หากพูดถึง “การเจิม” แล้ว เพื่อนๆ นักอ่าน คิดถึงอะไรกันบ้างครับ? บางคนอาจนึกถึงการเจิมหัวคู่บ่าวสาว, เจิมรถ, เจิมบ้าน ซึ่งส่วนใหญ่เพื่อความเป็นสิริมงคล แต่รู้ไหมครับว่า ความเชื่อแบบนี้ไม่ได้มีแค่ในกลุ่มศาสนาธรรมิกอย่างฮินดูหรือพุทธเท่านั้น แต่มีความสำคัญในวัตรของศาสนาตระกูลอับราฮัมมิกเช่นยิวหรือคริสต์เป็นอย่างยิ่ง

ในบทความนี้ ผมจะพาทุกท่านไปรู้จักจุดเริ่มต้นของการเจิมน้ำมัน, ความแตกต่างของการใช้น้ำมันเจิมในศาสนายิวและคริสต์ รวมถึงเจาะลึกรายละเอียดที่แตกต่างกันในแต่ละนิกาย…

การเจิมและน้ำมันเจิมคืออะไร?

การเจิมน้ำมันศักดิ์สิทธิ์เป็นวัฒนธรรมดั้งเดิมของตะวันออกกลาง แต่แรกมักใช้เจิมในการสถาปนาให้ผู้เจิมเป็นกษัตริย์หรือนักบวชสำคัญ (แปลว่าก่อนเจิมนั้นเขายังไม่ได้เป็นนักบวช/กษัตริย์ เมื่อเจิมแล้วจึงได้เป็น) โดยมีพื้นฐานความเชื่อว่าการเจิมให้มีกลิ่นหอมนั้น เป็นสัญลักษณ์ของความศักดิ์สิทธิ์ และบริสุทธิ์ ความเชื่อดังกล่าวถูกพัฒนาและทำให้แพร่หลายออกไปโดยชาวยิว

คัมภีร์ตัลมุด (Talmud) ซึ่งเป็นคัมภีร์ดั้งเดิมของชาวยิวกล่าวว่า พระเจ้าได้มาบอกสูตรน้ำมันเจิมกับโมเสส ซึ่งเป็นผู้ได้รับเลือกให้เป็นศาสดาพยากรณ์

นอกจากนั้นคัมภีร์อพยพในไบเบิลภาคพันธสัญญาเดิมได้พูดถึงวัตถุดิบ 5 อย่างที่จะมาทำน้ำมันเจิม ได้แก่ มดยอบ (ยางไม้มีกลิ่นหอม), อบเชย, ตระไคร้หอม, การบูร, และน้ำมันมะกอก ผสมกันออกมาจนเป็นน้ำมันเจิมอันมีกลิ่นบริสุทธิ์

ต่อมาน้ำมันเจิมได้เปลี่ยนจากการใช้เฉพาะนักบวชและกษัตริย์เท่านั้น เป็นการใช้ในศาสนพิธีต่างๆ เช่นการล้างบาปให้กับผู้ที่ถูกเจิม เพื่อให้บุคคลนั้นกลายเป็นผู้มีความบริสุทธิ์ นอกจากนั้นการเจิมยังอาจแสดงถึงการอุทิศตนให้กับพระผู้เป็นเจ้า

คำว่า “พระเมสสิยาห์” หรือบุคคลสำคัญที่จะมานำพาโลกยุคใหม่ตามตำนานของยิว คริสต์ และอิสลามบางสายนั้น แปลตรงตัวว่า “ผู้ถูกเจิมด้วยน้ำมันศักดิ์” (หมายถึงได้รับการเจิมจึงเป็นกษัตริย์ของโลก) ซึ่งตำแหน่งนี้ในศาสนาคริสต์หมายถึงพระเยซู

ศาสนายิว

ในคัมภีร์ตัลมุดของยิว มีการพูดถึงน้ำมันเจิมดั้งเดิมที่ถูกเตรียมโดยโมเสสว่ายังคงอยู่จวบจนปัจจุบันด้วยปาฏิหาริย์ และยังจะถูกใช้ต่อเนื่องไปถึงอนาคต

