ถ้าหากคุณผู้อ่านได้ติดตามเรื่องราวการประท้วงอิสราเอลของชาวปาเลสไตน์ อาจสังเกตได้ว่ากลุ่มผู้ชุมนุมทั้งหญิงชายหลายคนคลุมผ้าโพกหัวสีขาวลายดำ …ส่วนหนึ่งอาจมองว่าเป็นการปิดหน้าตามิให้ทางการอิสราเอลเห็น แต่ส่วนหนึ่งก็เป็นการแสดงออกทางสัญลักษณ์ที่คนกลุ่มนี้มีร่วมกัน

ผ้าคลุมดังกล่าว เรียกกันในหมู่คนปาเลสไตน์ว่า “คูฟิยะห์” หรือ “เคฟฟีเยห์” ที่เราอาจรู้จักกันทั่วๆ ไปในชื่อ “ผ้าชีมัค” ซึ่งเป็นผ้าแบบเดียวกับที่ชาวตะวันออกกลางหลายๆ ประเทศสวม แต่ความพิเศษของมันสำหรับปาเลสไตน์นั้นมีอะไรให้เล่ามากมาย

บทความนี้ผมจะพาท่านไปรู้จักจุดเริ่มต้นของผ้าคูฟิยะห์, สาเหตุที่ผ้าชนิดนี้กลายเป็นสัญลักษณ์การต่อสู้ของชาวปาเลสไตน์, และสถานะของผ้าคูฟิยะห์ในปัจจุบัน…

เรื่องของผ้าชีมัค และคูฟิยะห์

“ผ้าชีมัค” (Shemagh) เป็นสัญลักษณ์ของชาวอาหรับในวัฒนธรรมทะเลทรายมาหลายพันปี มักทอด้วยฝ้าย ใช้สำหรับช่วยป้องกันฝุ่นควันความร้อนในตอนกลางวันและความหนาวเย็นในตอนกลางคืน

ชาวอาหรับแต่ละเผ่าจะมีลายผ้าชีมัคคนละลายกัน ผ้าชีมัคของปาเลสไตน์หรือเรียกว่า “คูฟิยะห์” จะต่างจากผ้าคูฟิยะห์ของชาวอาหรับทั่วไป ตรงที่มีสีขาวลายดำเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งมักมีสามลายร่วมกันในผืนเดียว ได้แก่:

1) “ลายแหจับปลา” สะท้อนความสัมพันธ์ของชาวปาเลสไตน์กับท้องทะเล หมายถึงความอุดมสมบูรณ์และสวยงาม

2) “ลายคลื่นน้ำ” หรือที่บางคนจะเรียกว่า “ลายมะกอก” เป็นตัวแทนของความแข็งแกร่งและอดทนต่ออุปสรรคทั้งปวง

3) “เส้นตรง” หมายถึงหนทางที่ทอดยาวในปาเลสไตน์ ทำให้มีการค้าขาย นำมาซึ่งความรุ่งเรือง และเชื่อมความหลากหลายของสังคม

ผ้าคูฟิยะห์ในเชิงสัญลักษณ์

ผ้าคูฟิยะห์เป็นเครื่องนุ่งห่มสำคัญชาวปาเลสไตน์ ในยุคที่ปาเลสไตน์เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรออตโตมัน ชนชั้นสูงนิยมหันไปใส่หมวกเฟซ (Fez) กันมากกว่า ใครยังใส่คูฟิยะห์จะถูกมองว่าเป็นชาวนาบ้านนอก …เพราะพวกชาวนาก็นิยมใส่จริงๆ เนื่องจากมันกันแดดระหว่างทำไร่ทำนาได้ดี

กระแสสวมผ้าคูฟิยะห์ในหมู่คนปาเลสไตน์กลับมาฮิตอีกครั้งช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยมากับกระแสชาตินิยมปาเลสไตน์ที่เกิดขึ้นมาตอบโต้การที่กลุ่มไซออนิสต์พยายามอพยพชาวยิวจำนวนมากมาดินแดนปาเลสไตน์เพื่อตั้งรัฐยิวขึ้น เนื่องจากเป็นดินแดนปาเลสไตน์เป็นแผ่นดินแห่งพันธสัญญาที่ชาวยิวมีความผูกพันทางจิตวิญญาน

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 (1914 – 1918) อาณาจักรออตโตมันล่มสลาย ดินแดนปาเลสไตน์ตกเป็นของอังกฤษ ซึ่งอังกฤษดำเนินการแบ่งแยกแล้วปกครอง โดยเอาใจชาวยิว

