ซาซาเนียนเป็นอาณาจักรสุดท้ายของอารยธรรมเปอร์เซียก่อนการพิชิตของชาวมุสลิมในศตวรรษที่ 7 – 8 ก่อนคริสตศักราช ราชวงศ์ซาซาน มีอายุยาวนานกว่าสี่ศตวรรษ ตั้งแต่ ค.ศ. 224 ถึง ค.ศ. 651 ทำให้เป็นราชวงศ์ของจักรวรรดิเปอร์เซียที่มีอายุยืนยาวที่สุด จักรวรรดิซาซาเนียนสร้างชาวเปอร์เซียขึ้นใหม่ในฐานะมหาอำนาจในสมัยโบราณตอนปลาย เคียงคู่ศัตรูตัวฉกาจที่ห่ำหั่นกันอย่างจักรวรรดิโรมัน
จักรวรรดิซาซาเนียน ถือเป็นยุคที่รุ่งเรืองของอารยธรรมเปอร์เซียอีกยุคหนึ่ง ทั้งยังได้วางรากฐานศิลปะ วัฒนธรรม วิทยาการต่าง ๆ ไว้มากมาย จักรวรรดิซาซาเนียนในยุคแรก ๆ จนถึงช่วงบั้นปลายจะเป็นอย่างไรมาดูกันครับ
อาณาจักรนี้ก่อตั้งโดยอาร์ดาชีร์ที่ 1 (Ardashir I)
ขึ้นสู่อำนาจเมื่อจักรวรรดิพาร์เธียอ่อนแอลงจากการเมืองภายใน และการทำสงครามกับชาวโรมัน หลังจากเอาชนะอาร์ตาบานุสที่ 4 (Artabanus IV) จักรวรรดิพาร์เธียคนสุดท้ายในปี 224 เขาได้ก่อตั้งราชวงศ์ซาซาเนียน และออกเดินทางเพื่อฟื้นฟูมรดกของจักรวรรดิอะคีเมนิด (Achaemenid) โดยการขยายอำนาจการปกครอง และถือเป็นการขยายอาณาเขตที่ยิ่งใหญ่ที่สุด จักรวรรดิซาซาเนียนมีพื้นที่ครอบคลุมอิหร่านและอิรักในปัจจุบันทั้งหมด และขยายจากทะเลเมดิเตอร์เรเนียนตะวันออก (รวมถึงอานาโตเลียและอียิปต์) ไปจนถึงบางส่วนของปากีสถานในปัจจุบัน ตลอดจนจากบางส่วนของอาระเบียตอนใต้ไปจนถึงคอเคซัสและเอเชียกลาง
ฟื้นฟูศาสนาโซโรอัสเตอร์
อาร์ดาชีร์ที่1 ปฏิรูปเปอร์เซียโดยการรวมศูนย์อำนาจ ตั้งศาสนาประจำชาติแข่งขันกับโรม นอกจากนี้จักรวรรดิซาซาเนียนยังสร้างวิหารไฟในดินแดนที่ถูกยึดครองเพื่อส่งเสริมศาสนา โดยเฉพาะแถบคอเคซัสที่พวกเขามีอำนาจมาหลายศตวรรษ
รัชสมัยของชาปูร์ที่ 1 (Shapur I)
ชาปูร์ที่ 1 เป็นกษัตริย์ซาซาเนียนองค์ที่สองของกษัตริย์แห่งอารยธรรมเปอร์เซีย ในระหว่างที่เขาดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เขาช่วยพ่อของเขาในการพิชิตและทำลายเมืองฮาทรา (Hatra) ของอาหรับ ซึ่งในขณะที่เขาปิดล้อมเมืองฮาทราอยู่ เขาได้รับการช่วยเหลือ อัล-นาดิราห์ (al-Nadirah) เจ้าหญิงที่ตกหลุมรักชาปูร์ที่ 1
เมืองทางตะวันออกของอาณาจักรซาซาเนียน ที่มีพรมแดนติดกับดินแดนของคูซาน (Kushans) และดินแดนของซากาส์ (Sakas) ในปัจจุบันคือเติร์กเมนิสถาน อัฟกานิสถาน และปากีสถาน ด้วยอำนาจของ อาร์ดาชีร์ บิดาของชาปูร์ ทำให้กษัตริย์คูซานและซากาส์เกรงกลัว และส่งเครื่องบรรณาการให้กับจักรวรรดิซาซาเนียน
ไม่นานหลังจากอาร์ดาซีร์เสียชีวิตลง กษัตริย์ของทั้งสองเมืองต่างเริ่มแข็งขืนกับชาปูร์ จึงทำให้ชาปูร์ต้องการที่จะแสดงอำนาจต่อเมืองใต้ปกครอง จึงทำการเดินทัพไปต่อสู้พร้อมทั้งยึดครอง และส่งลูกชายของตนไปเป็นกษัตริย์ของทั้งสองเมือง
