หากท่านติดตามสถานการณ์ข่าวสงครามรัสเซีย-ยูเครน แล้วเข้าไปในเว็บไซต์ที่โชว์ว่าสถานการณ์สงครามไปถึงไหนแล้ว ท่านมักจะเห็น “ติ่ง” หนึ่ง โดดๆ อยู่ฝั่งตรงข้ามกับส่วนใหญ่ …ท่านสงสัยไหมครับว่ามันคืออะไร ทำไมถึงถูกไฮไลท์ไว้?

บริเวณนั้น เป็นดินแดนที่เรียกกันว่า “ทรานส์นิสเตรีย” ตั้งอยู่ในอาณาเขตของประเทศมอลโดวา เป็นดินแดนแคบๆ ยาวตามแนวชายแดนยูเครน-มอลโดวา มีพื้นที่ประมาณ 4,163 ตร.กม. (พอๆ กับจังหวัดพังงา) มีประชากรประมาณ 470,000 คนจากสถิติปี 2015 (พอๆ กับกระบี่)

แม้จะไม่มีใครให้การรับรอง แต่คนทรานส์นิสเตรียนั้นมีรัฐบาล ทหาร และสกุลเงินของตนเอง

…พวกเขาคิดว่าตนเองเป็น “ประเทศ” แม้คนอื่นๆ ในโลกไม่คิดเช่นนั้น

ทำไมถึงมีดินแดนประหลาดเช่นนี้เกิดขึ้นบนโลก และอะไรทำให้มันคงอยู่จนปัจจุบัน เราไปดูกันครับ…

นี่คือ “ประเทศ” ที่ไม่มีใครให้การรับรอง…

ทำไมถึงมีดินแดนประหลาดเช่นนี้เกิดขึ้นบนโลก และอะไรทำให้มันคงอยู่จนปัจจุบัน เราไปดูด้วยกันครับ…

ความเป็นมา 

การจะเข้าใจการคงอยู่ของทรานส์นิสเตรีย เราต้องเข้าใจภูมิศาสตร์ของของมันก่อน คือบริเวณนั้นมีแม่น้ำอยู่หลายสาย เช่น “ดนิสเตอร์” (Dniester) ซึ่งถูกมนุษย์ใช้เป็นที่อยู่อาศัยมาตั้งแต่โบราณ ในอดีตมีชนเผ่ามากมายเช่น กอธ สลาฟ โรมัน และเติร์ก ผ่านเข้ามาบริเวณนี้ เป็นบริเวณที่มีการชิงความเป็นใหญ่กันมิได้ขาด

ช่วงศตวรรษที่ 14-16 พื้นที่รอบๆ แม่น้ำเกิดเป็นรัฐต่างๆ เช่น “รัฐโมลดาเวีย” หรือ “มอลโดวา” เป็นของชาติพันธุ์วลอช์ (Vlachs) ที่พูดภาษากลุ่มโรมานซ์ (เผ่าใกล้เคียงกับพวกอิตาลี/ฝรั่งเศส) ตั้งอยู่ทางตะวันตกของแม่น้ำดนิสเตอร์

ส่วนพื้นที่ทางตะวันออกส่วนติดแม่น้ำ แบ่งเป็นสองรัฐ ได้แก่ ลิทัวเนีย ของชาวสลาฟ (เผ่าเดียวกับรัสเซีย/ยูเครน) และ รัฐสุลต่านไครเมียของชาวเติร์ก สิ่งนี้ทำให้ประชากรสองฟากแม่น้ำมีความแตกต่างกัน

เวลาผ่านไปถึงศตวรรษที่ 17 ประเทศยิ่งใหญ่สองแห่ง ได้แก่ “อาณาจักรออตโตมัน” (ของชาวเติร์ก) และ “จักรวรรดิรัสเซีย” ตีชิงเมืองต่างๆ ในภูมิภาคไปได้มาก พื้นที่ฝั่งซ้ายขวาของแม่น้ำดนิสเตอร์เป็นสมรภูมิสำคัญที่ผลัดเปลี่ยนมือระหว่างออตโตมันและรัสเซียเสมอ

