เนื่องในวันแห่งความรัก The Wild Chronicles เล่าเรื่องรักจากปกรณัมกรีกโบราณให้ทุกท่านได้ฟังกันนะครับ 🙂

เป็นที่รู้กันดีว่า ถ้าพูดถึงเรื่องรักๆ ใคร่ๆ นั้นเทพเจ้ากรีกมักจะมีข่าวฉาวกันเยอะอยู่ แต่ท่ามกลางเรื่องราวผิดผีเหล่านั้น ก็ยังมีเรื่องราวซึ้งๆ อยู่ด้วย โดยในบทความนี้ ผมเลือกมาเล่าทั้งหมด 3 เรื่องด้วยกันลองติดตามดูนะครับว่าจะมีเรื่องไหนบ้าง อนึ่งตำนานกรีกนี้ก็เหมือนตำนานของประเทศอื่นๆ คือมีหลายเวอร์ชัน ในที่นี้จะเลือกเวอร์ชันที่เห็นว่าแพร่หลายมาเล่าครับ

ตัวตนความรักในตำนานกรีก

เวลาเราพูดถึงเทพกรีก หลายครั้งมันหมายถึงได้ทั้งเทพที่เป็นคน กับที่เป็นสัญลักษณ์แทนสิ่งอื่น เช่นพระแม่ธรณีไกอามีทั้งร่างคน และไกอาก็หมายถึงแผ่นดินด้วย, เทพทาร์ทารัสที่เป็นเทพแห่งบาดาล ซึ่งก็มีทั้งร่างคน และมันก็มีดินแดนบาดาลชื่อทาร์ทารัส

ดังนั้น “ความรัก” ในตำนานกรีก ก็มีเวอร์ชันที่เป็นคนด้วยเหมือนกัน แบ่งเป็นสองเวอร์ชั่นหลักๆ…

ในเวอร์ชันแรกคนกรีก เชื่อว่า “ความรัก” เป็นสิ่งที่เกิดมาพร้อมๆ กับแผ่นดิน (ไกอา) และบาดาล (ทาร์ทารัส) ตั้งแต่จักรวาลยังมีเพียงแค่ความเวิ้งว้างว่างเปล่า โดยความรักและความปรารถนานี้ เรียกกันว่า “อีรอส” (อีกความหมายหนึ่งคือ “เชื้อชีวิต”)

อีกฉบับหนึ่งเชื่อว่า กามเทพอีรอสเป็นลูกเทพีแห่งความรักและความงาม “อะโฟรไดที” ผู้ผุดขึ้นมาจากฟองคลื่น (ชื่อโรมันของนางคือ “วีนัส” ที่เราอาจเคยเห็นบนปกสมุดวาดเขียน)

ตำนานรักที่ผมจะยกมาในวันนี้ ล้วนวนเวียนอยู่ที่อะโฟรไดที รวมไปถึงจะมีเรื่องราวของอีรอสเองเป็นเรื่องสุดท้ายนะครับ

พิกมาเลียน กาลาเทีย: ความรักของโอตาคุอันสวยงาม (?)

เราขอเริ่มต้นความรักในตำนานกรีกไปด้วยเรื่องราวเบาๆ ของศิลปินผู้ตกหลุมรักผลงานของตัวเองอย่างจริงจัง และเป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่อะโฟรไดทีเป็นฝ่ายดี

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ เกาะไซปรัส มีช่างแกะสลักมือเอกผู้หนึ่งชื่อ “พิกมาเลียน” เขาเห็นหญิงขายบริการทางเพศแล้วกลับนึกรังเกียจผู้หญิงจริงๆ ขึ้นมา ด้วยมองว่าพวกเธอช่างแปดเปื้อนสำส่อน เขาจึงเอาแค่หมกตัวอยู่ในบ้าน มุ่งมั่นแต่สร้างงานแกะสลัก ไม่ยุ่งเกี่ยวกับคนอื่น

ในที่สุด พิกมาเลียนก็ได้แกะรูปปั้นหญิงสาวแบบที่เขามองว่าบริสุทธิ์ผุดผ่องขึ้นมาจากงาช้าง ตั้งชื่อผลงานว่า “กาลาเทีย”