ชาปูร์ก่อสงครามกับโรม
เมื่อสิ้นสุดรัชกาลอาร์ดาซีร์ที่ 1 ชาปูร์ได้พิชิตป้อมปราการเมโสโปเตเมีย นิซิบิส (Nisibis) และ คาร์แร (Carrhae) นอกจากนี้ยังได้รุกคืบเข้าไปในซีเรีย ในปี 242 ชาวโรมันภายใต้จักรพรรดิ กอร์เดียนที่ 3 (Gordian III) พวกเขาได้ออกเดินทางไปต่อต้านกองทัพของชาปูร์ ด้วยกองทัพขนาดใหญ่
ต่อมาชาวโรมันเข้าตีเมโสโปเตเมียตะวันออกที่ชาปูร์เข้าครอง แต่ต้องเจอกับกองทัพของจักรวรรดิซาซาเนียน นำโดยชาปูร์ที่ 1 กอร์เดียนที่ 3 แพ้อยู่หลายหน จึงทำให้ถูกสังหารโดยกองทหารของเขาเอง จากนั้น ฟิลิปชาวอาหรับจึงขึ้นมาเป็นจักรพรรดิแทน ฟิลิปไม่อยากทำผิดพลาดเหมือนจักรพรรดิคนก่อน และทราบดีว่าเขาต้องกลับไปกรุงโรมเพื่อรักษาตำแหน่งในวุฒิสภา ฟิลิปจึงขอเจรจาสันติภาพกับชาปูร์ที่ 1 ในปี 244 โดยตกลงว่าอาร์เมเนียจะอยู่ในขอบเขตอิทธิพลของเปอร์เซีย และจ่ายเงินจำนวน 500,000 เดนาร์ให้กับชาปูร์ที่ 1
การรุกรานอาณาจักรอาร์เมเนีย
ชาปูร์ที่ 1 นำกองทัพขนาดใหญ่บุกยึดอาร์เมเนีย และได้แต่งตั้งฮอมิซด์ (Hormizd I) ลูกชายของตนขึ้นเป็นกษัตริย์ เมื่ออาร์เมเนียถูกปราบปราม จอร์เจียจึงยอมจำนนต่อจักรวรรดิซาซาเนียนและตกอยู่ภายใต้การดูแลของทางการซาซาเนียน
สงครามกับโรมันครั้งที่สอง
ชาปูร์ที่ 1 ใช้การรุกรานของโรมันในอาร์เมเนียเป็นข้ออ้างในการกลับมาห่ำหั่นต่อสู้กันอีกครั้ง สงครามครั้งนี้เรียกว่าสงครามบาร์บาลิสโซ(Battle of Barbalissos) โดยกองทัพของจักรวรรดิซาซาเนียนโจมตีกองกำลังโรมัน 60,000 คน จนฝ่ายของโรมันได้พ่ายแพ้ไป ในศึกครั้งนี้ทำให้อาณาเขตของโรมันฝั่งตะวันออกเกิดช่องโหว่ ทำให้กองทัพของชาปูร์นำทหารไปบุกยึดอันทิโอก (Antioch) และดูรายูโรโป (Dura Europos) ในอีกสามปีต่อมา
การต่อสู้ในเอเดสซา (Edessa)
ในช่วงที่ชาปูร์รุกรานซีเรีย เขายึดเมืองสำคัญของโรมันอย่างเมืองอันทิโอก จักรพรรดิวาเลอเรี่ยน (ปี ค.ศ. 253–260) ได้นำกองทัพเดินทัพต่อต้านชาปูร์ และในปี ค.ศ. 257 วาเลอเรี่ยนได้ยึดเมืองอันทิโอกกลับคืนมา และคืนซีเรียให้อยู่ในการควบคุมของโรมัน กองทหารของชาปูร์ล่าถอยอย่างรวดเร็ว ทำให้วาเลอเรี่ยน ไล่ตามไปยังเอเดสซา วาเลอเรี่ยนพบกับกองทัพของชาปูร์ ซึ่งเป็นกองทัพหลัก ทำให้วาเลอเรี่ยน
พ่ายแพ้อย่างยับเยินและถูกจับในทันที
นาร์เซห์(Narseh) ทำสงครามกับโรม
หลังชาปูร์ที่ 1 เสียชีวิตในปี ค.ศ. 270 จักรวรรดิซาซาเนียนได้เปลี่ยนกษัตริย์มาหลายพระองค์ โดยส่วนใหญ่ก็จะเป็นลูกชายและหลานของชาปูร์ที่ 1 จนเมื่อ ค.ศ. 295 – 296 กาเลเรียส (Galerius) จักรพรรดิโรมันได้ทำการบุกเมโสโปเตเมีย ผู้นำกองทัพของจักรวรรดิซาซาเนียนในแถบนั้นคือนาร์เซห์ บุตรชายของชาปูร์ที่ 1 ผู้ซึ่งสืบราชบัลลังก์ ได้ทำการสู้รบกับกองทัพของโรมันอย่างดุเดือด สู้กันถึงสามครั้ง โดยครั้งสุดท้ายกาเลเรียสต้องแพ้ให้กับนาร์เซห์ จึงถอยทัพกลับมาตั้งหลักเพื่อจะแก้แค้น