พระคัมภีร์ฮีบรู ยังมีการกล่าวถึงกลิ่นด้วยว่ากลิ่นที่เหม็นเป็นสิ่งที่แสดงถึงถึงโรคภัย การเน่าผุพัง และการตาย ในขณะที่กลิ่นหอมแสดงถึงความบริสุทธิ์สะอาด ด้วยเหตุนี้น้ำมันจึงถูกใช้เป็นเครื่องหอมที่ให้ความรู้สึกหอมสะอาด และยังเป็นตัวเชื่อมถึงพระผู้เป็นเจ้า เพราะพระเจ้าทรงโปรดปรานกลิ่นหอมอีกด้วย

ทั้งนี้ในอิสราเอลมักนิยมนำน้ำมันมะกอกมาใช้ทำน้ำมันหอม เพราะนอกจากจะถูกต้องตามหลักคัมภีร์ มันยังเป็นน้ำมันพื้นฐานที่ถูกใช้อย่างหลากหลายทั้งใช้ในชีวิตประจำวันทั่วไป

โดยชาวยิวใช้น้ำมันมะกอกมาผสมกับเครื่องเทศต่างๆ ทำน้ำมันเจิมศักดิ์สิทธิ์มากว่า 5,000 ปีแล้ว

อนึ่งในอดีตมีการห้ามชาวบ้านอิสราเอลผลิตน้ำมันศักดิ์สิทธิ์เพื่อประโยชน์แก่กับตัวเอง แต่เมื่อศาสนาคริสต์ ซึ่งได้รับอิทธิพลจากยิวเผยแพร่ออกไปเป็นวงกว้าง คริสต์แต่ละนิกายก็นำน้ำมันนี้มาใช้ด้วย โดยมีความเชื่อต่างกันไป

นิกายโรมันคาทอลิกและออร์โธดอกซ์

ในคริสตจักรโรมันคาทอลิก มักเรียกน้ำมันเจิมว่า “น้ำมันคริสมา” (Chrism) นับเป็น เครื่องหมายของความชื่นชมยินดี ความงดงาม และความศักดิ์สิทธิ์

นอกจากนี้ยังมีการใช้ขี้ผึ้งสำหรับการเจิมเพื่อบรรเทาและเพิ่มพละกำลังทางจิตวิญญาณอีกด้วย

วัตถุประสงค์ในการใช้น้ำมันเจิม 3 อย่าง ได้แก่;

1) ใช้เป็นส่วนหนึ่งในพิธีล้างบาป (ฺBaptism) ทำเมื่อเกิดหรือเมื่อเปลี่ยนศาสนา

2) พิธีรับศีลกำลัง (Confirmation) สำหรับการยืนยันความเชื่อในฐานะคริสตชนอีกครั้ง (หรือเทียบกับพุทธ ก็จะอาจเทียบคล้ายๆ พิธีแสดงตนเป็นพุทธมามกะ) โดยเป็นพิธีที่จะทำขึ้นอีกครั้งเมื่อรู้ความ ช่วงอายุ 13 – 14 ปี

3) พิธีเจิมผู้ป่วย (Anointing of the Sick) สำหรับการบรรเทาความเจ็บป่วยและเสริมสร้างพละกำลังความเชื่อฝ่ายจิตวิญญาณ

ในพิธีการเจิมน้ำมันนี้บาทหลวงจะเป็นผู้เจิมน้ำมัน โดยการใช้นิ้วโป้งในการจุ่มน้ำมันทำเครื่องหมายรูปกางเขนที่หน้าผากของผู้ทำพิธี พร้อมนิ้วที่เหลือในมือข้างเดียวกันปกที่ศีรษะ เป็นสัญลักษณ์ของการปกมือให้พร (ซึ่งทั้งในพิธีล้างบาป และพิธีรับศีลกำลัง จะทำเหมือนกัน)

สำหรับการเจิมน้ำมันสำหรับผู้เจ็บป่วย จะแตกต่างกันนิดหน่อย โดย บาทหลวงจะไปนั่งข้างเตียงหรือรถเข็นผู้ป่วย จากนั้นปกมือบนศีรษะ และจะใช้น้ำมันศักดิ์สิทธิ์ (ในพิธีนี้บางทีจะใช้น้ำมันมะกอกที่ไม่มีกลิ่นหอมหรือขี้ผึ้ง) ทำเครื่องหมายรูปกางเขนบริเวณหน้าผาก และฝ่ามือทั้งสองข้างของผู้ป่วย