…สุดท้ายการชิงความเป็นใหญ่ก็ปะทุถึงจุดสำคัญในสงครามปี 1806

ทั้งสองฝ่ายสู้รบกันหนักหน่วงจนถึงปี 1812 ก็ตัดสินใจเจรจาสงบศึก ด้วยเวลานั้นนโปเลียนจากฝรั่งเศสขยายอำนาจมาใกล้เต็มที ทำให้ทั้งสองเห็นว่าขืนสู้กันเองต่อไปจะแพ้นโปเลียน พวกเขาจึงลงชื่อใน “ข้อตกลงบูคาเรสต์” แบ่งพื้นที่กัน

ข้อตกลงนี้ทำให้พื้นที่ส่วนหนึ่งที่เคยเป็นของมอลโดวา ตั้งแต่ทางตะวันตกของแม่น้ำดนิสเตอร์ถึงแม่น้ำพรูต กลายเป็นพื้นที่ของรัสเซียชื่อว่า “เบสซาราเบีย” (จากที่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำมักจะเป็นของรัสเซีย/ยูเครนอยู่แล้ว)

คอมมิวนิสต์แผ่ขยาย 

ปี 1917 ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 เกิดการปฏิวัติรัสเซียขึ้นถึงสองรอบ ครั้งแรกในเดือนกุมภาพันธ์ เปลี่ยนรัสเซียจากระบอบจักรวรรดินิยมเป็นสาธารณรัฐ (Russian Republic) ส่วนครั้งที่ 2 เกิดขึ้นในเดือนตุลาคม เปลี่ยนประเทศให้กลายเป็นคอมมิวนิสต์ เกิดสงครามแย่งชิงอำนาจ จักรวรรดิรัสเซียสิ้นอิทธิพล

รัฐต่างๆ ที่เคยตีมาได้ต่างกระจัดกระจาย

ตอนนั้นมอลโดวารวมตัวกับรัฐวลอช์ชิ่อวัลลาเชีย แยกจากออตโตมันก่อตั้งเป็น “ประเทศโรมาเนีย” ได้พักหนึ่ง มีความแข็งแกร่งพอไปทวงเบสซาราเบียคืนมา ส่วนพื้นที่ฝั่งตะวันออกทั้งหมดยังคงเป็นของชาวยูเครน ซึ่งตอนนั้นอาศัยความวุ่นวายตั้งรัฐของตัวเองขึ้นมาในนาม “สาธารณรัฐประชาชนยูเครน” (Ukrainian People’s Republic)

อนึ่ง เบสซาราเบียคือพื้นที่ส่วนใหญ่ของมอลโดวาปัจจุบัน ไม่ได้รวมพื้นที่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำดนิสเตอร์อยู่แล้ว

เมื่อความวุ่นวายในรัสเซียสิ้นสุดลง ก่อเกิดเป็นโซเวียต พวกเขาก็เร่งตีส่วนที่แตกออกไปก่อนหน้านี้กลับหาตน ยูเครนโดยผนวกในปี 1921 อย่างไรก็ตาม กองทัพแดงสมัยนั้นยังไม่เก่งพอจะตีโรมาเนีย จึงไม่สามารถยึดเบสซาราเบียคืนกลับมาได้

ในปี 1924 โซเวียตสร้าง “สาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตปกครองตนเองมอลโดวา” ขึ้นมาบนติ่งติดแถวด้านตะวันออกของแม่น้ำดนิสเตอร์ (ติ่งดังกล่าวไม่ได้เป็นมอลโดวามาก่อน ประชากรส่วนใหญ่เป็นรัสเซีย/ยูเครนอยู่แล้ว) ซึ่งได้รับการพัฒนาจนเจริญ

การแยกติ่งนี้และตั้งชื่อมันว่า “มอลโดวา” ทั้งที่ไม่ใช่มอลโดวาตามประวัติศาสตร์ก็เพื่อใช้เป็นฐานในการเคลมดินแดนมอลโดวาฝั่งตะวันตกของแม่น้ำนั่นเอง

ล่วงถึงปี 1939 นาซีเยอรมนีกับสหภาพโซเวียตลงนาม “สัญญาโมโลตอฟ-ริบเบนทรอป” มีเนื้อหาว่าไม่สู้รบกัน เป็นนัยว่าจะทำการแบ่งยุโรปตะวันออกกัน เหตุนี้โรมาเนียเลยโดนสองอิทธิพลกดดัน จำต้องยกเบสซาราเบียให้โซเวียตไป

