เหตุการณ์คราวสิ้นกรุงธนบุรีในปี 1782 (พ.ศ. 2325) เป็นเหตุการณ์ที่มีความสับสนวุ่นวายในหน้าประวัติศาสตร์ไทย และมีการตีความกันไปหลายทาง
ประวัติศาสตร์ในตำราเรียนจะสอนว่ามีกบฏในกรุงธนบุรี พระเจ้าตากสินถูกบังคับให้ผนวช ส่วนสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก (ร.1) ยกทัพกลับมาจากกัมพูชารักษาความสงบ ก่อนจะสำเร็จโทษพระเจ้าตาก และตั้งราชวงศ์จักรีสืบต่อมา
…สิ่งที่เราคุ้นหูกันดีคือ “พระเจ้าตากสินทรงมีพระสติฟั่นเฟือน” เป็นอันตรายต่อบ้านเมือง กลายเป็นความชอบธรรมในการสำเร็จโทษครั้งนั้น
…ส่วนนักประวัติศาสตร์บางส่วนจะบอกว่าจริงๆ พระองค์ไม่ได้ฟั่นเฟือน แต่เป็นเหตุผลทางการเมืองทั้งสิ้น
นอกจากนี้ยังมีกระแสอื่นเล่าว่า พระเจ้าตากสินที่ถูกสำเร็จโทษเป็นตัวปลอม ตัวจริงไปบวชอยู่ที่นครศรีธรรมราช หรือเล่าว่าการเปลี่ยนตัวกษัตริย์เป็นอุบายหลอกเจ้าหนี้จีนเพราะสยามไม่มีเงินใช้หนี้ เป็นต้น
ดังนั้นก่อนที่จะทำความเข้าใจว่าพระสติของพระเจ้าตากสินในยามใกล้สวรรคตนั้นเป็นอย่างไร ผมคิดว่าน่าจะเป็นการดีถ้าจะนำเหตุการณ์ตอนนี้มาเล่าให้ทุกท่านเห็นภาพกัน
บริบท
ในการเล่าเรื่องราวการสิ้นสุดกรุงธนบุรี จะขอเริ่มจากเหตุการณ์สองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกัน
เหตุการณ์แรกคือในปี 1779 (พ.ศ. 2322) นั้นแผ่นดินกัมพูชาเกิดเหตุการณ์วุ่นวาย กษัตริย์เขมรที่สวามิภักดิ์ฝ่ายไทยถูกลอบปลงพระชนม์ แล้วขุนนางยกกษัตริย์ที่นิยมญวนให้ขึ้นครองราชย์แทน ดังนี้จึงเป็นชนวนที่พระเจ้าตากสินส่งสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ (ร.1) ศึกยกทัพไปปราบ
ในครั้งนั้นมีการยกทหารไปประมาณ 10,000 คน ทำให้ไพร่พลที่อยู่ป้องกันกรุงธนบุรีเบาบาง…
ตัดมาอีกด้านหนึ่งคือ มีเหตุการณ์ที่สองเกิดขึ้นพร้อมกัน คือเรื่องปัญหาสัมปทานการขุดทรัพย์สมบัติในกรุงเก่า
กล่าวคือในคราวเสียกรุงครั้งที่ 2 ในปี 1767 (พ.ศ. 2310) ผู้คนกรุงเก่า (อยุธยา) ต่างฝังสมบัติไว้ในดินให้พ้นมือข้าศึกกันมาก แต่ต่างล้มหายตายจากไม่ได้ไปขุดคืน มีขุนนางคนหนึ่งคือ “พระวิชิตณรงค์” เห็นเป็นช่องทาง จึงขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตผูกขาดการขุดสมบัตินี้ แลกกับการส่งเงินเข้าหลวง และเก็บส่วนต่างเข้าตัว
แต่ขุนนางรายนี้ไม่ได้ไปขุดสมบัติอย่างเดียวนี่สิ กลับใช้อำนาจไปรีดไถเอาทรัพย์สินกับประชาชนแถวนั้นด้วย… ทำให้ชาวบ้านเดือดร้อนเป็นอย่างยิ่ง
กบฏพระยาสรรค์
โดมิโนตัวแรกของเหตุการณ์ล่มสลายของกรุงธนบุรี คือมีคนชื่อ “นายบุนนาก” ถูกพระวิชิตณรงค์กดขี่รีดไถทรัพย์มาก ก็พาชาวบ้านต่อต้าน การลุกฮือนี้มีขึ้นเพื่อสู้กับขุนนางชั่วก็จริง แต่เท่ากับเป็นการ “ต่อต้าน” อำนาจของกรุงธนบุรีไปด้วย
ด้านพระเจ้าตากสินรับสั่งให้บริวารชื่อ “ขุนแก้ว” เอาปืนคาบศิลา 1,000 ไปช่วยปราบกบฏบุนนาก
…แต่ไม่ทราบเพราะอะไร ขุนแก้วกลับไปเข้าร่วมกับกบฏเสียอย่างนั้น!