ชายหนุ่มมองรูปปั้นไปมาก็เกิดตกหลุมรัก เริ่มเอาของขวัญมามอบ เริ่มตั้งแต่ดอกไม้ จนไปถึงเครื่องประดับ ไปๆ มาๆ ก็พูดกับเธอบ้าง จูบเธอบ้าง อะไรประมาณนั้น ประหนึ่งโอตาคุบูชาสาวในอนิเมะ

ไม่นานต่อมา ในช่วงเทศกาลบูชาอะโฟรไดที พิกมาเลียนได้ไปยังวิหารของนาง แล้วบูชายัญวัว ขอพรอย่างเอียงอายให้ตนมีภรรยา “รูปร่างหน้าตาเหมือนหญิงสาวจากงาช้าง”

…อะโฟรไดทีรับรู้ถึงความรัก และความติ่ง(?) ของพิกมาเลียน ก็นึกสงสาร เลยรับเครื่องสักการะไว้

เมื่อพิกมาเลียนถึงบ้าน เขาก็เข้าไปจูบไปหอมกาลาเทียดังเช่นเคยทำ แต่วันนี้ริมฝีปากที่ปกติเย็นเยียบกลับอุ่น ผิวที่แข็งแห้งก็นุ่มนวล ตอนนั้นเองที่พิกมาเลียนพบว่า รูปปั้นหญิงสาวในฝันของเขาได้มีชีวิตขึ้นมาจริงๆ!

จากนั้นทั้งคู่ก็แต่งงานกัน และมีลูกด้วยกันหนึ่งคน ชื่อ “พาฟอส” ซึ่งต่อมาลูกคนนี้จะตั้งเมืองตามชื่อตน และให้อะโฟรไดทีเป็นเทพีประจำเมืองสืบมา

โอดิซุส เพเนโลปี: ความรักและการรอคอย

เรื่องต่อมาเล่าถึง “โอดิซุส” กับ “เพเนโลปี” เป็นคู่ที่รักกันยืนยาวยิ่ง แม้ต้องพบวิบากกรรมมากมายที่ทำให้ทั้งคู่ต้องพลัดพรากกันยาวนานถึง 20 ปี

…ซึ่งจริงๆ ปัญหาที่เข้ามาแทรกกลางในชีวิตรักของพวกเขา เริ่มต้นตั้งแต่ทั้งคู่ได้เจอกันทีเดียว

โอดิซุสเป็นกษัตริย์หนุ่มจากเมืองอิธกะ มีชื่อเสียงว่ามีสติปัญญามาก ตอนนี้ที่แคว้นสปาร์ตามีเจ้าหญิงขื่อเฮเลน มีสิริโฉมงดงามมาก จึงมีการเชิญผู้ปกครองกรีกทุกเมืองไปในงานหาคู่ของเฮเลน (ยังไม่ได้กำหนดวิธีหา แต่อารมณ์ให้ไปดูตัวกันเยอะๆ ก่อน)

อย่างไรก็ตามเมื่อโอดิซุสมาถึง เขากลับต้องตาต้องใจเพเนโลปี ลูกพี่ลูกน้องของเฮเลนแทน เพราะคุยกันแล้วเป็นหญิงสาวที่ฉลาดเฉลียวคุยกับตนรู้เรื่อง

ในขณะที่คนอื่นๆ กำลังโต้เถียงว่าใครจะได้เป็นคู่ครองของเฮเลนจนเกิดเป็นการต่อสู้ชุลมุนวุ่นวาย โอดิซุสได้กล่าวกับเจ้าเมืองว่า ตนขอสละสิทธิชิงนางเฮเลน และจะช่วยแก้ไขให้คนเลิกทะเลาะกัน โดยขอค่าแนะนำเป็นการแต่งงานกับเพเนโลปีซึ่งมีความงามรองมา

เมื่อเจ้าเมืองสปาร์ตายอมรับโอดิซุสใช้ปัญญายื่นข้อเสนอให้ทุกคนตกลงกันอย่างสันติ ด้วยการให้เฮเลนเป็นคนเลือกคู่ และให้คนทุกคนในที่นั่นสาบานว่า ไม่ว่านางจะเลือกใคร คนอื่นๆ ต้องยอมรับและปกป้องชายที่ถูกเลือกด้วย เพื่อป้องกันการเกิดสงคราม

…สุดท้ายเฮเลนได้เลือก “กษัตริย์เมเนลอสแห่งไมซีนี” เป็นคู่ครอง ส่วนโอดิซุสกับเพเนโลปีก็ได้แต่งงานกัน

