เป็นที่รู้กันทั่วไปว่านาโต้เป็นพันธมิตรของชาติตะวันตกที่ตั้งขึ้นมาเพื่อต่อต้านสหภาพโซเวียต โดยเผชิญหน้ากับกลุ่มสนธิสัญญาวอร์ซอ และถึงสงครามเย็นจะยุติลงไปแล้ว นาโต้ก็ยังคงอยู่ ซึ่งหลังจากปี 2014 ที่เริ่มมีสงครามยูเครนเป็นต้นมา ความสัมพันธ์ของรัสเซียกับกลุ่มนาโต้ก็กลับตึงเครียดขึ้นมาอีกครั้ง จนดูเหมือนว่านาโต้อาจจะต้องทำอะไรสักอย่าง
ในบทความนี้ เราจะมาศึกษาความสัมพันธ์ 70 ปี ที่ซับซ้อนระหว่างรัสเซียกับนาโต้ เชื่อหรือไม่ว่ามีมากกว่าหนึ่งครั้งที่รัสเซีย (และโซเวียต) พยายามขอเข้าร่วมนาโต้ด้วย? ลองตามอ่านดูนะครับ
อ่านปากชัดๆ วัตถุประสงค์ของนาโต้
องค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ หรือ นาโต้ (แต่ฝรั่งจะออกเสียงว่า เนโต นะครับ) ก่อตั้งขึ้นในปี 1949 มีจุดเริ่มต้นมาจากการตั้งพันธมิตรระหว่าง อังกฤษ กับ ฝรั่งเศส เพื่อป้องกันภัยจากสหภาพโซเวียต และเยอรมัน (ตอนนั้นถูกปราบไปแล้ว แต่กลัวว่าจะกำเริบมาอีก) หลังจากนั้นกลุ่มนี้ได้ขยายตัวจนมีสมาชิกในยุโรปและอเมริกาเหนือรวม 12 ประเทศ และต่อมามีอเมริกาเป็นแกนหลัก
หลังเกิดสงครามเกาหลี จึงได้มีการจัดโครงสร้างกองทัพให้มาอยู่รวมกันมากขึ้น โดยมีการตั้งกองบัญชาการ Supreme Headquaters Allied Powers Europe (SHAPE)
มีเกร็ดความรู้เล็กน้อยว่านาโต้มีการแบ่งสรรอำนาจที่ค่อนข้างชัดเจน โดยที่ผ่านมาผู้บัญชาการนาโต้ในยุโรปจะเป็นอเมริกัน และรองผู้บัญชาการฯ กับเลขาธิการนาโต้จะเป็นชาวยุโรป และการตัดสินใจเรื่องใดๆ ของนาโต้จะต้องใช้เสียงเป็นเอกฉันท์เท่านั้น แปลว่าทุกประเทศมีสิทธิ์วีโต้
ในปี 1952 มีการวางตัวเลขาธิการนาโต้คนแรก คือ ลอร์ดฮาสติงส์ อิสเมย์ (Hastings Ismay) ซึ่งเขาผู้นี้เคยกล่าวสรุปไว้ว่านาโต้มีขึ้นเพื่อ “กันสหภาพโซเวียตออกไป ดึงอเมริกันเข้ามา และกดเยอรมันลง” (หมายถึง การให้สหรัฐเข้ามาช่วยป้องกันยุโรป และขวางไม่ให้เยอรมนีกลับมาเป็นมหาอำนาจในอนาคต)
ดังนั้นถึงแม้จะไม่มีระบุตรงๆ เป็นลายลักษณ์อักษร เราก็พอจะเห็นได้ว่านาโต้ดำรงอยู่ภายใต้หลักการดังกล่าวนั่นเอง
เมื่อโซเวียตขอเข้าร่วมนาโต้
ในปี 1952 หลุยส์ ฌ็อกส์ (Louis Joxe) เอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำโซเวียต กล่าวยืนยันกับสตาลินว่า นาโต้เป็นองค์การสันติภาพ และไม่ขัดแย้งกับกฎบัตรยูเอ็น ทำให้สตาลินถึงกับขำ และถามกลับว่า ถ้าเป็นอย่างนั้น โซเวียตก็ควรจะได้เข้าร่วมด้วยสิ