ทำให้พวกกบฏมีอาวุธยุทโธปกรณ์เพิ่มขึ้นเป็นอันมาก… นี่ทำให้จากการลุกฮือของชาวบ้านธรรมดาเปลี่ยนเป็นการกบฏของกองกำลังที่มีอาวุธทันสมัย (ปืน 1,000 กระบอกสมัยนั้นคือเยอะมาก)…
หลังจากพระเจ้าตากสินทรงได้รับรายงานว่าเหตุการณ์รุนแรงขึ้น ขุนแก้วก็ทรยศเสียแล้ว พระองค์จึงรับสั่งให้ “พระยาสรรค์” ซึ่งเป็นขุนนางที่ไว้วางพระทัย ให้ยกทัพไปปราบกบฏ
…ไม่แน่ใจว่าพระเจ้าตากสินคิดอะไรอยู่ …แต่ “พระยาสรรค์” ผู้นี้คือพี่ชายของ “ขุนแก้ว” ที่แปรพักตร์ไปแล้วก่อนหน้านี้!…
ดังนั้นแทนที่พระยาสรรค์จะยกทัพไปปราบ เขาจึงกองเอาทัพไปเข้าร่วมกับกองกำลังกบฏ ทำให้กบฏสัมปทานครั้งนี้มีกำลังเพิ่มขึ้นไปอีกมาก
ประกอบกับตอนนั้นกรุงธนบุรีอ่อนแอ เพราะส่งทหารไปตีเขมรเสียมาก ทหารที่ยังอยู่ก็เข้ากับกบฏไปเยอะตามที่กล่าว พวกกบฏขุนแก้วพระยาสรรค์จึงเหิมเกริมมากพอจะยกพลลงมาล้อมกรุงธนบุรีแทน!
มีบันทึกเวลานั้นพระเจ้าตากสินยังไม่ระแคะระคาย บรรทมเป็นปกติ …จนตื่นขึ้นเพราะลูกปืนใหญ่ตกในบริเวณวัง
..ส่วนกองกำลังที่รักษาพระนครอยู่นั้นเป็นฝรั่งอยู่ประจำป้อม ตอนแรกพวกนี้จะต่อสู้เป็นสามารถ แต่พวกกบฏจับลูกเมียพวกเขาไว้เป็นตัวประกัน ทำให้พวกฝรั่งพากันยอมจำนน
ขุนนางที่ภักดีต่อพระเจ้าตากสินยังพอมีอยู่ พยายามจะเอาปืนใหญ่มายิงต่อสู้ แต่พระองค์ตรัสว่า “สิ้นบุญพ่อแล้ว อย่าให้ยากแก่ไพร่เลย” เป็นการบอกว่าไม่อยากให้ราษฎรเสียเลือดเนื้อในสงครามกลางเมือง
…เป็นอันว่าพระเจ้าตากสินผ่านศึกยิ่งใหญ่มาก็มาก …ที่ผ่านมารบชนะมาเป็นส่วนใหญ่ แต่พอถึงคราวอับจน กลับตัดสินใจผิดพลาดหลายครั้ง จนกบฏชาวบ้านกลับลุกลามกลายเป็นทัพใหญ่ มาทำลายกรุงธนบุรีสำเร็จ!