…แต่เรื่องราวไม่ได้จบลงแค่นั้นครับ มันเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นของการรอคอยความรักถึง 20 ปี…

วันหนึ่ง เทพีเฮรา มเหสีของซุส, อาเธนา เทพีแห่งปัญญา, และอะโฟรไดที ได้ถกเถียงกันว่าใครงามสุด แต่ไม่ได้ข้อสรุป ทั้งสามเลยให้ “เจ้าชายปารีสแห่งทรอย” ตัดสินให้

สามเทพีต่างพยายามติดสินบนปารีส โดยเฮราสัญญาจะทำให้เขามีอำนาจแผ่ไปไกลทั่วยุโรปและเอเชีย, อาเธนาสัญญาจะทำให้ปารีสเป็นยอดนักรบที่ไร้พ่าย, ส่วนอะโฟรไดทียื่นข้อเสนอเรียบง่าย คือจะมอบผู้หญิงที่งามที่สุดบนโลกมนุษย์ให้เขา

แน่นอนว่า ด้วยความเป็นหนุ่มวัยคะนอง ปารีสจึงเลือกอะโฟรไดที แต่ปัญหาคือ หญิงสาวที่งดงามที่สุดในตอนนั้นก็คือเฮเลน ซึ่งจริงๆ แต่งงานกับเมเนลอสไปแล้ว

ปารีสอาศัยการช่วยเหลือจากอะโฟรไดที ลอบลักพาตัวนางเฮเลนมาจากสปาร์ตา เรื่องนี้ทำกษัตริย์เมเนลอสโกรธมาก จึงรวบรวมกำลังพลโจมตีกรุงทรอยเพื่อล้างแค้น และเรียกเหล่ากษัตริย์ผู้นำกรีกที่เคยให้สัญญาว่าจะปกป้องการแต่งงานของตนให้มาช่วยเหลือ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีโอดิซุสด้วย

ตอนแรกโอดิซุสไม่ได้อยากเข้าร่วมสงครามครั้งนี้ เพราะลูกที่เกิดกับเพเนโลปีนั้นยังเล็ก แต่สุดท้ายก็ต้องไปเพราะจะผิดสัญญาตัวเองไม่ได้… ในสงครามกรุงทรอยนั้นขณะที่วีรบุรุษคนอื่นแสดงความสามารถในการต่อสู้ โอดิซุสได้สร้างวีรกรรมทางสติปัญญาหลายครั้ง ซึ่งแผนการของเขาที่ต้องทำให้ทุกคนจดจำ คือแผน “ม้าโทรจัน”

ในแผนนี้ฝ่ายกรีกจะทำทีเหมือน ถอนทัพหนีไป เหลือเพียงแต่ม้าไม้ยักษ์หนึ่งตัวบางตำนานว่าเป็นเครื่องบูชาเทพแห่งทะเลโพไซดอน ชาวทรอยลากม้าเข้าเมืองเพราะคิดว่ามันเป็นสัญลักษณ์ของชัยชนะ แต่โอดิซุสซ่อนทหารอยู่ในท้องม้านั้น พอตกกลางคืน เหล่าทหารที่ซ่อนอยู่ในม้าไม้ได้แอบลอบออกมาสังหารชาวกรุงทรอยจนสิ้น ถือเป็นการจบสิ้นความรุ่งเรืองของกรุงทรอย

…สงครามกรุงทรอยกินเวลา 10 ปี โอดิซุสคิดว่าจะได้กลับบ้านแล้ว แต่ปรากฏว่าการกลับบ้านของเขากลับมีอุปสรรคใหญ่อีก

คือหลังจากจบสงครามมีคนของกรีกไปข่มขืนหญิงสาวทรอยในวิหารเทพเจ้า ซึ่งเป็นการกระทำอันกักขฬะป่าเถื่อน ทำให้เหล่าเทพที่เคยช่วยชาวกรีกโกรธมาก

โพไซดอนจึงบันดาลพายุใส่ทัพเรือ ส่งผลให้เรือโอดิซุสวนหลงอยู่กลางมหาสมุทร ระหว่างการพยายามกลับบ้าน พวกเขาได้เจอสัตว์ประหลาดมากมาย สูญเสียลูกเรือ สูญเสียเรือรบ หลงทางอยู่ถึง 10 ปี เรื่องราวการกลับบ้านของโอดิซุสส่วนนี้ จะกลายเป็นมหากาพย์ที่มีชื่อเสียงไม่แพ้มหากาพย์กรุงทรอย เรียกว่า “มหากาพย์โอดิสซี” ซึ่งทำให้คำว่าโอดิสซี (Odyssey) กลายเป็นคำที่มีความหมายว่าเดินทางไปด้วย

