ท่านผู้อ่านที่รัก… วันนี้ The Wild Chronicles จะพาท่านไปดูหนังที่คู่ควรกับคำว่า “สุดเสื่อม” และ “สุดพีก” ไปพร้อมกัน ในหลายๆ ความหมาย

…คือเรามักจะคุ้นเคยกับ “ก็อตซิลล่า” หรือหนังไคจู (สัตว์ประหลาดยักษ์) ชื่อดังก้องโลก ซึ่งมีต้นกำเนิดจากบริษัทโตโฮประเทศญี่ปุ่น อย่างไรก็ตามยังมีภาพยนตร์เรื่องหนึ่งที่นำ “แรงบันดาลใจ” จากก็อตซิลล่า มาสร้างตามจนเป็นที่สะเทือนเลื่อนลั่นไปทั่วโลก

…สะเทือนเลื่อนลั่นไม่ใช่เพราะมันสร้างดี …แต่เพราะคนสร้างนั้นคือท่านผู้นำ “คิมจองอิล” แห่งเกาหลีเหนือ ซึ่งชื่นชอบก็อตซิลล่ามากๆ

…และเขาชอบจนไม่ได้เอามาเพียงแรงบันดาลใจ แต่ถึงกับวางแผนนำตัวทีมงานหลักๆ ของก็อตซิลล่ามา เพื่อทำหนังให้!

ความพีกของ “พุลกาซารี” หรือก๊อตซิลล่าเกาหลีเหนือ คือมันเป็นหนังโฆษณาชวนเชื่อเพื่อต่อต้านทุนนิยมศักดินา และเชิดชูระบอบคอมมิวนิสต์ …ขณะเดียวกันทีมงานที่ถูกบังคับมาทำ ก็ได้สอดแทรกสารลับไว้ในเรื่อง เหมือนจะบอกแก่ผู้ดูว่า “ช่วยด้วย!” อยู่ตลอด…

หนังเรื่องนี้จะโหดเพียงไร!? จะกาวแค่ไหน!?

…ขอเชิญทุกท่านรับชมได้เลยครับ…

สิ่งที่พีกที่สุดสำหรับหนัง พุลกาซารี (1985) คือมันเกิดจากความคลั่งไคล้ในภาพยนต์ของ คิมจองอิล ผู้นำเกาหลีเหนือ (พ่อของ คิมจองอึน ผู้นำคนปัจจุบัน) ซึ่ง ณ เวลานั้นดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการฝ่ายศิลป์และภาพยนตร์ของสำนักงานโฆษณาชวนเชื่อ

คิมจองอิลเบื่อหน่ายกับภาพยนตร์โฆษณาชวนเชื่อแนวสงครามแบบเดิมๆ เขาอยากสร้างหนังก๊อตซิลล่าของเกาหลีเหนือ แต่ไม่เชื่อในคุณภาพบุคลากรที่มี

เขาจึงตัดสินใจวางแผนหลอกพาทีมโตโฮได้แก่ ผู้กำกับเอฟเฟคท์ “เทรุโยชิ นากาโนะ”, นักแสดงสตั้นแมนผู้สวมชุดก็อตซิลล่า “เคนปาชิโระ ซัตสึมะ”, และทีมงานอื่นๆ รวม 15 ชีวิตมาช่วยสร้างภาพยนตร์ โดยตอนแรกบอกว่ามาทำหนังให้นายทุนจีน ก่อนจะจับมาเกาหลีเหนือ

นอกจากนั้นยังมี “ชินซังอ๊ก” ผู้กำกับชื่อดังชาวเกาหลีใต้ที่เป็นตัวหลัก เขาถูกลักพาตัวมาทั้งปลอบทั้งขู่ให้ช่วยสร้างสรรค์ผลงานชิ้นนี้ ทำให้เทคนิคในเรื่องมีความสวยงามและทันสมัยมากกว่าภาพยนตร์เกาหลีเหนืออื่นๆ

เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ขอเชิญติดตามได้เลยครับ…

หลังจากดูเครดิตมาเกือบ 2 นาทีเต็ม เปิดเรื่องมาเราจะพบกับครอบครัวของเอมิ (ต่อไปขอเรียกว่าน้องมี่) ซึ่งประกอบด้วยเธอ, น้องชาย, และพ่อผู้เป็นช่างตีเหล็กมือหนึ่งประจำหมู่บ้าน (เพราะมีอยู่คนเดียว)