ช่วงทศวรรษ 1930s ชาวอาหรับปาเลสไตน์ลุกขึ้นมาต่อต้านอังกฤษกับยิวด้วยการก่อจลาจล โดยพวกเขาแสดงความเป็นหนึ่งเดียวกันด้วยการเลิกใส่หมวกเฟซ แล้วกลับไปใส่คูฟิยะห์แบบดั้งเดิม (อนึ่งผ้าคูฟิยะห์ยังใช้พรางตัวได้ดีในสมรภูมิด้วย)

แม้พวกเขาจะพ่ายแพ้ แต่ผ้าคูฟิยะห์ก็กลายเป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้ของชาวปาเลสไตน์เพื่อปลดแอกจากการกดขี่นับแต่นั้น

นักเคลื่อนไหวคนสำคัญ

นักเคลื่อนไหวชาวปาเลสไตน์จำนวนมากสวมคูฟิยะห์ แต่ไม่มีใครเป็นภาพจำเท่า “ยัสเซอร์ อราฟัต” (1929 – 2004) ผู้นำองค์การปลดปล่อยปาเลสไตน์ (PLO) ซึ่งหมายจะให้ปาเลสไตน์มีเอกราชปกครองตัวเอง

ก่อนหน้านี้เขาสู้กับอิสราเอลและประเทศตะวันตกด้วยวิธีกองโจรและก่อความไม่สงบ กระทั่งปี 1974 อราฟัตได้เปลี่ยนท่าที สั่งลดการโจมตี เพิ่มการเจรจา เพื่อให้รีแบรนด์ให้กลุ่มของตนมีภาพลักษณ์ดีขึ้น ซึ่งสันนิบาตอาหรับและสหประชาชาติก็ให้การรับรอง

ระหว่างเหตุการณ์ “อินติฟาดา” หรือการลุกฮือครั้งใหญ่ของชาวปาเลสไตน์ต่ออิสราเอลในปี 1987 – 1993 PLO ได้ประกาศตั้ง “รัฐปาเลสไตน์” ซึ่งมีสถานะเหมือนรัฐบาลพลัดถิ่น โดยมีอราฟัตเป็นผู้นำ และผลักดันแนวคิด “การปกครองแบบสองรัฐ” เพื่อแยกอิสราเอลกับปาเลสไตน์ออกจากกัน โดยให้ชาวอาหรับมีสิทธิปกครองเหนือเขตเวสต์แบงค์และกาซา

ในปี 1991 อเมริกาและโซเวียตเห็นว่าการประท้วงยืดเยื้อ จึงจัดการเจรจาให้แก่อาหรับและอิสราเอล นำไปสู่กระบวนการการทำ “สนธิสัญญาออสโล” ในปี 1993 ให้อิสราเอลถอนทหารออกจากเวสต์แบงค์และกาซา มอบสิทธิแก่ชาวปาเลสไตน์ให้ปกครองตัวเอง และให้อิสราเอลยอมรับ PLO เป็นผู้แทนชาวปาเลสไตน์อย่างถูกต้อง โดย PLO ก็ต้องยอมรับอิสราเอลในฐานะประเทศ ไม่ก่อความรุนแรง ไม่มุ่งทำลายล้างอิสราเอล

แม้สัญญานี้จะไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างเป็นธรรม และอราฟัตจะเสียชีวิตไปในปี 2004 โดยไม่ได้เห็นรัฐปาเลสไตน์อย่างหวัง แต่ชื่อของเขาก็ถูกจดจำในฐานะวีรบุรุษมาจนถึงปัจจุบัน

เห็นได้จากการที่ถึงแม้คนปาเลสไตน์จะมีเงินไม่มาก แต่พวกเขาก็ได้ร่วมกันระดมเงินเพื่อสร้างหลุมศพให้ยัสเซอร์ อราฟัต อย่างสวยงาม

การกลายเป็นแฟชั่น และความเสื่อม

ต่อมาตั้งแต่ปี 2000 เมื่อทหารจากชาติตะวันตกเข้ามาทำภารกิจตะวันออกกลาง ได้มีการปรับใช้ผ้าคูฟิยะห์เข้ามาใช้กันฝุ่นทราย ทำให้ผ้าคูฟิยะห์ถูกมองว่า “เท่” เช่นเดียวกับเครื่องแต่งกายแนวเดียวกันอย่างแจ็กเก็ตนักบิน, กางเกงลายพราง, แว่นเรย์แบน ฯลฯ

ด้วย “ความเท่” ของผ้าคูฟิยะห์ทำให้กลายเป็นสินค้าแฟชั่นที่ฮิตไปทั่วโลก แบรนด์เสื้อผ้าจากทั้งฝั่งยุโรปและอเมริกามักใช้มันประกอบคอลเลคชั่นใหม่ๆ ที่ต้องการอารมณ์เถื่อนๆ ลุยๆ