ต่อมาในปี ค.ศ. 297 – 298 กาเลเรียสพร้อมกองทหารจำนวนมาก ได้เข้าต่อสู้กับกองทัพของนาร์เซห์ ซึ่งกาเลเรียสได้รับช่วยเหลือจากชาวอาร์เมเนีย จึงทำให้ฝั่งของจักรวรรดิซาซาเนียนต้องพ่ายแพ้ และเสียดินแดนหลายแห่งให้กับโรมัน
หลังจากนั้นก็มีกษัตริย์แห่งจักรวรรดิซาซาเนียน ขึ้นครองราชย์ต่อจากนาร์เซห์อีกสองพระองค์ จนถึงยุคต่อไป ยุคทองอีกหนึ่งยุคของจักรวรรดิซาซาเนียน…
รัชสมัยของชาปูร์ที่ 2
ชาปูร์ที่ 2 เป็นกษัตริย์ที่ครองราชย์นานถึง 70 ปี จากปี ค.ศ.309 – 379 รัชกาลของพระองค์ได้เห็นการฟื้นตัวทางทหาร และการขยายอาณาเขต ซึ่งถือเป็นยุคทองของจักรวรรดิซาซาเนียน อีกทั้งพระองค์ดำเนินนโยบายทางศาสนาที่เข้มงวดอย่างมาก พระองค์ได้ทำการรวบรวม อเวสตะ (Avesta) ซึ่งเป็นคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาโซโรอัสเตอร์เสร็จสมบูรณ์ กล่าวได้ว่าพระองค์เป็นหนึ่งในกษัตริย์ของจักรวรรดิซาซาเนียนที่โด่งดังอีกคนหนึ่ง
สงครามครั้งแรกของชาปูร์ที่ 2 กับโรมัน
ชาปูร์ที่ 2 เรียกร้องให้ชาวโรมันทุกภูมิภาคที่บรรพบุรุษของเขาเคยเป็นเจ้าของ และให้ยอมจำนนต่อตน ชาวโรมันตอบโต้โดยเพิ่มการสนับสนุนกษัตริย์คริสเตียนแห่งอาร์เมเนียต่อเพื่อการรุกรานของซาซาเนียน
ในปี ค.ศ.312 คอนสแตนตินมหาราช ทำให้ความสัมพันธ์ของกรุงโรมกับชาวซาซาเนียนแย่ลง โดยศาสนาคริสต์เป็นศาสนาที่ถูกต้องตามกฎหมายของอาณาจักรของพวกเขา และประกาศตนเป็นผู้พิทักษ์และผู้ปกป้องชาวคริสต์ทุกคน รวมทั้งผู้ที่อาศัยอยู่ในดินแดนซาซาเนียน โรมกำลังสนับสนุนศาสนาคริสต์อย่างแข็งขันในอาร์เมเนียที่อยู่ใกล้เคียง ซึ่งเป็นภูมิภาคที่ชาปูร์ที่ 2 เชื่อว่าเป็นของเขา
ในปี ค.ศ.337- 361 ชาปูร์ที่ 2 ได้ยกทัพบุกเมโสโปเตเมียของโรมัน และยึดอาร์เมเนียได้ ซึ่งมีการสู้รบกันเก้าครั้ง หลังจากยึดครองได้แล้ว และประกาศเก็บภาษีสองเท่ากับชาวคริสต์ทุกคนที่อาศัยอยู่ภายใต้จักรวรรดิซาซาเนียน ทำให้ผู้นำชาวคริสต์ปฏิเสธที่จะจ่าย และประกาศไม่ให้คริสเตียนคนอื่น ๆ ไม่ต้องจ่าย นำไปสู่การกดขี่ข่มเหงชาวคริสต์ จนมีผู้เสียชีวิตกว่า 16,000 คน
สงครามครั้งที่ 2 ของชาปูร์กับโรมัน
ในปี ค.ศ. 363 จักรพรรดิจูเลียน(Julian) เป็นผู้นำกองทัพที่แข็งแกร่งของโรมัน ได้รุกคืบเข้าสู่เมืองหลวงของชาปูร์ที่ 2 ชื่อว่า เทสไซฟอน (Ctesiphon) และสามารถเอาชนะกองทัพขนาดใหญ่ของชาปูร์ได้ แต่จูเลียนก็ไม่สามารถยึดเมืองที่มีป้อมปราการ หรือตีเข้าถึงกองทัพเปอร์เซียหลัก ที่มีชาปูร์ที่ 2 บัญชาการอยู่