เมื่อรู้จักนางเอกแล้ว หนังก็ไม่รอช้าพาเราไปรู้จักกับพระเอกชื่อ อินดี (ต่อไปขอเรียกว่าพี่อินดี้) ผู้เป็นนายช่างอันดับหนึ่งของหมู่บ้าน (เพราะมีอยู่คนเดียวอีกแล้ว) ซึ่งชอบพอกับน้องมี่อยู่เหมือนกัน และพ่อน้องมี่ยังหวังให้แต่งงานกับน้องมี่ด้วย

…แต่พี่อินดี้ของเรานั้นมีหัวใจที่เปี่ยมด้วยความยุติธรรม จึงคิดทำการใหญ่เพื่อปลดปล่อยชาวบ้านที่โดนข่มเหงรังแกจากเจ้าเมืองเลวก่อน หากทำไม่สำเร็จ ก็ไม่คิดหาความสุขส่วนตน

อย่างไรก็ตามพี่อินดี้รู้ว่าการต่อต้านเจ้าเมืองเลวอาจทำให้คนรอบข้างตกอยู่ในอันตราย เขาและพรรคพวกจึงเตรียมออกเดินทางไปกบดานบนภูเขา แต่คนของเจ้าเมืองเลวก็เดินทางมาถึงโรงตีเหล็กพอดี

คนของเจ้าเมืองเลวได้สั่งให้พ่อน้องมี่ผลิตอาวุธจำนวนมากสำหรับทหาร แต่พ่อน้องมี่ทัดทานว่าโรงเหล็กของเขาแทบไม่เหลือโลหะให้ตีแล้ว!

คนเหล่านั้นหัวเราะพร้อมกล่าวว่า… ไม่ต้องห่วงพวกเราเตรียมของเหล็กจำนวนมากไว้เรียบร้อยแล้ว!

แน่นอนว่าโลหะเหล่านี้ไม่ได้มาจากไหนไกล… เพราะว่ามันคือเครื่องมือทำมาหากินต่างๆทั้ง จอบ, เสียม, หรือแม้แต่กระทะของชาวบ้านต่างถูกทหารของเจ้าเมืองเลวบังคับขู่เข็ญมาด้วยกำลัง! โอ พวกศักดินานี่มันช่างเลวและไร้เหตุผลจริงๆ…

ทันใดนั้นพี่อินดี้ที่พึ่งแอบหนีมาได้ ก็เห็นแม่ของตนกำลังถูกทำร้ายจึงเข้าไปตะลุมบอนกับเหล่าทหารแต่พลาดท่าถูกจับตัวไป!

เมื่อเห็นว่าชาวบ้านต้องพบกับความยากลำบาก พ่อน้องมี่จึงเรียกให้ชาวบ้านทุกคนมาเอาอุปกรณ์ทำมาหากินคืนจากบ้านของตน

พ่อน้องมี่อ้างกับทางการว่าอุปกรณ์ทำมาหากินนั้นถูกขโมย ทำให้ไม่มีโลหะแล้ว แน่นอนว่าการกระทำของเขาทำให้เจ้าเมืองเลวหัวเสียเป็นอย่างมาก จึงสั่งโทษด้วยการโบยตีจะจับขังคุก

แม่พี่อินดี้ที่ทราบข่าวจึงนำเรื่องนี้มาแจ้งกับน้องมี่ว่าพ่อเธอถูกจับไป (จริงๆ พ่อก็ควรโดนจับจากบ้าน แต่น้องมี่รู้ตัวช้า) ทำให้น้องมี่ และน้องชาย (ซึ่งเป็นตัวประกอบเลยไม่ได้ใส่ชื่อให้) พยายามเอาอาหารไปเยี่ยมเยียน

แต่สองพี่น้องกลับถูกผู้คุมตะเพิดไล่เพราะกลัวว่าตนเองจะโดนลงโทษ …โชคยังดีที่น้องชายมี่ได้ยินเสียงของพ่อบนห้องขังด้านบน จึงใช้ปั้นข้าวเป็นก้อนๆ แล้วโยนผ่านช่องหน้าต่างไป