และด้วยกระแสความนิยมที่เพิ่มขึ้นนี่เอง ส่งผลให้เกิดผ้าทอเลียนแบบจำนวนมากทั้งจากจีนและอินเดีย จนทำให้ช่างทอปาเลสไตน์ต่างล้มเลิกกิจการไป เพราะสู้ต้นทุนไม่ไหว

(ชาวปาเลสไตน์ประสบปัญหาในการทำการค้ามาก เพราะถูกจำกัดให้อยู่ในกำแพง อ่านเรื่องนี้เพิ่มได้ในลิงก์บทความตรงคอมเมนต์นะครับ)

ตอนนี้ผู้ผลิตผ้าคูฟิยะห์แบบดั้งเดิมนั้นเหลืออยู่เพียงโรงงานเดียวในปาเลสไตน์ โดยชื่อว่าโรงงาน “ยัสเซอร์ ฮิร์บาวี” ตั้งอยู่ในเมืองเฮบรอน ซึ่งแม้พวกเขาจะประสบปัญหาสภาพคล่องอยู่เสมอ แต่ก็ไม่สามารถล้มเลิกกิจการได้เนื่องจากพวกเขาต้องการอนุรักษ์และรักษาจิตวิญญาณประเพณีที่เป็นสัญลักษณ์ของชาวปาเลสไตน์ให้คงอยู่ต่อไป

ฮิร์บาวีเป็นโรงงานเล็กๆ มีเครื่องจักรสำหรับผลิตอยู่เพียง 15 คัน ทุกวันนี้ไม่ได้ทำงานทุกคัน บางวันก็ทำงานแค่ 2 คัน เพราะผ้าคูฟิยะห์แบบดั้งเดิมไม่ได้รับความนิยมเท่าแต่ก่อน นอกจากนั้นยังมีราคาแพงกว่าของเลียนแบบจากต่างประเทศ

อย่างไรก็ตามโรงงานฮิร์บาวีก็ยังยืนหยัดท่ามกลางกระแสความเปลี่ยนแปลง และเพิ่งฉลองครบรอบ 60 ปีไปเมื่อ 2021 ที่ผ่านมานี้เอง

ทั้งนี้โรงงานฮิร์บาวียังพยายามผลิตผ้าคูฟิยะห์รูปใหม่ๆ ควบคู่กันไปกับแบบดั้งเดิม เพื่อให้ผ้าคูฟิยะห์มีความเป็นสมัยนิยม ให้ทุกคนสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้

ยัสเซอร์ ฮิร์บาวี ผู้ก่อตั้งโรงงานเคยพูดไว้ว่า “เราจะทำอะไรได้บ้างเล่า? นี่เป็นงานและวิถีชีวิตของเรา หากพระเจ้าทรงเมตตา พวกเราจะไม่หยุดผลิตคูฟิยะห์ดั้งเดิมที่ผลิตขึ้นในปาเลสไตน์”

คูฟิยะห์ในปัจจุบัน

ผ้าคูฟิยะห์ขาวลายดำแบบฉบับดั้งเดิมนั้น นอกจากจะเป็นวัฒนธรรมอันทรงคุณค่าแล้ว ยังมีสถานะที่สื่อถึงการสนับสนุนเสรีภาพของมนุษย์ โดยไม่ได้จำกัดแค่ในวงชาวปาเลสไตน์อีกต่อไป

ยกตัวอย่างเช่นกลุ่มนักเคลื่อนไหวชาวยิวที่ไม่เห็นด้วยกับการกดขี่ชาวปาเลสไตน์ ก็ยังร่วมกันใส่ผ้าคูฟิยะห์เพื่อแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ ซึ่งคนกลุ่มนี้จะโดนกลุ่มยิวอนุรักษ์นิยมเรียกอย่างเหยียดหยามว่า keffiyeh kinderlach หรือ “เด็กน้อยคูฟิยะห์” ประมาณว่าเป็นเด็กอมมือไม่รู้ความ จึงโลกสวยไปช่วยเหลือพวกปาเลสไตน์

อนึ่งผู้สนับสนุนปาเลสไตน์มักไม่ได้สวมผ้าคูฟิยะห์ปิดหน้าปิดตา แต่เป็นสวมแบบผ้าพันคอ โดยมากจะเป็นทรงสามเหลี่ยม (แบบคาวบอย) ทั้งนี้เพราะเหมือนสามเหลี่ยมในธงปาเลสไตน์