ด้วยความระห่ำของกองทัพเปอร์เซีย จูเลียนถูกสังหาร ระหว่างการถอยกลับไปยังอาณาเขตของโรมัน ทำให้โจเวียน (Jovian) ขึ้นมาเป็นจักรพรรดิแห่งโรมันแทน เมื่อกองทัพของโรมันเสียขวัญกำลังใจ โจเวียนจึงได้ถอยทัพ และขอทำสนธิสัญญากับชาปูร์ที่ 2 คือให้เขาถอยทัพกลับอย่างปลอดภัย ทั้งนี้ยังได้มอบเมืองนิซิบิส (Nisibis) เมืองซิงการา (Singara) จอร์เจียและอาร์เมเนียจะอยู่ภายใต้การควบคุมของจักรวรรดิซาซาเนียน และห้ามไม่ให้ชาวโรมันเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกิจการของอาร์เมเนียอีก ภายใต้ข้อตกลงนี้ ชาปูร์ที่ 2 เข้าควบคุมอาร์เมเนียและจับกษัตริย์ (Arsaces II) และจับขังไว้ในปราสาทแห่งการลืมเลือน (Castle of Anyuš in Ḵuzestān)
ยุทธการที่อวาเรเยอร์ (The Battle of Avarayr)
ยุทธการที่อวาเรเยอร์ เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน ค.ศ. 451 บนที่ราบอวาเรเยอร์ ในวัสปูรากัน (Vaspurakan) ระหว่างกองทัพคริสเตียนอาร์เมเนียภายใต้การนำของ วาร์ดาน มามิโกเนียน (Vardan Mamikonian) เป็นผู้นำทางทหารชาวอาร์เมเนียซึ่งเป็นผู้นำการกบฏต่อจักรวรรดิซาซาเนียน และฝ่ายทหารเปอร์เซีย แห่งซาซาเนียน ถือเป็นหนึ่งในการต่อสู้ครั้งแรกเพื่อปกป้องความเชื่อ ความศรัทธา ของเหล่าคริสเตียน
ฝ่ายเปอร์เซียจะได้รับชัยชนะในสนามรบ ถือเป็นชัยชนะครั้งใหญ่ และทั้งสองฝ่ายได้ทำสนธิสัญญา Nvarsak เพื่อยุติปัญหาความขัดแย้ง ในปี ค.ศ. 484 ซึ่งให้สิทธิ์เสรีภาพของชาวอาร์เมเนียในการนับถือศาสนาคริสต์อย่างเสรี
เฮฟทาไลต์ (Hephthalite) เอาชนะจักรวรรดิซาซาเนียน
เฮฟทาไลต์เป็นชนชาติที่อาศัยอยู่ในเอเชียกลาง พวกเขาก่อตั้งอาณาจักร และเริ่มมีบทบาททางการทหารในแถบถิ่นนี้มากมาย ใน ค.ศ.474 พวกเขาเอาชนะเปรอซที่ 1 (Peroz I ) แห่งจักรวรรดิซาซาเนียน ทั้งนี้จักรวรรดิซาซาเนียนยังต้องส่งส่วยให้กับเฮฟทาไลต์ด้วย และอีกหลายเมืองที่อยู่ในอาณาเขตของจักรวรรดิซาซาเนียน ก็โดนเฮฟทาไลต์เข้าปกครอง
เฮฟทาไลต์ กองทัพอารักขาคาวัด (Kavad)
หลังจากเฮฟทาไลต์ได้รับชัยชนะเหนือเปรอซที่ 1 ชาวเฮปทาไลต์ก็กลายเป็นผู้มีพระคุณของคาวัดที่ 1 บุตรชายของเปรอซที่ 1
ขณะที่บาลัช น้องชายของเปรอซขึ้นครองบัลลังก์ซาซาเนียน ในปี ค.ศ. 488 กองทัพเฮฟทาไลต์ได้พิชิตกองทัพซาซาเนียนแห่งบาลัช และสามารถยึดได้ อำนาจทั้งหมดจึงตกมาที่คาวัดที่ 1 และเขาได้ขึ้นครองบัลลังก์ต่อ
ในปี ค.ศ. 496–498 คาวัดที่ 1 ถูกขุนนางและนักบวชโค่นล้ม เขาจึงหลบหนี และได้รับความช่วยเหลือจากกองทัพเฮฟทาไลต์
รัชสมัยของคาวัดที่ 1 (Kavad I)