หลังจากนั้นพวกพระยาสรรค์ก็ให้พระเจ้าตากสินไปผนวช ซึ่งพระองค์ทรงยอมรับอย่างยินดี “ทรงพระสรวลตบพระเพลา ว่าเอหิภิกขุลอยมาถึงแล้ว” (เอหิภิกขุ แปลว่า พระสงฆ์ที่พระพุทธเจ้าทรงบวชให้เอง ประโยคนี้พระเจ้าตากสินหมายถึงอะไร แล้วแต่ทุกท่านจะตีความกันนะครับ)
ในช่วงนี้ถือได้ว่าพระยาสรรค์เป็น “รัฏฐาธิปัตย์” กุมอำนาจในพระนครอย่างเบ็ดเสร็จแล้ว จะตั้งตนเป็นกษัตริย์ก็ยังได้ แต่กลับมิได้ลงมือเพราะเหตุผลใดไม่ทราบเหมือนกัน…
โดยมีบันทึกว่าพระยาสรรค์เพียงแต่ว่าราชการอยู่เฉพาะฝ่ายหน้าเท่านั้น ไม่ได้เข้าไปใน “ฝ่ายใน” ดังความในจดหมายเหตุความทรงจำของกรมหลวงนรินทรเทวี ว่า “ณ วันพุธ เดือน ๔ แรม ๑๕ ค่ำ พระยาสรรค์ขึ้นนั่งซัง แจกเงินข้างใน กลับออกไปนอนอยู่ข้างหน้า สั่งว่าจะฟังละครร้องอยู่ข้างในจะฟังแต่สำเนียง”
สงครามกลางเมือง (ของจริง)
โดมิโนลำดับถัดมา คือ เหตุการณ์ที่สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกยกทัพกลับมากรุงธนบุรี
เมื่อสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกซึ่งตั้งทัพอยู่ที่เสียมราฐทราบข่าวจลาจลในกรุงธนบุรี จึงคิดยกทัพกลับ พร้อมทั้งสั่งให้คนของตน “เข้าล้อมกรมขุนอินทรพิทักษ์ (โอรสพระเจ้าตากสินที่มาทัพด้วยกัน) ไว้อย่าให้รู้ความ” เป็นการร่วมมือกับการทำลายขั้วอำนาจเก่า
ทัพพระยาสุริยอภัย (ทัพหน้าของ ร.1) ยกมาถึงกรุงธนบุรีเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 1782 (พ.ศ. 2325) เหตุการณ์ต่อไปนี้ค่อนข้างชวนสับสนเล็กน้อย คือในช่วงแรกพระยาสรรค์ทำเชิญให้พระยาสุริยอภัยมาว่าราชการด้วยกัน และตกลงกันว่าจะให้จับพระเจ้าตากสินสึก พร้อมทั้งให้ใส่โซ่ตรวนพันธนาการไว้
แต่ต่อมาพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาเล่าว่า พระยาสรรค์คงพึ่งจะหวังราชสมบัติเสียเอง จากที่เฉยอยู่ก่อนหน้านี้ จึงชวนขุนนางที่ภักดีต่อพระเจ้าตากปล่อยตัวพระเจ้าตากสินตลอดจนเชื้อสายออกจากคุกมาสู้ศึก
มีการกราบทูลพระเจ้าตากสินให้ร่วมสู้ศึก แต่พระองค์ทรงตอบว่า “สิ้นบุญเราแล้ว อย่าทำเลย” ทำให้เหล่าคนที่สนับสนุนพระองค์เสียกำลังใจเป็นอันมาก
ถึงพระเจ้าตากสินไม่ทรงสนับสนุน แต่การต่อสู้ระหว่างขุนนางฝ่ายพระยาสรรค์กับฝ่ายสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกยังคงเกิดขึ้น โดยเหตุการณ์ตรงกับวันที่ 2 เมษายน 1782 (พ.ศ. 2325)