(แต่ก่อนที่ท่านผู้อ่านจะคล้อยตามคำของสตาลิน ควรทราบด้วยว่าเมื่อปี 1949 สตาลินเคยกล่าวออกอากาศทางวิทยุทั่วประเทศว่า สงครามกับชาติตะวันตกเป็นสิ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้ และประเทศต้องเพิ่มงบทหารเพื่อเตรียมการนะครับ)
ในปี 1954 วยาเชสลาฟ โมโลตอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศโซเวียต ได้ยื่นจดหมายขอสมัครเข้าร่วมนาโต้ โดยยื่นข้อเสนอว่าจะให้ตั้งองค์การความมั่นคงร่วมที่กินพื้นที่ทั่วยุโรป อีกทั้งยินดีเชิญสหรัฐให้เข้าร่วมสนธิสัญญาฉบับใหม่นี้ด้วย
…แต่มีเงื่อนไขว่าสหรัฐจะต้องไม่เข้ามาก้าวก่ายในกิจการยุโรป รวมทั้งให้เยอรมนีเป็นเขตปลอดทหารอย่างถาวร…
สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงทัศนคติของชนชั้นนำในโซเวียตที่ไม่ชอบใจต่อการคงทหารและฐานทัพอเมริกันในยุโรป รวมทั้งมองเยอรมนีว่าเป็นภัยคุกคามใหญ่หลวงต่อตนเอง (สังเกตจากความพินาศย่อยยับของโซเวียตที่เกิดจากน้ำมือของเยอรมนีทั้งในสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2
ในเวลานั้น รัฐบาลอเมริกัน อังกฤษและฝรั่งเศสปฏิเสธคำขอของโซเวียตด้วยเหตุผลอย่างเป็นทางการว่า นาโต้เป็นองค์การที่ตั้งอยู่บนแนวคิดเรื่องเสรีภาพและหลักนิติธรรม (สื่อว่าโซเวียตไม่มีสองอย่างนี้)
อย่างไรก็ตามเอกสารการประชุมที่ปลดชั้นความลับแล้วเปิดเผยภายหลังว่า ผู้แทนชาติตะวันตกต่างๆ แสดงความเห็นว่าคำขอเข้าร่วมนาโต้ของโซเวียตน่าจะไปเพื่อหวังโฆษณาชวนเชื่อมากกว่า อีกทั้งมองว่าสหภาพโซเวียตน่าจะไม่ยอมรับข้อกำหนดเรื่อง (1) ยอมให้นาโต้ควบคุมการวางแผนกองทัพ และ (2) รับประกันสิทธิและเสรีภาพแบบประชาธิปไตย
นอกจากนี้ผู้แทนเดนมาร์กยังชี้ว่า เหตุผลที่นาโต้ตั้งขึ้นมาก็เพราะความล้มเหลวของสหประชาชาติในการรักษาความมั่นคงร่วมกัน (จากกรณีสงครามเกาหลี) และชี้ว่าสหภาพโซเวียตมักใช้สิทธิวีโต้ในคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติ (UNSC) ในทางที่ผิด ซึ่งฝ่ายผู้แทนอิตาลีออกโรงเตือนว่า นาโต้ใช้กระบวนการออกเสียงแบบเป็นเอกฉันท์ ถ้ารับโซเวียตเข้ามาแล้ววีโต้รัวๆ นาโต้จะกลายเป็นอัมพาตทำอะไรไม่ได้เหมือนกับยูเอ็น
วัตถุประสงค์การมีอยู่ของนาโต้