คาวัดที่ 1 เป็นกษัตริย์แห่งจักรวรรดิซาซาเนียนตั้งแต่ปี ค.ศ.488 – 531 พยายามจัดระเบียบอาณาจักรของเขาใหม่ และพยายามจะปฏิรูปหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการทหาร การเมือง และสัมพันธ์ทางการทูต ทั้งนี้คาวัดที่ 1 ยังได้สมรสกับลูกสาวของกษัตริย์เฮฟทาไลต์ พันธมิตรของเขาอีกด้วย นอกจากนี้กษัตริย์เฮฟทาไลต์ยังได้มอบกองทัพที่แข็งแกร่งให้กับคาวัดที่ 1 เสริมความน่ากลัวให้เขาได้ใช้โอกาสในการกอบกู้ศักดิ์ศรีของเปอร์เซีย ในยุคสมัยของเขาเขาได้ต่อสู้กับจักรวรรดิไบแซนไทน์อยู่บ่อยครั้ง
สงครามอนาสตาเซีย (Anastasian War)
สงครามอนาสตาเซียเกิดขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 502 – 506 ระหว่างจักรวรรดิไบแซนไทน์และจักรวรรดิซาซาเนียน เป็นความขัดแย้งครั้งใหญ่ครั้งแรกระหว่างสองมหาอำนาจนับตั้งแต่ปี ค.ศ.440 และจะเป็นจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งที่นำไปสู่การฆ่าทำลายล้างระหว่างสองอาณาจักรอย่างหนักหน่วง
สงครามไอบีเรีย (Iberian War)
สงครามไอบีเรียมีการต่อสู้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 526 – 532 ระหว่างจักรวรรดิไบแซนไทน์และจักรวรรดิซาซาเนียนอาณาจักรไอบีเรียของจอร์เจียตะวันออก ซึ่งเป็นรัฐที่อยู่ภายใต้อำนาจของซาซาเนียน ที่แปรพักตร์ไปร่วมกับไบแซนไทน์ จากเหตุหลาย ๆ ปัจจัยไม่ว่าจะเป็นเรื่องส่วย การค้า ทำให้ความขัดแย้งปะทุขึ้นท่ามกลางความตึงเครียด
รัชสมัยของคอสโรว์ที่ 1 ( Khosrow I)
คอสโรว์ที่ 1 เป็นกษัตริย์แห่งจักรวรรดิซาซาเนียนตั้งแต่ปี ค.ศ.531 – 579 เขาเป็นบุตรชายของคาวัดที่ 1 โดยคอสโรว์ที่ 1 ได้ทำสนธิสัญญาสันติภาพกับจักรวรรดิไบแซนไทน์ในปี ค.ศ.532 จากเมื่อครั้นยุคสมัยของพ่อเขาได้ทำสงครามกับไบแซนไทน์มาอย่างหนักหน่วง จากนั้นคอสโรว์ก็มุ่งเน้นไปที่การรวมอำนาจของเขา
คอสโรว์ละเมิดสนธิสัญญาสันติภาพและประกาศสงครามกับไบแซนไทน์ในปี ค.ศ. 540 เมื่อเขาไล่ตีเมืองแอนติออค (Antioch) เป็นเมืองที่อยู่ภายใต้อำนาจของโรมันไบแซนไทน์ นอกจากนี้ยังมีการทำสนธิสัญญาสันติภาพและละเมิดกันอีกหลายครั้ง
คอสโรว์ที่ 1 เป็นที่รู้จักในด้านอุปนิสัย คุณธรรม และความรู้ของเขา เขายังได้สานต่อโครงการของคาวัดที่ 1 ในการปฏิรูปสังคม การทหาร และเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ส่งเสริมสวัสดิการของประชาชน เพิ่มรายได้ของรัฐ จัดตั้งกองทัพมืออาชีพ และก่อตั้งหรือสร้างเมือง วัง และโครงสร้างพื้นฐานจำนวนมากขึ้นใหม่ เขาสนใจวรรณกรรม ปรัชญา ศิลปะ และวิทยาศาสตร์ ทุกอย่างมีความเจริญรุ่งเรืองขึ้นอย่างชัดเจน
สงครามลาซิค (Lazic War)