การต่อสู้กินเวลาคืนเดียว ผลปรากฏว่าพระยาสุริยอภัยเป็นฝ่ายชนะ ขุนนางฝ่ายพระยาสรรค์ที่หนีไปถูกตามจับได้
วันที่ 6 เมษายน 1782 (พ.ศ. 2325) สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกยกทัพมาถึงกรุงธนบุรี มีการปรึกษาความผิดของพระเจ้าตากสินร่วมกับขุนนาง เห็นว่า “พระเจ้าแผ่นดินละสุจริตธรรมเสียฉะนี้ ก็เห็นว่าเป็นเสี้ยนหนามหลักตออันใหญ่อยู่ในแผ่นดิน จะละไว้เสียมิได้ควรจะให้สำเร็จโทษเสีย”
ส่วนเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกเองตั้งข้อหาเพิ่มเติมกับพระเจ้าตากสิน คือ จับลูกเมียไว้เป็นตัวประกันเวลาใช้ออกไปรบทัพจับศึก เป็นความไม่พอใจส่วนตัว
พระเจ้าตากสินเองทรงรับผิดโดยดี จึงมีการตัดสินให้สำเร็จโทษที่ป้อมวิไชยประสิทธิ์…
เหตุการณ์ในตอนนี้มีการบันทึกไว้ในหลักฐานร่วมสมัยหลายชิ้น เช่น พระราชพงศาวดารกรุงธนบุรีฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) มีบรรยายว่า “ฝ่ายทแกล้วทหารทั้งปวงมีใจเจ็บแค้นเป็นอันมาก ก็นำเอาพระเจ้าแผ่นดินและพวกโจทย์ทั้งปวงนั้นไปสำเร็จ ณ ป้อมท้ายเมืองในทันใดนั้น”
ในพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาได้บรรยายเหตุการณ์ก่อนสำเร็จโทษไว้อย่างละเอียดพิสดาร ดังนี้ “เจ้าตากจึงว่าแก่ผู้คุมเพชฌฆาตว่า ตัวเราก็สิ้นบุญจะถึงที่ตายอยู่แล้ว ช่วยพาเราไปแวะเข้าหาท่านผู้สำเร็จราชการ จะขอเจรจาด้วยสักสองสามคำ
ผู้คุมก็ให้หามเข้ามา ได้ทอดพระเนตรเห็น จึงโบกพระหัตถ์มิให้นำมาเฝ้า ผู้คุมและเพชฌฆาตก็หามออกไปนอกพระราชวัง”
แปลว่า รัชกาลที่ 1 ไม่ให้พระเจ้าตากสินซึ่งเป็นนายเก่าเข้าพบในวาระสุดท้าย
…นี่จึงเป็นจุดสิ้นสุดของกรุงธนบุรี…
นับได้ว่าการบอกว่าพระเจ้าตากสินมีพระสติฟั่นเฟือนนั้นเป็นเหตุผลที่ถูกหยิบมาใช้เพราะ “จำใจต้องทำ” เพื่อเห็นแก่บ้านเมือง
ขณะเดียวกัน นักประวัติศาสตร์บางส่วนจะหยิบยกประเด็นที่เชื่อว่าพระเจ้าตากสินไม่ได้มีพระสติฟั่นเฟือน และเหตุการณ์ในช่วงปลายรัชกาลล้วนมีปัจจัยทางการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องทั้งสิ้น
เช่น บอกให้ขุนนางที่ภักดียอมแพ้เพื่อไม่ให้ราษฎรเสียเลือดเนื้อ หรือขอเข้าพบ ร.1 ก่อนถูกสำเร็จโทษ …นี่มันเป็นคำพูดของคนที่มีสติสัมปชัญญะดีมิใช่หรือ?