ในปี 1955 เยอรมนีตะวันตกได้รับเชิญเข้าร่วมนาโต้ และอีกไม่กี่เดือนถัดมา โซเวียตก็ตั้งองค์การพันธมิตรทางทหารของตนขึ้นมาบ้าง ชื่อว่า องค์การสนธิสัญญาวอร์ซอ
ดังนั้นในช่วงสงครามเย็น นาโต้จึงมีเหตุผลในการดำรงอยู่เพื่อคานอำนาจกับโซเวียต ทั้งสองฝ่ายมีการแข่งขันสะสมอาวุธและวางกำลังจนเกิดเป็นวิกฤตขึ้นมาหลายครั้ง เช่น วิกฤตขีปนาวุธยุโรป
อย่างไรก็ดี พันธมิตรทั้งสองฝ่ายไม่เคยเผชิญหน้ากันจริงๆ มีแต่องค์การสนธิสัญญาวอร์ซอที่ร่วมมือกันยกพลไป “จัดระเบียบ” สมาชิกที่ไม่เชื่อฟังภายในค่ายของตัวเอง เช่น การเข้าปราบปรามการปฏิวัติฮังการีปี 1956 หรือการบุกเชโกสโลวาเกียในปี 1968
ตัดภาพมาในปี 1990 ในสมัยที่ประธานาธิบดี มีฮาอิล กอร์บาชอฟ ประกาศนโยบายเปิดเสรีทั้งทางเศรษฐกิจและการเมือง เวลานั้นมีการเจรจาเพื่อรวมเยอรมนีตะวันตกกับเยอรมนีตะวันออกเข้าด้วยกัน
ด้านกอร์บาชอฟต้องการได้รับคำมั่นจากชาติตะวันตกว่านาโต้จะไม่รับสมาชิกเพิ่มมาทางตะวันออกของชายแดนเยอรมนี (หรือเขตอิทธิพลโซเวียตเก่านั่นเอง) ซึ่งทูตตะวันตกหลายคน รวมถึงอดีตรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐให้คำมั่นด้วยวาจาว่านาโต้จะ “ไม่ขยายมาทางตะวันออกแม้แต่นิ้วเดียว” (สังเกตว่าไม่มีการเซ็นเอกสารอะไรทั้งนั้น)
ซึ่งการนี้แม้แต่อดีต ผอ. ซีไอเอก็วิจารณ์ว่า พวกผู้นำตะวันตก “ชักจูง” กอร์บาชอฟให้เข้าใจผิดๆ
นอกจากนี้กอร์บาชอฟยังแสดงความจำนงขอเข้าร่วมกับนาโต้อีกครั้ง โดยให้เหตุผลว่า “คุณบอกว่านาโต้ไม่ได้พุ่งเป้ามาที่เรา (องค์การสนธิสัญญาวอร์ซอ) และว่ามันเป็นเพียงโครงสร้างความมั่นคงที่กำลังปรับตัวเข้ากับความเป็นจริงในยุคใหม่ ดังนั้นเราขอเสนอเข้าร่วมกับนาโต้” …แต่เขาถูกปฏิเสธ
หลังสงครามเย็น นาโต้ยังมีการรับสมาชิกเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ จนรวมรัฐบอลติกทั้ง 3 ที่มีชายแดนติดกับรัสเซีย โดยมีการให้เหตุผลว่า “ประเทศเหล่านี้สมัครใจเข้ามาเอง” และ “ไอ้ที่เคยสัญญากับกอร์บาชอฟนั้น ทำในยุคโซเวียต ตอนนี้ไม่มีโซเวียตก็ไม่จำเป็นต้องรักษาสัญญาแล้ว”
…อีกมุมหนึ่งหลายๆ ดินแดนที่เคยอยู่ในเขตอิทธิพลของโซเวียต มีประวัติถูกข่มเหงมานาน ก็โหยหาสวามิภักดิ์ฝ่ายตะวันตก เพราะเห็นว่าเจริญกว่า
แต่เมื่อสงครามเย็นสิ้นสุดลงไปแล้วพร้อมกับสหภาพโซเวียตแล้ว วัตถุประสงค์ของการมีนาโต้อยู่ต่อไปคืออะไร?