พ่อน้องมี่ได้รับข้าวแล้วก็คิดว่า… จะกินข้าวดี หรือจะเอาไปทำคุณไสยดี? …เดี๋ยวนะ

สุดท้ายพ่อน้องมี่เลือกอย่างหลัง จึงเอาข้าวปั้นเป็นตุ๊กตุ่น “พุลกาซารี” ซึ่งเป็นสัตว์เทพในนิทานปรัมปราซึ่งกินโลหะเป็นอาหาร (มันคือตัวเดียวกับ บาคุ หรือปีศาจสมเสร็จกินฝัน ซึ่งเป็นตำนานร่วมของจีน-เกาหลี-ญี่ปุ่น ซึ่งพุลกาซารีเวอร์ชันเกาหลีนั้นกินโลหะได้ด้วย)

จากนั้นชายชราได้สวดอ้อนวอนขอให้เทพเจ้าช่วยดลบันดาลให้มันมีชีวิต เพื่อช่วยปกป้องชาวบ้าน ก่อนจะสิ้นใจลงด้วยความแค้นใจที่จุกอยู่เต็มอก!

…สรุปพ่อน้องมี่มีเวทมนต์ แต่จะใช้ทีต้องแลกด้วยพลังชีวิต (ไหนว่าคอมมิวนิสต์ไม่เชื่อศาสนา)

หลังการเสียชีวิต ชาวบ้านต่างแห่ศพของพ่อน้องมี่กลับหมู่บ้านด้วยความเศร้าสลด น้องมี่รู้สึกโหวงๆ เพราะเอาข้าวให้พ่อแล้วพ่อไม่กิน กลับเอาไปปั้นเป็นตุ๊กตุ่นไคจูเล่น …แต่พ่อตายแล้วก็เสียใจ เธอจึงนำเอาตุ๊กตุ่นพุลกาซารีมาวางไว้ในห้องนอนเพื่อของดูต่างหน้าสักนิดก็ยังดี ระหว่างที่มันยังไม่บูด

ระหว่างนั้นน้องมี่เผลอทำเข็มเย็บผ้าจิ้มมือตนเอง มีเลือดหยดลงไปโดนตุ๊กตุ่น …ด้วยอำนาจของเทพยดาทำให้เจ้าสัตว์ประหลาดกลับมีชีวิตขึ้นมาจริงๆ! (แต่ศาสนาเป็นยาเสพติดนะครับ)

พุลกาซารีเริ่มกินเข็มเย็บผ้าไปทีละเล่มจนหมด ทำให้น้องมี่กับน้องชายประหลาดใจเป็นอันมาก!

แต่แทนที่สองพี่น้องจะหนีไปขอความช่วยเหลือ พวกเขาก็คิดว่าสัตว์ประหลาดนั้นอาจจะเป็นโดเรม่อนที่ย้อนเวลามาให้ของวิเศษก็ได้ พวกเขาจึงเล่นกับเพื่อนใหม่อย่างสนุกสนานพร้อมกับลืมความโศกเศร้าที่พ่อเสียไปสิ้น

ทั้งหมดอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขตลอดไป จบบริบูรณ์…

ซะที่ไหนล่ะ! …นี่มันหนังสัตว์ประหลาดไม่ใช่เพื่อนรักต่างสายพันธุ์จะมาตัดจบแบบนี้ได้อย่างไร? เมื่อตื่นขึ้นมาทั้งสองพี่น้องได้พบว่าเจ้าสัตว์ประหลาดหายตัวไปเสียแล้ว…

พวกเขาเดินตามหาจนมาพบกับเจ้าพุลกาซารีที่กำลังเขมือบเหล็กในโรงตีอย่างเอร็ดอร่อย! แถมขนาดตัวมันยังขยายขนาดขึ้นอีกด้วย

ทันใดนั้นเอง… แม่ของพี่อินดี้ก็วิ่งร้องไห้เข้ามาอีกรอบ พร้อมคร่ำครวญว่าลูกชายของเธอกำลังจะโดนประหารในคดีอั้งยี่ซ่องโจร!

ตัดไปที่ลานประหาร พี่อินดี้กำลังจะถูกตัดหัว …ท่ามกลางนาทีวิกฤตนั้น เจ้าพุลกาซารีก็ปรากฎตัวขึ้นพร้อมงับดาบของเพชรฆาต (มันคือก้อนยาวๆ ที่มีตูดกลมๆ น่ะ) ทำให้พี่อินดี้สามารถใช้จังหวะชุลมุนหลบหนีไปได้สำเร็จ!