นอกจากนี้ยังมีการใช้น้ำมันเพื่อเจิมโบสถ์ เจิมแท่นพิธี หรือบางทีก็เจิมกำแพง …ฟังดูแล้วเหมือนเวลาเราทำบุญขึ้นบ้านใหม่หรือซื้อรถใหม่แล้วให้พระมาเจิมให้นะครับ

การทำน้ำมันเจิมตามความเชื่อทางศาสนาคริสต์ จะทำในสัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์ (1 สัปดาห์ก่อนอีสเตอร์) โดยเริ่มในวันจันทร์ และจะประกอบพิธีในช่วงเช้าวันพฤหัสฯ (เป็นวันที่เชื่อกันว่าเกิดเหตุการณ์กระยาหารมื้อสุดท้าย) โดยพระสังฆราชประจำสังฆมณฑลเป็นผู้ประกอบพิธี

นิกายอัสซีเรีย

นิกายอัสซีเรีย เป็นสายหนึ่งของคริสตนิกายตะวันออกที่อยู่ในซีเรียตะวันออกเฉียงเหนือ มีคำเรียกน้ำมันเจิมที่หลากหลาย อาทิ น้ำมันฮอร์นศักดิ์สิทธิ์ น้ำมันแห่งคาร์นา หรือน้ำมันแห่งการรักษา

เชื่อกันว่าน้ำมันเจิมในคริสตจักรอัสซีเรียเกิดจากการพิธีกรรมในการถวายน้ำมันเจิมภายในของนักบวชพระอัครสาวกตั้งแต่ยุคพระเยซู และได้มีการสืบทอดต่อๆ กันมาในคริสตจักรจนถึงทุกวันนี้ และเมื่อน้ำมันเดิมใกล้หมด ก็จะทำพิธีเสกน้ำมันใหม่ด้วยการเติมน้ำมันใหม่ลงในน้ำมันดั้งเดิม ในวันพฤหัสฯ ของสัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์ของทุกปี

การใช้น้ำมันเจิมจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท โดยจะแบ่งตามพิธีกรรม คือแบบนึงเป็นน้ำมันธรรมดา สำหรับใช้ในพิธีกรรมทั่วไป อีกอันเป็นน้ำมันฮอร์นศักดิ์สิทธิ์ที่สืบต่อมาจากน้ำมันเจิมดั้งเดิมซึ่งจะถูกจำกัดไว้เพื่อใช้สำหรับพิธีตั้งเป็นบาทหลวง และการล้างบาป

นิกายคอปติก

นิกายคอปติก หรือนิกายอียิปต์ออร์โธดอกซ์แห่งอเล็กซานเดรีย เป็นอีกสายหนึ่งในคริสตนิกายออโธดอกซ์

นิกายคอปติคเรียกน้ำมันเจิมนี้ว่า “ไมรอน” (Myron) ซึ่งมีความหมายว่า “มดยอบ” มีความเชื่อว่าน้ำมันเจิมถูกสร้างครั้งแรกโดยพระอัครสาวกยุคพระเยซู (อีกแล้ว) จากการเก็บน้ำมันหอมที่ใช้ชโลมพระศพของพระเยซูระหว่างการฝังในพระคูหาศักดิ์สิทธิ์ และผสมน้ำมันเข้ากับเครื่องเทศหอมต่างๆ

ภายหลังพระเยซูทรงฟื้นคืนชีพ จึงมีการแจกจ่ายน้ำมันบางส่วนเก็บไว้ โดยมีความเชื่อว่านักบุญมาระโกเป็นผู้นำน้ำมันเข้ามา

เมื่อใกล้จะหมด พระสังฆราชจะต้องเป็นคนเสกน้ำมันไมรอนศักดิ์สิทธิ์ใหม่ โดยการนำน้ำมันเดิมมาผสมกับน้ำมันใหม่