โซเวียตได้เบสซาราเบียแล้วก็เอาส่วนหนึ่งไปให้ยูเครน และรวมพื้นที่ส่วนใหญ่เข้ากับ “ติ่ง” ด้านตะวันออกแม่น้ำดนิสเตอร์ที่เคยเป็นสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตปกครองตนเองมอลโดวา ก่อตั้งเป็น “สาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตมอลดาเวีย” หรือก็คือพื้นที่มอลโดวาในปัจจุบันนั่นเอง

ต่อมาโซเวียตพยายามกลืนชาติมอลโดวาโดยเลิกใช้ภาษาโรมาเนีย หันมาใช้ภาษารัสเซียและตัวอักษรซิริลิค ทั้งผลักดันให้ชาวสลาฟได้รับตำแหน่งสูงๆ นอกจากนี้ยังมีการตั้งโรงงานอุตสาหกรรมในส่วนที่มีชาวสลาฟมาก

…ใช่แล้วครับ ณ จุดนี้จึงได้มีการเรียกพื้นที่ตรงติ่งฝั่งตะวันออกของแม่น้ำว่า “ทรานส์นิสเตรีย” ซึ่งมาจากคำว่า Trans-Dniester ตรงตัว

ทรานส์นิสเตรียถือเป็นส่วนที่เจริญที่สุดในมอลโดวา แม้เป็นติ่งเล็กๆ แต่มีโรงงานอุตสาหกรรมเยอะ ทำรายได้เกือบๆ เทียบเท่าทั้งอาณาเขตที่เหลือ (ซึ่งมักทำการเกษตร) อย่างไรก็ตาม สมัยนั้นไม่ได้มีการแบ่งแยกว่าฉันเป็นคนมอลโดวา ฉันเป็นคนทรานส์นิสเตรีย เพราะทุกคนล้วนเป็นคนโซเวียตเหมือนๆ กันหมด

สงครามประกาศอิสรภาพ (?)

ปี 1985 มิคฮาอิล กอร์บาชอฟ ได้ขึ้นเป็นเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ เขาเป็นนักปฏิรูป ซึ่งพยายามพัฒนาโซเวียตให้เจริญทัดเทียมฝ่ายโลกเสรี จึงออกนโยบาย “กลาสนอสต์” ลดอำนาจควบคุมสื่อขององค์กรรัฐ เปิดเสรีทางความคิด และนโยบาย “เปเรสตรอยกา” เปิดเสรีเศรษฐกิจ ลดการควบคุมจากส่วนกลาง ให้โอกาสเอกชนมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม แม้โซเวียตจะบอกว่าเปิดการค้าเสรี แต่เอาจริงแล้วภาครัฐก็ยังตรึงราคาตลาด ตรึงค่าเงิน และไม่เปิดโอกาสให้เอกชนเข้าดูแลกิจการสำคัญๆ เศรษฐกิจโซเวียตจึงย่ำแย่ ประชาชนต่างเอาใจออกห่าง นโยบายเปิดเสรีทางความคิดยังทำให้แต่ละชาติกล้าแสดงออกต่อต้านรัฐ และมีความเคลื่อนไหวเพื่อแยกตัวเป็นเอกราชอย่างกว้างขวาง

…ตอนนั้นประชาชนที่เคยถูกบังคับต่างพากันลุกฮือ ขจัดอิทธิพลโซเวียต …รวมไปถึงมอลโดวาด้วย

รัฐบาลมอลโดวานำภาษารัสเซียออกจากภาษาราชการ และยกเลิกการใช้ตัวอักษรซิริลิค …นั่นยิ่งทำให้คนส่วนใหญ่ที่มีเชื้อสายมอลโดวา ขัดแย้งกับประชากรตรง “ติ่ง” ทรานส์นิสเตรียที่มักพูดภาษารัสเซีย/ยูเครน

ดังนั้นขณะชาติอื่นๆ ต่อสู้เพื่อเป็นเอกราช ชาวทรานส์นิสเตรียยังคงต้องการเป็นโซเวียตต่อเพราะเห็นว่าตนเองมีความผูกพันกับชาวรัสเซียซึ่งเป็นแกนกลางของโซเวียต

วันที่ 2 กันยายน ปี 1990 ทรานส์นิสเตรียประกาศตัวเป็น “สาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตพรีดเนสโตรเวียนโมลดาเวียน” (Pridnestrovian Moldavian Soviet Socialist Republic …อนึ่ง “พรีดเนสโตรเวียน” เป็นชื่อรัสเซียของทรานส์นิสเตรีย) เกิดการปะทะกันของสองขั้วความคิด ที่บานปลายไปถึงสงครามกลางเมือง