แม้พุลกาซารีจะช่วยสมาชิกหมู่บ้านไว้ อย่างไรก็ตามความต้องการเขมือบเหล็กแบบไม่มีที่สิ้นสุดทำให้ชาวบ้านต้องไล่มันออกไป… มันจึงแอบเข้าไปกินอาวุธในคลังของเจ้าเมืองเลวก่อนจะเดินออกมาแบบชิลๆ เพราะไม่มีอาวุธใดสามารถทำอันตรายมันได้

น้องมี่กับน้องชายถือจอบและคราด (ถือไปทำไม?) วิ่งไปตามหาเจ้าสัตว์ประหลาดจนพบมันอยู่กลางป่า ตอนนี้พุลกาซารีมีขนาดใหญ่ขึ้นอีกแล้ว

พุลกาซารีรีบเข้ามาหาสองพี่น้องอย่างรวดเร็ว… ไม่ใช่เพราะรักนะ แต่มาเขมือบจอบและคราดด้วยความหิวก่อนจะเดินหายไปโดยไม่สนใจเสียงเรียกใดๆ

เมื่อไม่สามารถจับตัวพี่อินดี้มาลงโทษได้… เจ้าเมืองเลวจึงสั่งให้นำตัวแม่และน้องชายของเขามาทรมาน จนน้องชายปริปากบอกที่ซ่อนของกลุ่มต่อต้านด้วยความเจ็บปวด

ตัดมายังพี่อินดี้และพรรคพวกซึ่งกำลังซ้อมรบกันอยู่ เขาได้ยินข่าวร้ายว่าครอบครัวของพี่อินดี้ถูกจับ! พี่อินดี้จึงตัดสินใจนำกำลังบุกคุก

อย่างไรก็ตามพวกเขามาถึงช้าเกินไปทำให้ไม่สามารถช่วยชีวิตแม่กับน้องได้ พี่อินดี้โกรธแค้นจึงนำกำลังบุกเข้าจวนเจ้าเมืองเลว ก่อนจะเปิดฉากสังหารศัตรูจนหมดสิ้น

และแล้ว… พี่อินดี้ของเราก็สามารถปิดบัญชีแค้นให้กับครอบครัวได้สำเร็จ ด้วยการปักดาบลงกลางอกของเจ้าเมืองเลว!

(อ้าว ถ้าเคลียร์ได้เองแล้วพุลกาซารีจะถูกเสกมาทำไม…? เสกเพื่ออะไร…?)

…เพื่อไม่ให้เรื่องถูกตัดจบโดยพุลกาซารียังไม่มีบทเราจึงต้องเปิดตัวบอสใหญ่ คือจักรพรรดิชั่วที่เป็นเจ้านายของเจ้าเมืองเลวอีกที พอเขาได้ทราบข่าวความพ่ายแพ้ของลูกน้องแล้ว จึงมีรับสั่งให้ส่งทัพหลวงไปปราบปรามกลุ่มกบฏให้สิ้นซาก!

ฝ่ายพี่อินดี้และทีมงานเองก็ไม่รอช้า รีบอพยพชาวบ้านขึ้นไปบนภูเขาเพื่อตั้งรับบนชัยภูมิที่ได้เปรียบ

เหล่าทหารหลวงเดินทัพไล่ติดตามขึ้นไปบนภูเขา แต่พี่อินดี้ทราบอยู่แล้ว จึงวางกับดักไว้เพียบ!

กองทัพกบฏใช้ความได้เปรียบทางภูมิประเทศ โจมตีทหารหลวงด้วยการทิ้งท่อนไม้และก้อนหินใส่ ก่อนจะรุกไล่จนอีกฝ่ายต้องหนีตายกันอลหม่าน ทำให้ฝ่ายกบฏชนะศึกอย่างไม่ยากเย็น (อ้าวแล้วพุลกาซารีล่ะ?)