สงครามลาซิคหรือที่เรียกว่าสงครามโคลชิเดียนเป็นการต่อสู้ระหว่างจักรวรรดิไบแซนไทน์และจักรวรรดิซาซาเนียน ทั้งสองอาณาจักรรบกันเพื่อแย่งชิงภูมิภาคลาซิกาโบราณของจอร์เจีย สงครามลาซิคกินเวลานานถึงยี่สิบปี ตั้งแต่ปี ค.ศ.541 – 562 สงครามจบลงด้วยชัยชนะของชาวเปอร์เซีย จักรวรรดิไบแซนไทน์ต้องส่งเครื่องบรรณาการประจำปีเพื่อแลกกับการยุติสงคราม
จุดจบของอาณาจักรเฮฟทาไลต์
เมื่อหมดรัชสมัยของคาวัดที่ 1 ชาวเฮฟทาไลต์เริ่มหันเหความสนใจไปจากจักรวรรดิซาซาเนียน โดยในยุคของคอสโรว์ที่ 1 เขาได้ขยายอาณาเขตไปทางทิศตะวันออก เพื่อต้องการควบคุมหลาย ๆ เมืองในแถบนั้น และเขาก็เอาชนะพวกเฮฟทาไลต์ได้ ด้วยความช่วยเหลือจากพวกเตอร์กิก (Turkic) หรือเติร์ก เหตุการณ์นี้เป็นจุดจบสิ้นสุดของเฮฟทาไลต์
สงครามในคอเคซัส
ในปี ค.ศ.572 – 591 เกิดสงครามระหว่างจักรวรรดิซาซาเนียนแห่งเปอร์เซียและจักรวรรดิไบแซนไทน์ โดยถูกจุดชนวนขึ้นจากโปรไบแซนไทน์ในพื้นที่คอเคซัสที่อยู่ภายใต้อำนาจของเปอร์เซีย การสู้รบส่วนใหญ่จำกัดอยู่ที่คอเคซัสตอนใต้และเมโสโปเตเมีย แม้ว่าจะขยายไปถึงอานาโตเลียตะวันออก ซีเรีย และอิหร่านตอนเหนือด้วย
สงครามเปอร์โซ – เติร์ก
สงครามเปอร์โซ-เติร์ก เกิดขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 588 – 589 ระหว่างจักรวรรดิซาซาเนียนและ เฮฟทาไลต์ ร่วมกับเจ้าเมืองโกกเติร์ก ความขัดแย้งเริ่มต้นจากการรุกรานอาณาจักรของจักรวรรดิซาซาเนียน โดยพวกเติร์ก ท้ายสุดแล้วพวกเฮฟทาไลต์และเติร์ก ก็ต้องแพ้ศิโรราบ จักรวรรดิซาซาเนียนจึงยึดครองดินแดนที่สูญเสียไปกลับคืนมา
รัชสมัยคอสโรว์ที่ 2
คอสโรว์ที่ 2 เป็นกษัตริย์แห่งจักรวรรดิซาซาเนียนตั้งแต่ปี ค.ศ.590 – 628 คอสโรว์เป็นบุตรชายของฮอร์มิซด์ที่ 4 และเป็นหลานชายของคอสโรว์ที่ 1 โดยในยุคสมัยของคอสโรว์ที่ 2 ส่วนใหญ่จะทำในสงครามกับจักรวรรดิไบแซนไทน์ จนทำให้เขาต้องสูญเสียลูกชาย
สงครามครั้งสุดท้ายระหว่างจักรวรรดิซาซาเนียน และจักรวรรดิไบแซนไทน์
สงครามครั้งสุดท้ายของทั้งสองจักรวรรดิ เกิดขึ้นในปี ค.ศ.602 – 628 เป็นสงครามที่มีความสูญเสียมากที่สุดเท่าที่เคยสู้รบกันมา
ก่อนหน้าที่คอสโรว์สูญเสียอำนาจจากราชบัลลังก์ จักรพรรดิมอริซ แห่งโรมันไบแซนไทน์ ได้ช่วยให้กษัตริย์โคสโรว์ที่ 2 ของจักรวรรดิซาซาเนียนได้ครองบัลลังก์อีกครั้ง แต่แล้วในปี ค.ศ.602 มอริซถูกสังหารโดยโฟคัส คู่แข่งทางการเมืองของเขา คอสโรว์ที่ 2 ได้ประกาศสงครามกับไบแซนไทน์ทันที เพื่อล้างแค้นให้กับมอริซ เหตุการณ์นี้กลายเป็นความขัดแย้งที่ยาวนานหลายทศวรรษ ซึ่งเป็นสงครามที่ยาวนานที่สุด และมีการสู้รบกันทั่วตะวันออกกลาง: ในอียิปต์ ลิแวนต์ เมโสโปเตเมีย คอเคซัส อานาโตเลีย อาร์เมเนีย ทะเลอีเจียน และก่อนถึงกำแพงเมืองคอนสแตนติโนเปิล