ขณะที่โอดิซุสกำลังเผชิญภัยในทะเล เพเนโลปียังรอคอยสามีอยู่บนเกาะอิธกะอย่างมั่นคง แม้ในระหว่างนี้จะมีเจ้านายกรีกจากเมืองต่างๆ ต้องการครอบครองเธอก็เข้ามาสู่ขอ แต่เธอก็ยังซื่อสัตย์ต่อสามีไม่เปลี่ยนแปลง

อย่างไรก็ตาม เหล่าเจ้านายที่มาติดพันยังพยายามเข้ามาคุกคามเรื่อยๆ ทำให้เพเนโลปีต้องใช้สติปัญญาเอาตัวรอด

ตอนแรกเธอออกอุบายว่าต้องการเย็บผ้าห่อศพของพ่อสามีให้เสร็จก่อนถึงจะแต่งงานใหม่ได้ ซึ่งตอนกลางวันเธอทอผ้าตามปกติ แต่ตอนกลางคืนเธอก็ตื่นดึงไหมออกจากที่ทอผ้า ผ้าจึงไม่เสร็จเสียที เธอทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ เกิดเป็นสำนวนว่า “ผ้าห่อศพของเพเนโลปี” (Penelope’s shroud หรือ Penelope’s web) หมายถึงงานที่ทำอย่างไรก็ไม่เสร็จสักที

เวลาผ่านไปผู้ชายเหล่านั้นทราบถึงกลอุบายของเธอ ต่อมาเพเนโลปีจึงได้คิดอุบายขึ้นมาใหม่ว่า หากผู้ใดสามารถขึงสายธนูขนาดใหญ่ของโอดิซุสด้วยมือได้ และใช้ธนูนั้นยิงศรผ่านรูตรงปลายด้ามขวานสิบสองเล่มได้ เธอจะยอมแต่งงานด้วย ซึ่งก็ไม่มีชายคนไหนทำได้เลย

ทั้งนี้เพเนโลปีทราบว่านอกจากโอดิซุสสามีตนจะสติปัญญาดีแล้ว ยังมีฝีมือทางธนูมาก เงื่อนไขการยิงธนูนี้มีเพียงเขาที่จะทำได้ การตั้งเงื่อนไขดังกล่าวเท่ากับเป็นการรอเขานั่นเอง

อย่างไรก็ตามพวกเจ้ากรีกไม่ใช่ว่าจะมีน้ำใจนักกีฬานัก พอถูกบิดพริ้วมากๆ ก็ทำตัวเกเร เพเนโลปีเสียวๆ อยู่ว่าจะถูกรุมฉุด

เมื่อโอดิซุสกลับถึงอิธกะ เห็นว่าบ้านเมืองเปลี่ยนไปมาก เลยเริ่มไม่มั่นใจว่าคนรักจะยังคงเหมือนเดิมหรือไม่ เขาจึงปลอมตัวเป็นชายชราเข้าไปในเมือง และได้พบกับเทเลมาคัส ลูกของตนที่โตเป็นหนุ่มแล้ว สองพ่อลูกวางแผนจัดการผู้ชายที่เข้ามาตอแยเพเนโลปี ด้วยการเข้าร่วมงานประลองธนู โดยโอดิซุสยังคงปลอมเป็นชายชราอยู่

เมื่อผู้เข้าแข่งขันเห็นก็หัวเราะเยาะชายชราผู้นี้ แต่โอดิซุสได้ขึงสายธนูอย่างง่ายดายและยิงศรผ่านรูทั้ง 12 ได้สมบูรณ์แบบ ชายหนุ่มที่อยู่ในการแข่งขันต่างนิ่งอึ้ง จากนั้นโอดิสซุสเปิดเผยตัวจริงออกมา ก่อนยิงธนูสังหารเจ้ากรีกที่คิดบังอาจจะมาเป็นคู่ครองของเพเนโลปีจนหมดสิ้น