เมื่อเห็นว่าไม่สามารถสู้รบโดยตรงได้ แม่ทัพโฉดของจักรพรรดิชั่วจึงได้สั่งให้ทหารปิดล้อมเส้นทางลำเลียงเสบียง ทำให้ฝ่ายกบฏต้องเผชิญกับภาวะขาดแคลนอาหารอย่างหนัก จนต้องกินผัก, หญ้าแห้ง, และเปลือกไม้เพื่อประทังชีวิต

แม้ว่ากบฎบางคนพยายามจะลอบออกไปหาอาหาร แต่ก็ถูกทหารของแม่ทัพโฉดที่ดักซุ่มอยู่สังหารจนหมด

วันหนึ่งน้องมี่ที่กลับมาจากการเก็บผักก็ถูกพวกทหารไล่ต้อนจนเกือบจนมุม แต่ได้เจ้าพุลกาซารีเข้ามาช่วยชีวิตเอาไว้ ทำให้เธอกลับไปบอกกับพี่อินดี้และพรรคพวกว่าสิ้งนี้คือสัตว์เทพที่จะช่วยให้พวกเขาสามารถล้มองค์จักรพรรดิชั่วได้! (ในที่สุดก็มีบท)

ฝ่ายกบฎที่ตอนนี้มีสัตว์ประหลาดยักษ์ร่วมทัพ จึงเดินหน้าบดขยี้กองทหารที่ปิดล้อมและรวบรวมเอาอาวุธที่สามารถยึดได้มาให้พุลกาซารีสวาปามเพื่อเพิ่มพลังและขนาด จนพวกเขาประสบชัยชนะครั้งแล้วครั้งเล่า!

เมื่อประสบกับความปราชัยอย่างต่อเนื่อง… แม่ทัพโฉดและผู้ติดตามจึงพยายามหาทางจัดการกับเจ้าสัตว์ประหลาดยักษ์ โดยที่ปรึกษาทรามเสนอว่าควรส่งทหารลอบเข้าไปจับน้องมี่ที่สามารถสื่อสารกับเจ้าพุลกาซารีได้ เพื่อบังคับให้มันยอมแพ้

ขณะนั้นเองนางเอกของเราก็เลือกจะเดินดุ่มๆ ไปตักน้ำคนเดียว ตามประสาวัยรุ่นในหนังสยองขวัญ ทำให้พวกทหารแอบมาลักพาตัวเธอไปอย่างง่ายดาย

เมื่อพี่อินดี้ทราบข่าวจึงระดมพลเข้าช่วยเหลือแฟน! แต่แม่ทัพโฉดได้นำน้องมี่มาเป็นตัวประกันและขู่ว่าจะตัดคอเธอหากพุลกาซารีไม่ยอมเดินเข้ากรงขังเอง

เมื่อเห็นว่าน้องมี่กำลังจะได้รับอันตราย พุลกาซารีแสนรู้จึงยอมเข้าไปในกรงขังอย่างว่าง่าย

แม่ทัพโฉดเห็นดังนั้นจึงสั่งให้ทหารจุดไฟเผากรงจนวอดวาย พร้อมเปิดฉากรุกไล่กองทัพกบฏที่กำลังเสียขวัญอยู่

ทว่าในจังหวะนั้นเองพุลกาซารีก็ปรากฎตัวขึ้นเหนือกองเพลิงอีกครั้ง… ทำให้ฝ่ายกบฏกลับมาพลิกสถานการณ์เป็นฝ่ายชนะ!

ข่าวชัยชนะของกองทัพกบฏแพร่ออกไป ทำให้มีชาวบ้านมาสนับสนุนมากขึ้นเรื่อยๆ พี่อินดี้ได้ยกทัพตีไปถึงเมืองหน้าด่านสุดท้ายก่อนจะถึงเมืองหลวง

โดยที่พวกเขาไม่รู้เลยว่าฝ่ายศัตรูได้เตรียมแผนกำจัดพุลกาซารีเอาไว้เรียบร้อยแล้ว

เมื่อการรบเริ่มขึ้นฝ่ายทหารหลวงแกล้งปล่อยให้พุลกาซารีเข้ามาทำลายกำแพงเมือง (สู้กันมานานยังไม่มีฉากทำลายบ้านเมือง เดี๋ยวจะหาว่าไม่ใช่หนังไคจู) เพื่อล่อมาตกหลุมยักษ์ ซึ่งข้างๆ นั้นมีหมอผีกำลังประกอบพิธีสะกดพลังอยู่

เมื่อเจอสายมูเข้าไป ทำให้พลังของพุลกาซารีลดลงก่อนที่มันจะพลาดท่าตกลงในหลุม และถูกหินฝังกลบจนสิ้นฤทธิ์ในที่สุด