ในเรื่องนี้ แม้แต่กอร์บาชอฟยังไม่เห็นด้วย เพราะอยากรักษาความสัมพันธ์กับมอลโดวา เขาจึงประกาศว่าเป็นการกระทำผิดกฎหมาย แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่านั้น เพราะช่วงเวลาดังกล่าวโซเวียตก็ง่อนแง่นเต็มแก่

…ต่อมาสหภาพโซเวียตแตกปลายปี 1991 มอลโดวากลายเป็นประเทศโดยสมบูรณ์ แต่การสู้รบกับทรานส์นิสเตรียยังไม่จบ ซึ่งจริงๆ ตอนนั้นทั้งสองก็เป็นประเทศยากจน กองกำลังมีแค่หลักหมื่นกว่าๆ ไม่น่าจะสู้กันได้นาน

แต่จะเรียกว่าเคราะห์ซ้ำกรรมซัดดีหรือเปล่าที่ทั้งสองเผอิญมีแบ็คดี คือโรมาเนียสนับสนุนมอลโดวา ขณะที่รัสเซียสนับสนุนทรานส์นิสเตรีย ต่างฝ่ายต่างส่งทั้งยุทโธปกรณ์และกำลังเสริมมาช่วยคนของตัวเอง

พวกเขาสู้รบสลับเจรจา จนตกลงหยุดยิงกันได้ในวันที่ 21 กรกฎาคม 1992 บอริส เยลต์ซิน ประธานาธิบดีของรัสเซีย (ซึ่งรับช่วงเขตอิทธิพลเก่าของโซเวียตมาดูแลด้วย) ได้เซ็นสัญญากับ มีร์เซีย สเนกูร์ ประธานาธิบดีมอลโดวาด้วยตนเอง โดยให้ในพื้นที่ทรานส์นิสเตรียมีกองกำลังรัสเซียคอย “รักษาความสงบ” 5 กรมกอง ร่วมกับกองกำลังมอลโดวา 3 กรมกรอง และกองกำลังทรานส์นิสเตรีย 2 กรมกอง เรียกรวมกันว่า Joint Control Commission

…แม้ในเวลาต่อมารัสเซียจะเซ็นสัญญากำหนดวันถอนทหารออก แต่ยังบิดพลิ้วไม่ทำตามสัญญาอยู่เรื่อยมาถึงปัจจุบันก็ 30 ปีเข้าไปแล้ว

…ดังนั้นทรานส์นิสเตรียจึงเป็นพื้นที่พิเศษ ประชาชนในบริเวณดังกล่าวมองตัวเองว่าเป็นประเทศ เป็น “สาธารณรัฐโซเวียตแห่งสุดท้าย” เพราะพวกเขายังรักษาความเป็น “โซเวียต” ที่แม้แต่รัสเซียเองก็ทอดทิ้งไปแล้ว

แน่นอนว่าสหประชาชาติจะไม่ยอมรับ และดินแดนนี้ไม่ปรากฏบนแผนที่ใด …แต่พวกเขาก็มีอยู่จริง……

ความเป็นอยู่ในทรานส์นิสเตรีย

ทรานส์นิสเตรียระบุว่าตนเองเลิกเป็นรัฐสังคมนิยมมาตั้งแต่ปี 1991 ปัจจุบันปกครองแบบประธานาธิบดี รัฐบาลมาจากพรรคที่ไม่ใช่พรรคฝ่ายซ้าย ทั้งมีกองทัพ ตำรวจ สกุลเงิน และทะเบียนรถของตนเอง นอกจากนั้นยังมีรัฐธรรมนูญ ธง เพลงชาติของตัวเองด้วย (ซึ่งก็ยังคงความคอมมิวนิสต์ไว้เต็มเปี่ยม) ปัจจุบันประชากรทรานส์นิสเตรียเป็นเชื้อชาติรัสเซียมากที่สุด 29.1% รองลงมาคือมอลโดวา 28.6% และยูเครน 22.9%

