัยจากประเทศที่เกิดสงครามขึ้นในหลายพื้นที่ของโลก นั่นจึงทำให้มีข่าวออกมาตรการคุมเข้มที่ชายแดนออกมาให้ดูเหมือนรัฐบาลมีผลงาน

อย่างไรก็ตาม มีนักวิชาการชี้ว่านโยบายเพิ่มการคุมเข้มการตรวจคนเข้าเมืองที่ชายแดนนั้นให้ภาพดูเหมือนว่าแก้ไขปัญหาได้เท่านั้น แต่จริงๆ จำนวนคนเข้าเมืองไม่ได้ลดลงเลย นอกจากนี้แทนที่คนเหล่านี้จะเดินทางเข้า-ออกประเทศเป็นบางฤดูกาล ก็กลายเป็นเลือกอยู่ยาวๆ เพื่อเลี่ยงการโดนจับแทน กลายเป็นปัญหาอยู่นานเกินอายุวีซ่าไป

ประเด็นคนเข้าเมืองเป็นที่ถูกกล่าวขานถึงมากในยุคทรัมป์ซึ่งมีกระแสวิจารณ์การปฏิบัติต่อคนเข้าเมืองหลายอย่าง เช่น แผนก่อสร้างกำแพงชายแดน, นโยบายพรากพ่อแม่ลูกช่วงสั้นๆ, การสั่งแบนมุสลิมจาก 7 ประเทศห้ามเข้าสหรัฐ, การให้คนที่ขอสมัครลี้ภัยรออยู่ที่ชายแดนฝั่งเม็กซิโก รวมถึงการบังคับใช้กฎหมายควบคุมโรคระบาด “Title 42” ในการห้ามคนเข้าเมืองเข้าประเทศแบบเหมารวม

ผู้ที่เรียกร้องให้จำกัดคนเข้าเมืองมักจะยกประเด็นความแตกต่างระหว่าง “คนเข้าเมืองถูกกฎหมาย” กับ “คนเข้าเมืองผิดกฎหมาย” อย่างไรก็ตามการพิจารณาวีซ่าเข้าเมืองอเมริกานั้นเป็นกระบวนการที่ยุ่งยากและมีข้อจำกัดหลายอย่าง ทั้งด้านจำนวน คุณสมบัติที่หยุมหยิม และความล่าช้า

เช่น วีซ่าสำหรับครอบครัวนั้นบางทีอาจใช้เวลาพิจารณาเป็น 10-20 ปีขึ้นไป, วีซ่าคนทำงานนั้นก็เป็นเพียงวีซ่าชั่วคราวที่ต้องต่ออายุปีต่อปี ไม่ได้รับประกันว่าจะได้รับกรีนการ์ด และบางทีคนเก่งๆ ก็ถูกเนรเทศออกประเทศไปได้เหมือนกัน, หรือนโยบายของทรัมป์ที่จำกัดเพดานจำนวนผู้ลี้ภัยเหลือเพียงปีละ 15,000 คน

…เมื่อช่องทางสำหรับการเข้าเมืองอย่างถูกกฎหมายจำกัดอย่างยิ่ง จะจูงใจให้คนใช้ช่องทางตามกฎหมายในการเข้าประเทศได้อย่างไร?

ที่ผ่านมามีการเรียกร้องให้ปฏิรูปกฎหมายคนเข้าเมืองในสหรัฐที่มีการปรับปรุงล่าสุดในปี 1986 ในยุคประธานาธิบดีบุชผู้ลูกได้มีการเตรียมผ่านร่างกฎหมายปฏิรูปคนเข้าเมืองที่จะช่วยลดคนเข้าเมืองผิดกฎหมายแล้ว แต่ก็หยุดชะงักไปหลังจากเหตุ 911

ในยุคโอบามา สภายังเคยผ่านร่างกฎหมายโดยประเด็นหลักๆ ที่มีการเสนอคือ เปิดช่องทางทำให้คนเข้าเมืองผิดกฎหมายกลายเป็นถูกกฎหมาย, โครงการคนงานชั่วคราว, การเพิ่มวีซ่าให้คนงานต่างด้าวที่มีทักษะ และการพัฒนาระบบติดตามการจ้างคนเข้าเมืองผิดกฎหมาย …แต่ร่างกฎหมายดังกล่าวก็ไม่ผ่านเพราะกลการเมือง

ในยุคไบเดนส่วนใหญ่ยังคงรับนโยบายหลายอย่างมาจากยุคทรัมป์ รวมทั้งการคงกฎหมาย “Title 42” แต่เรื่องนี้กลายเป็นข่าวใหญ่ขึ้นมาเมื่อพรรครีพับลิกันในสภา “ดึงเช็ง” ร่างกฎหมายให้การสนับสนุนทางอาวุธต่อยูเครนและไต้หวันเพื่อแลกกับให้ไบเดนแก้ไขมาตรการรับมือคนเข้าเมืองผิดกฎหมาย

ในเดือน ม.ค. 2024 มีข่าวว่าการเจรจาต่อรองในเรื่องการแลกเสียงสนับสนุนในร่างกฎหมายดังกล่าวกับเรื่องคนเข้าเมืองระหว่างสองพรรคใหญ่ใกล้สำเร็จอยู่แล้ว แต่ต่อมาพรรครีพับลิกันได้ถอนตัวจากดีลดังกล่าวแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย

ต่อมามีบทสนทนาหลุดจากมิตช์ แม็คคอนแนล (ผู้นำ ส.ว. เสียงข้างน้อย พรรครีพับลิกัน) ว่าทรัมป์ต้องการหาเสียงจากเรื่องคนเข้าเมือง จึง “ไม่ต้องการทำอะไรเพื่อบ่อนทำลายเขา” รวมถึงมิตต์ รอมนีย์ (ส.ว. และอดีตผู้ลงสมัครประธานาธิบดี พรรครีพับลิกัน) ที่ให้สัมภาษณ์ว่า “เขา (ทรัมป์) จะสื่อสารกับ ส.ว. และ ส.ส. รีพับลิกันว่าเขาไม่ต้องการให้เราแก้ไขปัญหาชายแดนเพราะเขาต้องการโทษไบเดน ซึ่งมันค่อนข้างน่าเกลียด”

และในช่วงปลายเดือน ม.ค. 2024 มีข่าวเผชิญหน้าระหว่างรัฐเท็กซัสกับรัฐบาลไบเดน หลังจากที่เกร็ก แอบบอต ผู้ว่าการรัฐเท็กซัสดำเนินมาตรการหลายอย่างที่เป็นการขัดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองส่วนกลาง โดยอ้างว่าตอนนี้เป็น “ภาวะวิกฤต” ที่ถูกคนต่างด้าว “รุกราน” จึงใช้อำนาจนอกเหนือจากที่กำหนดให้แก่รัฐต่างๆ ตามปกติ เขาคนนี้ยังใช้วิธีขนคนเข้าเมืองผิดกฎหมายขึ้นรถบัสไปยังเมืองต่างๆ ที่มีนโยบายคุ้มครองคนเหล่านี้ด้วย

ต่อมาผู้ว่าการรัฐจากพรรครีพับลิกันจำนวน 25 รัฐออกโรงสนับสนุนการกระทำของแอบบอต ตอนนี้ภาพที่ออกมาเลยดูเหมือนว่าครึ่งประเทศกำลังขัดขืนรัฐบาลไบเดนอยู่ นอกจากนี้ยังมีกระแสแยกตัวออกและสงครามกลางเมืองถูกพูดถึงอยู่เรื่อยๆ

…แต่ถ้าหากเราถอยออกมามองภาพใหญ่ เรื่องราวดราม่าที่เกิดขึ้นนี้ก็มีจุดมุ่งหมายทางการเมืองในช่วงเตรียมเลือกตั้งประธานาธิบดีในเดือน พ.ย. ที่จะถึงนี้มากกว่า เป็นบทละครโรงใหญ่ที่เอาชีวิตมนุษย์มาเป็นตัวประกัน

ก็คงต้องดูกันต่อไปว่า เรื่องราวนี้จะไปจบที่ตรงไหน แต่ที่แน่ๆ ในอนาคตสังคมอเมริกันจะยิ่งแตกแยกทางความคิดมากขึ้น การร่วมมือระหว่างนักการเมืองสองพรรคใหญ่ที่ทุกวันนี้ก็น้อยอยู่แล้วอาจหายไปเลยก็ได้ รวมทั้งแอบบอตยังเดินเกมอันตรายด้วยการยกว่ารัฐต่างๆ มีสิทธิขัดขืนรัฐบาลกลางได้ ถ้ารัฐอื่นๆ ทำตามบ้าง ทีนี้อเมริกาก็อาจไม่เป็นหนึ่งเดียวอีกต่อไป

และในเรื่องคนเข้าเมืองที่เป็นประเด็นหลักของ “วิกฤตการเมือง” ในรอบนี้ เราจะเห็นว่าที่ผ่านมาหลายยุคหลายสมัย การเข้าเมืองสหรัฐอย่างถูกกฎหมายนั้นเต็มไปด้วยกฎเกณฑ์ที่ผู้นำในขณะนั้นตั้งขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์ในแต่ละยุคสมัย เช่น ยุคที่เคร่งครัดในเรื่องเชื้อชาติของคนเข้าเมือง มาจนถึงยุคที่ต้องการคนงานมีทักษะ

เรายังเห็นอีกว่าแท้ที่จริงความพยายามแก้ไขปัญหาด้วยการปฏิรูประบบคนเข้าเมืองอย่างจริงจังยังมีอยู่ แต่กลายเป็นถูกกลบด้วยเกมการเมืองที่ต่างฝ่ายต่างกล่าวหากันด้วยข้อแตกต่างทางอุดมการณ์ กลายเป็นว่าถ้าคิดต่างคือผิดสถานเดียว เช่น การกล่าวหาว่าคนที่ต่อต้านการเข้าเมืองเป็นพวกเหยียดเชื้อชาติหรือเกลียดคนต่างชาติไปเสียหมด หรือการกล่าวหาว่าคนที่สนับสนุนการเข้าเมืองสนับสนุนผู้ก่อการร้าย หรือหวังคะแนนเสียงอย่างเดียว

…ถ้าอยากจะแก้ปัญหานี้จริงๆ มันก็ทำได้อยู่หรอก แต่ดูแล้วสิ่งที่เกิดขึ้นมันคือมันมีคนไม่อยากให้สงบนี่สิ!?…

#TWCNews #TWCUSA