ปฏิบัติการของนาโต้ในช่วงหลังสงครามเย็นเป็นการเข้าไปปฏิบัติตามมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) เช่นเข้าแทรกแซงในสงครามบอสเนีย (ปี 1992-1995), แทรกแซงสงครามโคโซโว (1998-1999) , หรือแทรกแซงในสงครามกลางเมืองลิเบีย (ปี 2011) โดยอ้างว่าปฏิบัติตามข้อมติ UNSC ที่ให้หยุดยิง
และจากเหตุวินาศกรรม 11 กันยายน 2001 เป็นการโจมตีสหรัฐ ซึ่งเท่ากับเป็นการโจมตีชาติสมาชิกทั้งหมดด้วย สมาชิกนาโต้จึงมาช่วยสหรัฐปราบกลุ่มอัลเคดา กลายเป็นปฐมบทของสงครามต่อต้านการก่อการร้าย ซึ่งตามด้วยการบุกอิรัก และการคงกำลังไว้ในอัฟกานิสถานและอิรักมาร่วม 10 กว่าปี
แน่นอนว่าการเข้าไปแทรกแซงของนาโต้ในหลายกรณีล้วนถูกวิจารณ์ แต่มันก็มีประเด็นให้โต้แย้งได้ว่า หลายแห่งที่นาโต้เข้าไปนั้นถูกปกครองอย่างโหดร้าย หรือกำลังมีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ เช่นนี้แล้วนาโต้ที่เข้าไปยุติมันเป็น “ความชั่วร้ายที่น้อยกว่า” หรือเปล่า?
นาโต้กับปูติน
บอริส เยลต์ซิน ประธานาธิบดีรัสเซียคนแรกหลังยุคโซเวียต เคยแสดงความจำนงขอเข้าร่วมกับนาโต้ (อีกแล้ว) และท่านผู้อ่านทราบหรือไม่ว่าครั้งหนึ่งเมื่อ วลาดีมีร์ ปูติน ขึ้นดำรงตำแหน่งผู้นำรัสเซียใหม่ๆ นั้น เขาก็เคยแสดงความจำนงนี้ด้วยเช่นกัน
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น แอนเดอส์ รัสมุสเซน อดีตนายกรัฐมนตรีเดนมาร์ก และอดีตเลขาธิการนาโต้ เคยกล่าวว่า “เมื่อรัสเซียแสดงให้เห็นว่าสามารถธำรงไว้ซึ่งประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน นาโต้จึงจะสามารถพิจารณาการสมัครเป็นสมาชิกได้อย่างจริงจัง” (จริงๆ ก็น่าคิดนะครับว่าถ้าปูตินยอมปฏิรูปประเทศตามแนวทางดังกล่าวจริง รัสเซียจะมีสิทธิ์เข้านาโต้ได้หรือเปล่า?)