ฝ่ายซาซาเนียนแห่งเปอร์เซียได้เปรียบมากในช่วงแรกของสงครามในระหว่างปี ค.ศ. 602 – 622 ตั้งแต่ปี ค.ศ.622 – 626 เปอร์เซียได้พยายามครั้งสุดท้ายเพื่อยึดกรุงคอนสแตนติโนเปิล แต่แล้วก็แพ้ไป
ต่อมาในปี ค.ศ.627 – 628 จักรพรรดิเฮราคลิอุส แห่งโรมัน ซึ่งเป็นพันธมิตรกับเติร์กได้รุกรานดินแดนใจกลางของเปอร์เซีย สงครามกลางเมืองปะทุขึ้น เกิดการรบกันอย่างดุเดือด ฝ่ายเปอร์เซียได้สังหารเฮราคลิอุส และเรียกร้องสันติภาพเพื่อยุติสงคราม
เมื่อสิ้นสุดสงคราม ทั้งสองฝ่ายต่างหมดทรัพยากรมากมายในศึกครั้งนี้ จึงทำให้ทั้งสองอาณาจักรอ่อนมาก จึงเปิดช่องโหว่ให้กองกำลังมุสลิมเข้ามารุกรานได้ โดยกองทัพมุสลิมได้พิชิตอาณาจักรซาซาเนียทั้งหมดอย่างรวดเร็ว รวมทั้งดินแดนไบแซนไทน์ในเลแวนต์ คอเคซัส อียิปต์ และแอฟริกาเหนือ
จักรวรรดิซาซาเนียนพิชิตเยรูซาเล็ม
ในปี ค.ศ.614 ซึ่งอยู่ในช่วงสงครามระหว่างสงครามไบแซนไทน์ – ซาซาเนียน จักรวรรดิซาซาเนียนได้พิชิตเยรูซาเล็ม ซึ่งเป็นการปิดล้อมระยะสั้น ๆ เท่านั้น เป็นเหตุการณ์ที่กองทัพจักรวรรดิซาซาเนียนเข้าร่วมกับผู้นำชาวยิว เนหะมีย์ เบน ฮูชิเอล (Nehemiah ben Hushiel ) และเบนจามินแห่งทิเบเรียส (Benjamin of Tiberias) ซึ่งเป็นกลุ่มชาวยิวที่ต่อต้านโรมัน ไบแซนไทน์ และได้นำกำลังราว 20,000 – 26,000 คน เข้าต่อสู้กับไบแซนไทน์ จนยึดเยรูซาเล็มได้
จักรวรรดิซาซาเนียนพิชิตอียิปต์
ในปี ค.ศ.615 กองทัพจักรวรรดิซาซาเนียนได้ขับไล่ชาวโรมันออกจากเมโสโปเตเมียตอนเหนือ ซีเรีย และปาเลสไตน์ ด้วยความมุ่งมั่นที่จะกำจัดการปกครองของโรมันในเอเชีย คอสโรว์ที่ 2 จึงหันไปเล็งที่อียิปต์ ซึ่งเป็นยุ้งฉางของจักรวรรดิโรมันตะวันออก
การพิชิตอียิปต์ของจักรวรรดิซาซาเนียนเกิดขึ้นในปี ค.ศ.618 – 621 โดยกองทัพเปอร์เซียของจักรวรรดิซาซาเนียนได้เอาชนะกองกำลังไบแซนไทน์ในอียิปต์และยึดครองอเล็กซานเดรีย เมืองหลวงของอียิปต์ ถือเป็นด่านแรกและสำคัญที่สุดในการตัดอู่ข้าวอู่น้ำของโรมัน
สงครามกลางเมืองของจักรวรรดิซาซาเนียน
กองทัพของเปอร์เซียได้แพ้ให้กับจักรพรรดิเฮราคลิอัส (Heraclius) แห่งโรมันตะวันออก เฮราคลิอัส เสนอให้คอสโรว์ที่ 2 จำนน แต่ด้วยศักดิ์ศรีและชายชาติทหารของเขาจึงไม่ยอมก้มหัวให้ใคร ในปี ค.ศ.628 คอสโรว์ที่ 2 ถูกประหารชีวิต รวมไปถึงลูกชายคนสุดท้องของเขา
ต่อมาได้เกิดสงครามกลางเมืองขึ้นในจักรวรรดิซาซาเนียน ในปี ค.ศ.628 – 632 เป็นความขัดแย้งที่เกิดขึ้นหลังจากการประหารชีวิตกษัตริย์คอสโรว์ที่ 2 เป็นการแย่งชิงอำนาจของกลุ่มขุนนาง ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายอำนาจเก่าอย่าง พาร์เธีย หรือกลุ่มทหารที่มีอำนาจ เหตุการณ์นี้ทำให้จักรวรรดิซาซาเนียนอ่อนแอลงมาก และเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้จักรวรรดิล่มสลาย