เมืองหลวงของทรานส์นิสเตรียมีชื่อว่า “กรุงติราสปอล” กล่าวขานกันในหมู่นักท่องเที่ยวว่าเป็นเมืองย้อนยุค เพราะมีสถานปัตยกรรมโซเวียตอยู่มาก โดยเมืองนี้มีการจัดพิธีสำคัญในวันที่ 2 กันยายนของทุกปีซึ่งถือเป็น “วันชาติทรานส์นิสเตรีย” (Transnistria National Day) โดยมักจะมีพิธีสวนสนามสไตล์โซเวียตอันยิ่งใหญ่

อีกเมืองสำคัญของทรานส์นิสเตรียมีชื่อว่า “ริบนิตซา” (Rîbnița) เป็นเมืองทางเหนือ อดีตเคยเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิรัสเซียจากการแบ่งดินแดนของอาณาจักรโปแลนด์ – ลิทัวเนีย มีจุดเด่นคือ “ซากบังเกอร์นิวเคลียร์” (The abandoned Soviet Bunker) จากยุคสหภาพโซเวียต สร้างขึ้นจากโครงการลับสุดยอดในปี 1985 ระหว่างสงครามเย็น

บังเกอร์นี้ถูกสร้างให้ทนทานต่อระเบิดปรมาณู ความลึกถึง 12 ชั้น แต่ปัจจุบันถูกทิ้งร้าง… สภาพเป็นอย่างที่เห็น เหมือนอยู่ในหนังไซไฟยุคโลกล่มสลาย มนุษยชาติมลายหายสิ้น

ทรานส์นิสเตรียมีจีดีพีประมาณ 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณจังหวัดชัยนาท) ส่วนใหญ่มาจากอุตสาหกรรม เช่น เหล็กกล้า, สิ่งทอ และผลิตไฟฟ้า

…อนึ่ง ทรานส์นิสเตรียเคยถูกเรียกว่า “รัฐมาเฟีย” เนื่องจากมีรายได้ส่วนหนึ่งจากธุรกิจผิดกฎหมาย เช่น การผลิตและส่งออกปืนเถื่อน และฟอกเงิน

แต่เรื่องนี้เปลี่ยนไปเมื่อรัสเซียเข้ายึดไครเมียในปี 2014 ตอนแรกทรานส์นิสเตรียแสดงออกนอกหน้ามากว่าอยากเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย แต่เผอิญรัสเซียโดนคว่ำบาตร เงินเลยไม่ค่อยจะมี จึงสนับสนุนทรานส์นิสเตรียไม่ค่อยได้ แถมกลายเป็นว่าทรานส์นิสเตรียต้องไปพึ่งสหภาพยุโรปเรื่องการค้าขายแทน จึงต้องเปลี่ยนภาพลักษณ์ตัวเองไป

แม้จะมีการกระทบกระทั่งกันบ้าง สัมพันธ์ของทรานส์นิสเตรียกับมอลโดวาเรียกได้ว่าถ้อยทีถ้อยอาศัยพอสมควร เพราะต่างฝ่ายต่างเกรงๆ กันและกัน…

คือมอลโดวากลัวทรานส์นิสเตรียจะถูกรัสเซียใช้มาแผ่อิทธิพล แต่ทรานส์นิสเตรียก็กลัวมอลโดวามาจัดการในฐานะชนกลุ่มน้อย ทั้งคู่เลยอยู่ร่วมกันแบบค่อนข้างสงบสุข ถึงแม้จะเป็นในแบบแปลกๆ ก็ตาม

นี่เองก็เป็นเรื่องราวของประเทศที่ไม่มีอยู่จริง ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยเรื่องราวและมนต์ขลังของผู้คนที่ยังอยู่ในกาลเวลาของยุคโซเวียต ในลักษณะนี้ทรานส์นิสเตรียจึงเป็นหนึ่งในจุดมุ่งหมายของนักท่องเที่ยวจำนวนมาก ที่ต้องการสัมผัสบรรยากาศย้อนยุค เหมือนหลุดเข้าไปในโลกสมัยสงครามเย็นอีกครั้งหนึ่ง

ในที่นี้ป้ายและสินค้าโฆษณาชวนเชื่อแบบคอมมิวนิสต์ยังเป็นสิ่งที่เห็นได้อยู่ทั่วไป สิ่งก่อสร้างก็ยังเป็นแบบ Brutalism ซึ่งเป็นสไตล์ที่เน้นความงามของโครงสร้าง ซึ่งนิยมกันในโซเวียต