เมื่อสงครามเย็นยุติลงไปแล้ว มีความเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ถอยห่างจากสงครามมากขึ้น ทั้งมีการลงนามสนธิสัญญาลดอาวุธต่างๆ ระหว่างนาโต้กับรัสเซีย
นาโต้ยังได้เจริญไมตรีกับรัสเซียเป็นอันมาก เช่นร่วมกับรัสเซียตั้งโครงการหุ้นส่วนเพื่อสันติภาพ เพื่อเน้นความร่วมมือทางทหาร พวกการฝึก แล้วก็การจัดการภัยพิบัติ โดยมีอดีตสาธารณรัฐของสหภาพโซเวียตทั้ง 15 ชาติ รวมทั้งรัสเซียเป็นสมาชิกด้วย และยังมีการตั้งสภานาโต้-รัสเซียเพื่อการทำงานร่วมกัน
อย่างไรก็ตามเอกสารที่หมดชั้นความลับของอเมริกันเปิดเผย (อีกแล้ว) ว่า จริงๆ โครงการหุ้นส่วนเพื่อสันติกภาพก็คือการค่อยๆ ยกระดับการรับสมาชิกเพิ่มของนาโต้นั่นแหละ (อเมริกาจะมีกฎว่าเมื่อเวลาผ่านไปถึงจุดนึงจะต้องเปิดเผยเอกสารต่างๆ เพื่อความโปร่งใส่ และเพื่อเป็นคุณค่าทางประวัติศาสตร์)
อย่างไรก็ดี ในสมัยปูตินนั้น หลังจากเขาสามารถจัดการกับปัญหาภายในของรัสเซียจนมีฐานะดีขึ้นมาก ก็เริ่มมุ่งหน้าทวงคืนอำนาจในเขตอิทธิพลโซเวียตเก่า โดยพยายามไม่ให้เข้าเป็นสมาชิกนาโต้มากไปกว่านี้ เพราะปูตินเชื่อว่าจะเป็นภัยคุกคามต่อรัสเซีย
สิ่งนี้นำสู่ความขัดแย้งมากมาย แต่ที่เด่นๆ คือสงครามกับจอร์เจียในปี 2008 ที่รัสเซียสั่งสอนจอร์เจียซึ่งบังอาจแสดงท่าทีต้องการเข้าร่วมกับนาโต้ โดยเฉือนดินแดนส่วนหนึ่งของจอร์เจียไปตั้งเป็นประเทศใหม่
“การประกาศศักดา” สไตล์ปูตินนี้ทำให้คนทั้งเกลียดทั้งกลัว มันทำให้ประเทศต่างๆ ไม่กล้าเข้าด้วยนาโต้ไปอีกนาน แต่ก็แลกมาด้วยการที่รัสเซียต้องเสียภาพลักษณ์อย่างกู้คืนไม่ได้เหมือนกัน
ในกรณีของความขัดแย้งยูเครนที่ได้บานปลายขึ้นมานั้น เกิดจากการที่อดีตประธานาธิบดียูเครน วิคเตอร์ ยานูโควิช ทิ้งการเจรจาขอเข้าร่วมกับสหภาพยุโรปและนาโต้ที่คืบหน้าไปมาก และหันไปสานสัมพันธ์กับรัสเซียแทน สิ่งนี้ทำให้ประชาชนโมโหเขามาก และประท้วงจนสามารถโค่นเขาลงจากตำแหน่งในปี 2014 (ส่วนประเด็นว่าตะวันตกมีบทบาทมากน้อยเพียงใดในเหตุการณ์นี้ยังเป็นหัวข้อถกเถียงกันได้อีกยาว)
ปูตินก็เลย “ปูติน” ด้วยการเฉือนเอาดินแดนทางตะวันออกของยูเครน คือ โดเนตส์และลูฮันสก์ กับไครเมียออก ทั้งหมดเป็นสัญญาณว่า ประเทศในเขตโซเวียตเก่านั้น ห้ามเข้าร่วมนาโต้เด็ดขาด! ห้ามแม้แต่จะคิด!