ฝ่ายกบฎที่บัดนี้เป็นรองทั้งด้านกำลังพลและอาวุธ ก็ถูกทหารหลวงไล่บดขยี้อย่างง่ายดาย …โอ…

ความปราชัยครั้งนี้สร้างความสูญเสียให้กับฝ่ายกบฏเเป็นอย่างมาก …และแล้วน้องมี่ของเราก็ต้องพบกับข่าวร้าย

เมื่อชาวบ้านบาดเจ็บคนหนึ่งมาแจ้งว่า… พี่อินดี้ถูกกองทัพหลวงจับได้และจะนำไปประหารชีวิต (อีกแล้ว) แต่คราวนี้พระเอกของเราตายจริง …ก่อนตายได้สั่งเสียให้ชนชั้นกรรมาชีพทุกคนสู้ต่อไปจนกว่าจะได้รับชัยชนะ! (บทจะตายก็ตาย ฮือ)

ความสูญเสียครั้งนี้กลายเป็นพลังให้น้องมี่ของเราเดินหน้าต่อสู้ โดยเธอเเอบปลอมตัวเป็นนางบำเรอเข้าไปสร้างความบันเทิงให้กับกองทหารของแม่ทัพโฉดที่กำลังเฉลิมฉลองกับชัยชนะด้วยความอิ่มเอมใจ

แน่นอนครับ… ไม่มีใครจำได้ว่าสาวที่กำลังเต้นรำอย่างสนุกสนานคือน้องมี่ที่พวกเขาเคยจับมาแล้ว (คือพอเปลี่ยนเสื้อแล้วทุกคนก็จำไม่ได้ อารมณ์ คลาร์ก เค้นต์ กับซุปเปอร์แมน) ทำให้น้องมี่สามารถลอบเข้ามายังหลุมที่ฝังพุลกาซารีอย่างง่ายดาย

นับว่าเป็นโชคดีของฝ่ายตัวร้ายอยู่บ้างเพราะที่ปรึกษาทรามยังพอจำหน้าน้องมี่ได้ แต่นางเอกของเราก็สามารถกรีดเลือดลงไปเพิ่มพลังให้พุลกาซารีทันเวลา

เมื่อสัตว์ประหลาดยักษ์ฟื้นมา มันก็ไล่อาละวาดทำลายป้อมปราการจนพังทลาย! ทำให้กองทหารทั้งหมดต้องถอยทัพกลับไปยังเมืองหลวง

ความพ่ายแพ้ดังกล่าว ทำให้จักรพรรดิชั่วถึงกับร่ำร้องต่อสวรรค์ให้ช่วย ตอนนั้นแม่ทัพโฉดมารายงานเขาได้สั่งสร้างอาวุธมหาประลัยเพื่อใช้จัดการกับพุลกาซารีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว!

อาวุธดังกล่าวคือ… ปืนใหญ่สองแบบนามว่า “ปืนใหญ่ขุนศึก” ที่สามารถยิงกระสุนได้จากลำกล้องทั้งสองด้าน และ “ปืนใหญ่ราชสีห์” ที่ยิงกระสุนออกจากปากได้ (ว่ากันง่ายๆ ก็ปืนใหญ่ทั่วไปที่ทำทรงแปลกๆ นั่นเอง)

“วะ ฮ่าฮ่าฮ่า” จักรพรรดิชั่วหัวเราะแบบเลวๆ พลางคิดว่าอาวุธเหล่านี้จะสามารถสังหารสัตว์ประหลาดและฝ่ายกบฏได้

เหล่าทหารรักษาเมืองต่างระดมยิงปืนใหญ่ทุกกระบอกเข้าใส่เจ้าพุลกาซารี น่าเศร้าที่พวกเขาลืมกฎพื้นฐานของหนังไคจูไปข้อนึงคือ… อาวุธต่างๆ ไม่มีผลต่อไคจูหรอกนะ!

พุลกาซารีซึ่งเปรียบเสมือนตัวแทนความแค้นของชนชั้นกรรมาชีพได้บุกเข้าประชิดกำแพงเมืองอย่างง่ายดาย ก่อนจะทำลายกำแพงเมืองมันจนพังพินาศ ทำให้ฝ่ายกบฎสามารถยกกำลังเข้าสู่เมืองหลวงสำเร็จ!