กองทัพมุสลิมพิชิตเปอร์เซีย สู่การล่มสลายของจักวรรดิซาซาเนียน
การเพิ่มขึ้นของชาวมุสลิมในอาระเบียเกิดขึ้นพร้อมกับความอ่อนแอทางการเมือง สังคม เศรษฐกิจ และการทหารอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนในเปอร์เซีย ทั้งที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นมหาอำนาจของโลกมาก่อน จักรวรรดิซาซาเนียน ใช้ทรัพยากรต่าง ๆ ไปกับการทำสงครามกับจักรวรรดิไบแซนไทน์หลายทศวรรษ ทำให้จักรวรรดิอ่อนแออย่างมาก
หลังจากที่คอสโรว์ที่ 2 ถูกประหารชีวิตในปี ค.ศ.628 หลังจากนั้นในระยะเวลาเพียง 4 ปี มีผู้อ้างสิทธิ์ขึ้นครองบัลลังก์ถึง 10 คน ทั้งเกิดสงครามกลางเมืองไม่ว่างเว้น ทำให้เกิดความแตกแยก ไม่รวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวและเสื่อมโทรมลงเรื่อย ๆ
ชาวมุสลิมอาหรับเข้าโจมตีจักรวรรดิซาซาเนียนครั้งแรกในปี ค.ศ.633 แต่ยังไม่สามารถเอาชนะชาวเปอร์เซียได้
การโจมตีในครั้งที่สองเกิดขึ้นในปี ค.ศ.636 ภายใต้การนำทัพของ ซาอัด อิบัน อบี วัคคัส (Sa’d ibn Abi Waqqas) ในครั้งนี้จักรวรรดิสูญเสียดินแดนทางตะวันตกไปอย่างถาวร
กองทัพมุสลิมยังคงโจมตี เข้ายึดดินแดนเปอร์เซียอย่างต่อเนื่องมากเรื่อย ๆ จนถึงปี ค.ศ.651 ศูนย์กลางเมืองใหญ่ของเปอร์เซียถูกกองกำลังมุสลิมอาหรับเข้ายึดและครอบครอง แม้ว่าชาวอาหรับจะสร้างอำนาจเหนือพื้นที่ส่วนใหญ่ของเปอร์เซีย แต่หลายจุดมีคนลุกฮือขึ้นมาต่อสู้กับกองทัพมุสลิม
ในที่สุดกองทัพมุสลิมก็ควบคุมสถานการณ์ได้ และค่อย ๆ เผยแพร่ศาสนาในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งยังมีการเผาคัมภีร์ของศาสนาโซโรอัสเตอร์และนักบวชถูกประหารชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ที่มีการต่อต้านอย่างรุนแรง
ขุนนางหลายคนต่างหลบหนีไปยังภูมิภาคอื่น ๆ ส่วนคนที่ยอมจำนนก็ต้องยอมรับเงื่อนไขต่าง ๆ ของกองทัพมุสลิม การรุกรานของกองทัพมุสลิมครั้งนี้ทำให้ดินแดนส่วนใหญ่ของเปอร์เซียตกอยู่ภายใต้ผู้นำทางศาสนาอิสลาม
ช่วงเวลาของการปกครองของจักรวรรดิซาซาเนียนถือเป็นจุดรุ่งเรืองสูงสุดในประวัติศาสตร์ของอิหร่านหรืออารยธรรมเปอร์เซีย
อารยธรรมเปอร์เซียมีอิทธิพลทางวัฒนธรรมทั่วดินแดนต่าง ๆ เกือบทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นยุโรปตะวันตก แอฟริกาจีน และอินเดีย ทั้งยังช่วยสร้างศิลปะยุคกลางของยุโรป และเอเชีย
นอกจากนี้วัฒนธรรมเปอร์เซียกลายเป็นรากฐานของวัฒนธรรมอิสลามส่วนใหญ่ มีอิทธิพลต่อศิลปะ สถาปัตยกรรม ดนตรี วรรณกรรม และปรัชญาทั่วโลกมุสลิม
0 Comment