ตอนนั้นเวลายี่สิบปีบวกกับการตรากตรำจากสงครามและการเดินทางอันยาวนานทำให้โอดิซุสมีหน้าตาเปลี่ยนไป เพเนโลปียังไม่ปักใจเชื่อว่าชายผู้นี้คือโอดิซุส จึงออกอุบายทดสอบ โดยสั่งให้สาวใช้ยกเตียงจากห้องนอนมาให้เขา โอดิซุสตกใจมาก รีบทักท้วงทันที เนื่องจากตอนที่โอดิซุสยังเป็นหนุ่มได้สร้างห้องนอนรอบ ๆ ต้นมะกอกขนาดใหญ่ และเขาได้ทำเสาเตียงอันหนึ่งยาวฝังรากลึกลงไปทำให้ไม่สามารถเคลื่อนย้ายเตียงได้

จากนั้นโอดิซุสก็ได้บรรยายการวิธีสร้างเตียงนี้ ทำให้เพเนโลปีได้รู้ว่าคนตรงหน้าเป็นสามีของเธอจริง ๆ เธอร้องไห้ สวมกอดโอดิซุส อธิบายเรื่องราวทั้งหมด โอดิซุสรู้ถึงความจริงใจของเธอ และทั้งสองได้ครองรักกันอย่างมีความสุข สิ้นสุดการรอคอยถึงยี่สิบปีนั่นเอง…

อีรอส ไซคี: ความรักของเทพเจ้าที่เต็มไปด้วยอุปสรรค

เรื่องสุดท้าย เป็นของอีรอสกับไซคี หรือที่หลายคนอาจคุ้นชื่อจากฉบับโรมันว่า “คิวปิดและไซคี” แต่แม้จะเป็นเรื่องราวของกามเทพ แทนที่ความรักของพวกเขาจะโรยด้วยกลีบกุหลาบ กลับต้องเผชิญอุปสรรคมากมาย

อีรอสที่ทุกท่านคุ้นเคยกันจากภาพติดตาว่าเป็นเด็กน้อยน่ารักมีปีกถือคันศร คอยยิงธนูปักหัวใจให้คนมีความรัก แต่ในฉบับนี้อีรอสเป็นหนุ่มหล่อหน้าตาดี แต่ถึงโตก็ยังติดแม่อยู่บ้าง

ในช่วงหนึ่ง อะโฟรไดทีไม่แฮปปี้อย่างยิ่ง เพราะเกิดมีหญิงสาวชื่อ “ไซคี” เป็นลูกสาวคนเล็กของเจ้าเมืองแห่งหนึ่งสวยเกินหน้าเกินตาจนคนหันไปเป็นแฟนคลับไซคีแทนนางซึ่งเป็นเทพีแห่งความรัก

นานวันเข้า คนก็เริ่มอวยว่าไซคีสวยล้ำที่สุดในปฐพี งามยิ่งกว่าอะโฟรไดที และเลิกบูชานาง

พอเป็นแบบนี้อะโฟรไดทีเลยเกิดความริษยา สั่งให้อีรอสลงไปแพลงศรใส่ไซคีตอนนอน ให้นางหลงรักกับชายอัปลักษณ์เป็นการกลั่นแกล้ง

…ซึ่งตอนแรกอีรอสก็จะทำตาม แต่ตามพลอตประหนึ่งละครไทย พออีรอสเห็นความสวยไซคี ก็ตกหลุมรักซะอย่างนั้น (บางตำนานว่าเผลอทำศรบาดตัวเองจึงรัก) เขาเพิ่งรู้สึกว่า “ความรัก” ซึ่งตนเองเคยบันดาลให้คนทั้งปวงนั้นเป็นอย่างไร ก็มิอาจทำร้ายไซคีได้ จึงบินหนีไปด้วยใจกลัดกลุ้มรุมสวาท…

ไซคีนั้นไม่รักชายใด ครองตัวเป็นโสด จนพี่สาวแต่งงานออกไปหมดแล้ว และท่านเจ้าเมืองกลัวลูกสาวจะขึ้นคาน เลยไปปรึกษาธิดาพยากรณ์ของอพอลโล และได้รับคำทำนายว่า คู่ครองของเธอคือเทพ