นอกจากนี้ยังมีเหตุการณ์หลาย ๆ อย่างที่ชวนให้ขบคิด เช่น นายบุนนากผู้นำชาวบ้านลุกฮือที่กรุงเก่านั้น ภายหลังก็ได้รับความชอบได้เลื่อนยศในสมัยรัชกาลที่ 1
หรือการยกทัพไปรักษาความสงบในเขมรนั้น ก็มีหลักฐานว่ารัชกาลที่ 1 ไปตั้งทัพที่นครราชสีมาอยู่ 4 เดือน แล้วค่อยยกเข้าเขตกัมพูชา จนแม้แต่รัชกาลที่ 5 ยังมีพระราชวิจารณ์ว่า “การที่ไปตั้งเสียมราฐครั้งนั้นดูเหมือนจะระแวงการข้างภายในอยู่มากแล้ว จึงได้รั้งรอไม่สู้จะทำการเดินออกไปเร็ว”
แถมพอไปถึงกัมพูชาแล้วก็กลับไปสงบศึกกับแม่ทัพญวน แล้วยกทัพกลับมากรุงธนบุรีเมื่อทราบข่าวจลาจล
นี่จึงเป็นข้อสงสัยที่นักประวัติศาสตร์มีผลงานใหม่ๆ ออกมาอธิบายอยู่เรื่อยๆ ว่าแท้จริงแล้วรัชกาลที่ 1 มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์เหล่านี้แต่แรกหรือไม่?
Debunk นิยายประวัติศาสตร์
เนื่องจากบทความนี้ต้องการจะบอกเล่าเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ที่มีความน่าเชื่อถือมากที่สุด จึงขอกล่าวถึงเรื่องเล่าแวดล้อมอื่นๆ ที่ “ยังไงก็ไม่จริง” นะครับ
เรื่องแรก คือ พระเจ้าตากสินที่ถูกสำเร็จโทษนั้นเป็นตัวปลอม ส่วนตัวจริงไปบวชอยู่นครศรีธรรมราชนั้น ต้นเรื่องนี้มาจากหลวงวิจิตรวาทการ ซึ่งมีหลักฐานคือว่า “ผีดลใจให้เขียน”
อีกเรื่อง คือ บอกว่าพระเจ้าตากสินแกล้งทำเป็นเสียจริต แล้วเปลี่ยนตัวกษัตริย์เป็นรัชกาลที่ 1 เพื่อ “หนีหนี้” ที่ยืมมานั้น ข้อนี้ชัดเจนว่าไม่มีหลักฐานเรื่องพระเจ้าตากสินเคยขอกู้ยืมเงินจากจีน หรือที่ว่าจีนเคยอนุมัติหรือทวงถามเงินกู้เลย
เรื่องราวเหล่านี้คาดว่าแต่งขึ้นมาเพื่อประนีประนอมให้มีจบแบบ Happy Ending มากกว่า…
เหตุการณ์การสิ้นกรุงธนบุรีนั้นเชื่อมโยงกับเรื่องพระสติของพระเจ้าตากสินอย่างแยกไม่ออก เพราะนี่เป็นเหตุผลที่ใช้เพื่อสร้างความชอบธรรมในการผลัดเปลี่ยนราชวงศ์…
::: ::: :::
ในหนังสือ “วิเคราะห์พระสติพระเจ้าตาก” โดย นพ. ชาคร จันทร์สกุล สุดยอดแฟนพันธุ์แท้ประวัติศาสตร์กรุงธนบุรี (2004) ได้มีการตีความหลักฐานทางประวัติศาสตร์อย่างรอบด้านเพื่อสกัดเอาข้อมูลที่น่าเชื่อถือนำมาวิเคราะห์พระสติของพระองค์ท่าน
หนังสือเล่มนี้มุ่งหวังให้ผู้อ่านได้ทำความเข้าใจต่อ “คำถามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคำถามหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ไทย” หรือที่ว่า “สมเด็จพระเจ้าตากสินมีสติวิปลาสหรือไม่” ด้วยข้อมูลที่เรียบเรียงมาเป็นอย่างดี ประกอบกับหลักฐานวิทยาศาสตร์การแพทย์ เพื่อตามหาความจริง
- ท่านที่สนใจ สามารถติดต่อได้ที่ Line OA https://lin.ee/fNEO1jr กดสมัครแล้วพิมพ์แจ้งว่า “สนใจหนังสือพระเจ้าตาก” นะครับ
- อีกหนึ่งช่องทางท่านสามารถกดสั่งซื้อผ่านหหน้าเว็บได้ที่ลิงก์นี้ https://www.thewildchronicles.com/product/king-taksin-minds/
0 Comment