น้ำมันเจิมไมรอนถูกใช้เป็นตัวแทนสำหรับการเรียกจิตวิญญาณบริสุทธิ์ที่มักจะทำให้พิธีกรรมต่างๆ อาทิ พิธีล้างบาป พิธีเจิมผู้ป่วย หรือการให้พร โดยมีพระสังฆราชในแต่ละสังฆมณฑลเป็นผู้ทำพิธีเท่านั้น

ต่อมาเมื่อมีผู้ศรัทธาในนิกายเพิ่มมากขึ้น การที่จะให้พระสังฆราชเดินทางไปวางพระหัตถ์สำหรับการทำพิธีกรรมในทุกเมืองก็คงจะเป็นไปได้ยาก จึงได้มีการนำไมรอนมาใช้เป็นตัวแทน โดยแจกจ่ายให้แก่บาทหลวงชั้นรองมาใช้ไมรอนเป็นตราประทับในพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์

นิกายอาร์มีเนีย

นิกายนี้เกิดขึ้นในประเทศอาร์มีเนียตามชื่อ โดยแม้ประวัติศาสตร์จะนับว่านักบุญกรีกอรีผู้ให้ความกระจ่าง (Gregory the Illuminator) เป็นผู้เปลี่ยนอาร์มีเนียเป็นแดนคริสต์ หลังให้ศีลจุ่มแก่พระเจ้าทิริดาเตสที่ 3 ในค.ศ. 301

กระนั้นตามความเชื่อดั้งเดิม บอกว่าน้ำมันเจิมที่มีชื่อเรียกว่า “มูรอน” (Muron) เป็นน้ำมันที่สืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยโมเสส และพระเยซูได้เสกน้ำมันดังกล่าว ให้ศิษย์ชื่อ “แทดเดียส” (บางตำราเรียกจูดัส แต่คนละคนกับ จูดัส อิสคาริโอท ที่ทรยศพระเยซูนะครับ) นำไปอาร์มีเนียเพื่อรักษาอาการป่วยของพระเจ้าอับการ์ หลังจากนั้นก็ฝังขวดน้ำมันไว้ใต้ต้นไม้ในเมืองดารอน (ปัจจุบันอยู่ในตุรกี)

เรื่องเล่ามีต่อมาว่า นักบุญกรีกอรีผู้ให้ความกระจ่างนี่เองเป็นผู้พบกับสมบัติลับนี้อีกครั้ง ทำให้แต่นั้นเป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน ทุกครั้งที่มีการปลุกเสกมูรอน จะมีการใส่น้ำมันดั้งเดิมที่สืบทอดกันมาตั้งแต่โมเสสลงไปด้วยเสมอ โดยเชื่อกันว่าเป็นการส่งต่อความศักดิ์สิทธิ์จากรุ่นสู่รุ่นยาวนานกว่า 1,700 ปี

มูรอนทำมาจากน้ำมันมะกอกและดอกไม้กับเครื่องหอมรวมกัน 48 ชนิด จะทำใหม่ทุกๆ 7 ปี โดยมีการนำน้ำมันเก่าที่เหลือมาผสมด้วยเสมอ ก่อนส่งออกไปยังโบสถ์นิกายอาร์มีเนียทั่วโลก ในอดีตก่อนศาสนาคริสต์จะเผยแพร่กว้างขวางในอาร์มีเนีย น้ำมันเจิมจะมีให้ใช้แค่ในเชื้อพระวงศ์ และใช้เฉพาะโอกาสสำคัญเท่านั้น

บทส่งท้าย

จะเห็นได้ว่า การเจิมน้ำมันเป็นพิธีกรรมที่มีมาแต่โบราณ และยังได้รับการปฏิบัติมาจนถึงปัจจุบัน ด้วยความเชื่อที่แตกต่างกันไปตามแต่ละท้องถิ่น…

ในอดีตแม้ห้ามบุคคลภายนอก หรือบุคคลทั่วไปใช้ แต่ปัจจุบันมีการประยุกต์น้ำมันเจิมศักดิ์สิทธิ์เป็นสินค้า ถือกันว่าเป็นตัวแทนในการเชื่อมถึงจิตวิญญาณกับพระผู้เป็นเจ้า และเวลาใช้ก็เสมือนเป็นรับพรจากพระผู้เป็นเจ้านั่นเอง