อาจด้วยความหวาดหวั่นในชื่อเสียเรื่องความเจ้าชู้ของปวงเทพ เจ้าเมืองเลยพาตัวไซคีไปทิ้ง แต่ตอนนั้น “เซฟีรัส” เทพแห่งสายลมตะวันตกซึ่งเป็นเพื่อนของอีรอส ได้พาเธอไปยังวังของเขา ไซคีจังตื่นขึ้นมาในพระราชวังที่งดงาม พร้อมด้วยบริวารรับใช้

ที่นั่นอีรอสซึ่งไม่เปิดเผยใบหน้า (เพราะกลัวขัดใจแม่) ได้เข้าหาไซคี และเกี้ยวพาราสีจนเธอหลงรัก แม้จะสงสัยว่าเหตุใดคนรักนั้นจึงไม่เปิดเผยตนเองเสียที แต่ทั้งสองก็อยู่ในพระราชวังด้วยกันอย่างมีความสุข

…แต่เรื่องราวนั้นยังไม่แฮปปี้เอนดิ้งอย่างที่คิดครับ…

ต่อมาอีรอสกลัวไซคีเหงา เลยอนุญาตให้เซฟีรัสหอบเอาบรรดาพี่สาวมาเยี่ยมไซคีที่วังลับ แต่พี่ๆ เกิดอิจฉาชีวิตน้อง จึงได้ออกอุบายยุยง เป่าหูว่าชะรอยสามีไซคีต้องเป็นปีศาจหน้าตาน่าเกลียดน่ากลัวแน่ๆ เลยต้องมาหาแบบลับๆ ไซคีก็เกิดสงสัย ตกดึกเธอเลยจุดเทียน พร้อมกริชในมืออีกข้างเผื่ออีกฝ่ายอัปลักษณ์จริงๆ จะได้ฆ่าเสีย

…แต่เมื่อแสงไฟได้สาดไป ก็ปรากฏว่าครู่ครองของเธอนอกจากมิใช่สัตว์ประหลาดแล้ว ยังเป็นชายรูปงามมีปีกอยู่กลางหลัง

ไซคีตกตะลึงในความหล่อนั้นก็ทำอะไรไม่ถูก แต่อีรอสซึ่งตื่นขึ้นมาเห็นว่าคนรักจะฆ่าตน ก็โกรธมากที่ถูกทรยศเลยบินหนีไป

ไซคีเสียใจกับความผิดพลาดของตน จึงตัดสินใจเดินทางเพื่อตามคนรัก และได้รับคำแนะนำให้ไปบูชาอะโฟรไดที มารดาของอีรอสเพื่อช่วยเหลือเธอ

แต่เนื่องจากเทพีแห่งความรักความไม่พอใจในไซคีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว นางจึงใช้โอกาสนี้ทรมานลูกสะใภ้ โดยบอกว่าหากอยากพบกับอีรอสต้องทำภารกิจดังนี้:

ภารกิจแรก: “ภารกิจแยกธัญพืชภายในคืนเดียว” ไซคีจะต้องแยกข้าว งา และถั่วต่างๆที่ปะปนกันเป็นกองใหญ่ให้เสร็จภายในเวลา ซึ่งขณะหญิงสาวพยายามแยกด้วยตัวเอง ฝูงมดก็รู้สึกสงสาร จึงได้มาช่วยเธอแยกกองธัญพืชจนเสร็จทันเวลา

ภารกิจที่ 2: “ภารกิจรวบรวมขนแกะสีทอง” ไซคีจะต้องไปรวบรวมขนของแกะทองคำอันเกรี้ยวกราดดุร้าย แต่ก่อนจะเผชิญหน้ากับมัน เธอได้ยินเสียงกระซิบจากต้นไม้บริเวณนั้น ให้เก็บขนจากพุ่มไม้หนามที่แกะตัวนี้เดินผ่าน ไซคีเลยผ่านภารกิจนี้ไปได้ด้วยดีโดยไร้รอยขีดข่วน

ภารกิจที่ 3: “ภารกิจเก็บน้ำใส่เหยือก” ไซคีจะต้องไปเก็บน้ำที่ผุดขึ้นมาจากแม่น้ำสติกซ์ และ โคไคตัส จากปรโลกลงในเหยือกคริสตัลสีดำที่เทพีอะโฟรไดทีมอบให้ ซึ่งนอกจากอุปสรรคคือที่ตั้ง และสภาพอากาศเลวร้าย ยังมีมังกรเฝ้าอีก