จากนั้นชาวบ้านผู้โกรธแค้นต่างหลั่งไหลเข้าสังหารทหารที่ยังเหลือรอดชีวิตอย่างไร้ความปราณี! แม้แต่แม่ทัพโฉดและที่ปรึกษาทรามก็หนีเวรกรรมไม่พ้น…

จักพรรดิชั่วพยายามร้องขอชีวิต แต่กลับต้องจบชีวิตลงอย่างน่าอนาถ ถูกเหยียบด้องคาเท้าของพุลกาซารี!

ชาวบ้านก็พากันดีใจ

ภายหลังได้รับชัยชนะฝ่ายประชาชนต่างเฉลิมฉลอง …ทว่าเรื่องราวกลับไม่ได้ตัดจบลงเพียงแค่นั้น… เพราะเจ้าสัตว์ประหลาดยังต้องการกินโลหะแบบไม่มีวันอิ่ม

แม้ว่าฝ่ายกบฏจะมอบทั้งปืนใหญ่ราชสีห์และอาวุธให้กินแล้วก็ตาม

เมื่อไม่สามารถหาอาวุธมาเพิ่มได้ เหล่าชาวบ้านจึงต้องรวบรวมเครื่องมือทำมาหากินต่างๆ ทั้งเครื่องครัวและอุปกรณ์การเกษตรมาให้

น้องมี่พยายามเข้ามาเตือนสติว่า หากชาวบ้านนำเครื่องมือทำมาหากินไปให้เจ้าพุลกาซารีหมดแล้วพวกเขาจะทำมาหากินอย่างไร? แต่ชาวบ้านกลับตอบกลับว่า “พุลกาซารีคือผู้ปลดปล่อย” ดังนั้นพวกเขาควรจะมอบทุกอย่างที่มันต้องการ

น้องมี่พยายามร้องขอให้พุลกาซารีเลิกกินเครื่องมือทำมาหากินของชาวบ้าน แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ฟังคำอ้อนวอนของเธออีกต่อไป…

เมื่อรู้ว่าไม่สามารถเปลี่ยนใจพุลกาซารีได้ น้องมี่จึงตัดสินใจจะจบทุกอย่างด้วยตนเอง ด้วยการตีระฆังโลหะขนาดยักษ์ล่อพุลกาซารีเข้ามา ก่อนจะแอบเข้าไปซ่อนตัวในระฆัง

พุลกาซารีกินระฆังพร้อมน้องมี่เข้าไป… ระหว่างนี้น้องมี่ได้สวดอ้อนวอนต่อเทพเจ้าให้ทุกอย่างจบลงไปพร้อมๆ กับชีวิตของตน (ไม่รู้ว่าน้องมี่รู้วิธีปราบพุลกาซารีได้อย่างไร แต่น่าจะประมาณว่าพลังใจของมนุษย์นั้น ทำให้เกิดอะไรขึ้นก็ได้)

พอพุลกาซารีกินน้องมี่แล้ว มันก็กลายสภาพเป็นรูปปั้นขนาดใหญ่ก่อนที่ร่างจะสลายไป …พร้อมกับชีวิตของน้องมี่ที่ดับสิ้นลงเพื่อยุติทุกอย่าง… ฮือ ฮือ

จบที่ภาพน้องมี่นอนแน่นิ่งกลางซากพุลกาซารี

…และแล้วเรื่องราวของ พุลกาซารี น้องมี่ พี่อินดี้ จักรพรรดิชั่ว แม่ทัพโฉด เจ้าเมืองเลว และ ที่ปรึกษาทราม ก็ได้จบลงโดยที่ทุกคนตายหมด เพื่อให้มันดราม่าตามประสาหนังเกาหลีเหนือ

โอ… การปฏิวัติของชนชั้นกรรมาชีพนั้นต้องมีผู้เสียสละมากมายจริงๆ

เบื้องหลังภาพยนตร์

…แม้พุลกาซารีจะจบเศร้า แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีการสมหวังในความรักในเรื่องนี้…

คือผู้กำกับชินซังอ๊กนั้นเคยมีภรรยาเป็นดาราดังชื่อชเวอึนฮี แต่หย่ากันไปแล้ว ต่อมาทั้งสองถูกจับมาขังที่เกาหลีเหนือด้วยกันเพื่อสร้างหนัง โดยให้ชินซังอ๊กกำกับและให้ชเวอึนฮีเป็นนางเอก ในการนี้คิมจองอิลได้สั่งให้ทั้งสองแต่งงานกันอีกครั้งเสียเลย อาจจะเพื่อสนองความโรแมนติกของคิมเอง