หลังจากนั้นต่างฝ่ายต่างยกระดับความเข้มข้นมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายรัสเซียที่:
1) ส่งเครื่องบินที่สามารถบรรทุกระเบิดนิวเคลียร์ไปประจำยังไครเมีย
2) เพิ่มกิจกรรมในทะเลบอลติก
3) ทดสอบขีปนาวุธร่อน (cruise missile) พิสัยกลางซึ่งเคยมีสนธิสัญญาห้ามไว้
4) ฝ่าฝืนสนธิสัญญาจำกัดเพดานอาวุธยุทโธปกรณ์ของชาติยุโรปในช่วงปลายสงครามเย็น การนี้จึงเท่ากับทำให้ยุโรปกลับเข้าสู่การแข่งขันอาวุธอีกครั้ง
ฯลฯ
หรือฝ่ายนาโต้ที่:
1) เพิ่มกำลังทหารในยุโรปตะวันออก รวมทั้งรัฐบอลติกที่ติดกับรัสเซีย
2) (สหรัฐ) ทุ่มงบนับล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฟื้นฟูอุตสาหกรรมพลังงานนิวเคลียร์ รวมทั้งพาหนะบรรทุกอาวุธและฐานปล่อย
3) (ตุรกี) ยิงเครื่องบินรัสเซียที่อ้างว่าผ่านน่านฟ้าของตนเมื่อปี 2014 หรือ
4) การวางระบบป้องกันขีปนาวุธนาโต้ในยุโรปตะวันออก โดยเฉพาะที่โรมาเนียซึ่งปูตินไม่พอใจอย่างยิ่ง
ฯลฯ
แม้จะมีความพยายามเจรจาสันติภาพจนได้พิธีสารมินสค์ 2 เมื่อปี 2015 แต่ทั้งยูเครนและรัสเซียยังไม่ยอมปฏิบัติตามข้อตกลงในส่วนของตน ทำให้ยังคงมีการสู้รบกันประปรายเรื่อยมาจนถึงปัจจุบันวันนี้ที่มีการประกาศให้โดเนตสก์ และลูฮันสก์เป็นประเทศอิสระ
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวิกฤตยูเครนสามารถตีความออกมาได้หลายแง่ แต่ผมขอชี้ชวนให้เห็นว่าความขัดแย้งนี้ยังคงสามารถหลีกเลี่ยงได้ถ้าต่างฝ่ายต่าง “ถอยคนละก้าว” นั่นคือ:
(1) ชาติตะวันตกยอมให้ดินแดนที่มีพรมแดนติดต่อกับรัสเซียเป็นกลาง เหมือนกับกรณีของฟินแลนด์ในช่วงสงครามเย็น รวมทั้งเคารพสัญญาที่เคยให้ไว้กับรัสเซีย
(2) รัสเซียยอมปรับตัวให้มีประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน รวมทั้งรักษาอิทธิพลในเขตของตนโดยคำนึงถึงผลประโยชน์ร่วมกันของชาติต่างๆ ไม่ใช้แต่กำลังหักหาญอย่างเดียว
แต่แน่นอนว่า ถ้ามันทำได้ง่ายๆ เรื่องราวก็คงไม่บานปลายมาถึงเพียงนี้
บทส่งท้าย
จากเรื่องราวทั้งหมดนี้ท่านจะเห็นได้ว่า ความสัมพันธ์ระหว่างนาโต้กับสหภาพโซเวียตมาจนถึงรัสเซียเป็นประเด็นที่ซับซ้อนและมีหลายมิติ
ในเรื่องนี้ไม่มีใครเป็นพระเอก ไม่มีใครขาวบริสุทธิ์ ไม่มีใครที่เป็นผู้ผดุงความชอบธรรม
มันเป็นเรื่องของ “ความเห็นแก่ได้” ของชนชั้นนำในชาติต่างๆ และวาทกรรมที่ปรากฏอยู่ตามสื่อนั้น ก็เป็นเพียงการโน้มน้าวจูงใจว่า ความเห็นแก่ได้แบบหนึ่งดีกว่าความเห็นแก่ได้อีกแบบหนึ่งเท่านั้น
ไม่ว่าท่านจะมีความคิดเห็นไปในทิศทางใด แต่ผมขอให้ท่านผู้อ่านพึงระลึกอยู่เสมอว่าในกรณีที่เกิดสงครามขึ้น มาจริง ผู้ที่จะต้องเสียมากที่สุด ไม่ใช่ประเทศ, อุดมการณ์, หรือผู้นำที่บอกให้คนยกย่องหรอก
…แต่เป็นมนุษย์คนธรรมดาที่ตกอยู่ท่ามกลางภัยสงครามนั่นเอง…
0 Comment