ไซคีรู้สึกหวาดกลัวและสิ้นหวังมาก แต่ตอนนั้นกลับมีเทพส่งนกอินทรีสู้กับมังการ และช่วยเธอตักน้ำ ทำให้เธอทำภารกิจได้สำเร็จ

ภารกิจสุดท้ายคือ “ภารกิจเจรจาขอความงามจากเทพีแห่งโลกหลังความตาย” เรียกได้ว่า เป็นภารกิจอภิมหาโหด ที่แม้แต่บรรดาทวยเทพยังทำได้ยาก ไซคีต้องเดินทางลงสู่ยมโลกเพื่อไปเกลี้ยกล่อมเพอร์เซโฟนี ราชินีแห่งโลกหลังความตายให้แบ่ง “ความงามหนึ่งหยด” ของนางเพื่อใส่กล่องกลับมาให้กับอะโฟรไดที

การเดินทางสู่ภพคนตายนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับมนุษย์ธรรมดา ไซคีตอนแรกคิดจะฆ่าตัวตายเพื่อไปโผล่ในยมโลก แต่ก่อนที่เธอจะโดดหอคอย ก็มีเสียงลึกลับบอกทางเข้ายมโลกทั้งที่ยังมีชีวิต นอกจากนี้ยังสั่งให้ไซคีเตรียมเค้กข้าวบาร์เลย์น้ำผึ้งแก่เซบีรัส สุนัขสามหัวที่เฝ้าประตูนรก และพกเหรียญทองติดตัวเพื่อจ่ายเป็นค่าโดยสารแก่ไครอนผู้แจวเรือพาคนไปอีกภพ ซึ่งเธอทำภารกิจสุดท้ายได้สำเร็จ และกลับมาสู่ดินแดนของเธอ

ทั้งนี้ “เสียงลึกลับ” ที่ช่วยไซคีให้บรรลุภารกิจมหาโหดทุกประการ ก็ย่อมเป็นอีรอสที่แอบมาช่วยนั่นเอง…

อนิจจาขณะที่เธอกำลังจะบรรลุภารกิจนั้น เธอก็กลับอยากรู้อยากเห็นว่า “ความงามหนึ่งหยด” นั้นเป็นอย่างไร จึงแอบเปิดกล่องดู …ปรากฏว่า “ความงามแห่งความตาย” นั้นก็คือการหลับนั่นเอง และการเปิดดูนั้นได้สาปให้เธอหลับใหลอย่างไม่มีวันตื่น

บางตำราว่านี่เป็นอุบายของอะโฟรไดทีที่จะแกล้งทำร้ายไซคี เพราะทราบว่าธรรมดาสตรีย่อมไม่อาจต่อต้านความอยากรู้อยากเห็นได้ โดยเฉพาะในเรื่องความงาม

หากนี่เป็นวรรณคดีโศกนาฏกรรมชะตาของไซคีก็คงถูกตัดสินแค่นี้ แต่ตอนนั้นเองอีรอสได้บินมาหาไซคีในห้วงนิทรา และพาไซคีไปพบกับมหาเทพซูส

ซูสใจความรักของทั้งคู่ จึงได้ประทานน้ำอมฤตเพื่อรดให้ไซคีฟื้นคืนสติ และทำให้นางกลายเป็นอมตะเหมือนกับเหล่าเทพ

จากนั้นซูสได้บอกอะโฟรไดทีว่านางกลั่นแกล้งไซคีโดยไร้ความผิด ทำร้ายหญิงสาวกับอีรอสบุตรของตนเองมากเกินไปแล้ว ให้หยุดการรังแกแต่เพียงนี้เสีย ซึ่งอะโฟรไดทีก็ได้แต่ยอมรับมติ ซูสจึงจัดงานวิวาห์ให้อีรอสกับไซคี และสถาปนาให้ไซคีเป็นเทพองค์หนึ่งที่อยู่ครองคู่กับอีรอสตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา แฮปปี้ๆ

สรุป

สามเรื่องนี้ โทนเรื่องอาจดูไม่เหมือนกันเลย แต่จริงๆ มันมีแกนหลักร่วมกัน คือ “การเชื่อมั่นในความรัก” และการยืนหยัดมั่นคงในความรู้สึกนั้น แม้จะต้องพบเจอกับอุปสรรคมากมาย

…ขอให้ทุกคนมีความสุข และมี ความรักอยู่รอบกายนะครับ…