ผลงานเรื่องพุลกาซารีนี้สร้างความพึงพอใจให้กับ คิมจองอิล เป็นอย่างมาก ถึงขนาดนำภาพยนตร์เรื่องนี้เดินสายฉายตามเทศกาลภาพยนตร์ต่างๆ ทั่วโลก

ครั้งหนึ่งคิมจองอิลให้ชินซังอ๊กกับชเวอึนฮีไปหาทุนที่ประเทศออสเตรีย ตอนนั้นผู้กำกับชินและภรรยาสามารถหลอกบอดี้การ์ดเกาหลีเหนือ แล้วหลบหนีเข้าสถานทูตอเมริกาได้สำเร็จ จึงรอดมาแฉทุกอย่างได้

ความจริงคือก่อนหน้านี้เขาพยายามหนีหลายครั้งแต่ไม่สำเร็จ และถูกจับกลับมาทรมานเรื่อยๆ ความเจ็บแค้นของพ่อน้องมี่นั้นก็น่าจะมาจากประสบการณ์ของผู้กำกับชินเองที่เคยถูกทรมานให้อยู่ในคุกที่มีอาหารเพียงข้าว, เกลือ, และผัก เพื่อข่มขู่

(ทีมญี่ปุ่นถูกปล่อยกลับประเทศเองหลังหนังเสร็จไม่นาน แต่พวกเขาไม่ได้ถูกทรมานมาก จึงไม่ค่อยบ่น)

จากคำสัมภาษณ์ผู้กำกับคิมที่กล่าวถึงความเลวร้ายของเกาหลีเหนือ ทำให้เกิดการตีความว่าเขาพยายามแทรกสารจิกกัดท่านผู้นำอยู่ตลอดเวลา โดยจักรพรรดิชั่วนั้นอาจได้แรงบันดาลใจส่วนหนึ่งมาจากตัวคิมจองอิล ส่วนพุลกาซารีก็เหมือนระบอบคอมมิวนิสต์ ที่พอปลดปล่อยจากของอย่างหนึ่งแล้วก็กลับกดขี่เสียเอง สำหรับเหล่าชาวบ้านที่นับถือพุลกาซารีชนิดไม่ลืมหูลืมตานั้นอาจสื่อถึงชาวเกาหลีเหนือที่ยังเรียกสัตว์ประหลาดว่าผู้ปลดปล่อย แม้ต้องประสบกับความอดอยาก

เรื่องดังกล่าวสร้างความฮือฮาจนทำให้เรื่องราวเบื้องหลังของภาพยนตร์ กลายเป็นเรื่องอื้อฉาวที่โด่งดังกว่าตัวภาพยนตร์เสียอีก…

ข่าวดีคือหลังจากผู้กำกับชินแต่งงานกับภรรยาที่เกาหลีเหนือแล้ว ก็ไม่ได้แยกจากกันอีก ยังอยู่ด้วยกันจนแก่เฒ่า ชะรอยว่าระหว่างถูกจับกุมนั้นทั้งสองต้องเผชิญความยากลำบากร่วมกัน จึงเกิดความเห็นอกเห็นใจจนกลายเป็นรักแท้

บทส่งท้าย

หากพิจารณาเรื่องราวของพุลกาซารีจะพบว่ามันพีกในหลายๆ ความหมาย คือเป็นหนังสัตว์ประหลาดที่ฉากหน้าเชิดชูการต่อสู้ของชนชั้นกรรมาชีพต่ออำนาจอยุติธรรม ทว่าเบื้องหลังนั้นแฝงการจิกกัดการต่อสู้นั้น ซึ่งมีการบูชาผู้นำราวเทพเจ้าโดยไม่ตั้งคำถาม

ไม่ว่าอย่างไรหนังเรื่องนี้ก็ได้กลายเป็นตำนานของวงการหนังโลก

…จึงขอจบตำนาน “พุลกาซารี ไคจูสยองกิมจิเหนือ” ซึ่งสยองทั้งในจอและนอกจอลงแต่เพียงเท่านี้ครับ…