หนึ่งในสมรภูมิที่สำคัญที่สุดในสงครามรัสเซีย-ยูเครน คือศึกชิงเมืองท่าริมทะเลดำของยูเครนที่ชื่อว่า “มารียูปอล”
เมืองที่มีประชากรกว่า 430,000 คนนี้ ถูกอาวุธหนักยิงถล่มมาตั้งแต่วันแรกๆ และถูกปิดล้อมทุกด้าน ถูกตัดขาดเสบียงอาหาร น้ำ และไฟฟ้า พลเรือนจำนวนมากยังตกค้างในเมือง และตกเป็นเหยื่อการสู้รบอยู่เสมอ
เมืองนี้ยังเป็นที่ตั้งของ “กองพันอะซอฟ” ที่มีทั้งชื่อเสียงฉาวโฉ่ว่าเป็นนีโอนาซี และมีผลงานว่ารบได้กล้าหาญดุร้ายเป็นที่ประจักษ์ พวกเขายืนหยัดต่อสู้กับรัสเซียอย่างเหนียวแน่น สามารถต้านทัพรัสเซียที่มีกำลังเหนือกว่ามากมาได้เกิน 1 เดือนก็ถือว่าปาฏิหาริย์มากๆ แล้ว แต่สุดท้ายแล้วน้ำน้อยจะย่อมแพ้ไฟหรือเปล่า? ยิ่งช่วงหลังรัสเซียประกาศแผน “เฟส 2” แสดงความตั้งใจจะทุ่มเทต่อสู้ในภูมิภาคดอนบัส
บทความนี้จะพาทุกท่านไปย้อนดูความเป็นไปสมรภูมิเลือดครั้งนี้ ดูความพินาศย่อยยับที่มนุษย์ลงมือประหัตประหารกัน ตลอดจนทายสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตจากข้อมูลแวดล้อมนะครับ
มารียูปอลสำคัญอย่างไร?
มารียูปอลเป็นเมืองใหญ่อันดับ 2 ในจังหวัดโดเนตสก์ (รองจากเมืองโดเนตสก์ที่แยกออกจากยูเครนไปแล้ว) ซึ่งนับตามจำนวนประชากรแล้วใหญ่เป็นอันดับสิบของยูเครนทั้งหมด นอกจากนั้นยังเป็นเมืองท่าใหญ่สุดที่ติดทะเลอะซอฟ และเป็นเมืองอุตสาหกรรมสำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของยูเครนอีกด้วย
เมื่อปี 2014 มารียูปอลเคยถูกสาธารณรัฐโดเนตสก์ตีชิงไป แต่ทัพยูเครนตามชิงคืนมาได้ หลังจากปี 2015 เป็นต้นมา อยู่ในสภาพ frozen conflict หรือตรึงกำลังคุมเชิงกันอยู่เรื่อยๆ
เมืองนี้มีชื่อเสียงในระดับโลก เพราะกองพันอะซอฟซึ่งรักษาเมืองนี้อยู่
กองกำลังอะซอฟเกิดจากกลุ่มแฟนบอลหัวรุนแรง มีกำลังพลประมาณ 900 ถึง 1,500 คน พวกเขาประกอบด้วยคนหลายๆ กลุ่มที่มีความเกลียดรัสเซียมารวมกัน ซึ่งในจำนวนนี้มีกลุ่มนีโอนาซีรวมอยู่ด้วย (โฆษกกลุ่มบอกเองว่ามีอยู่ราว 10 – 20%)
พวกเขาเคยกดขี่ประชาชนท้องถิ่น จนชื่อเสียงฉาวโฉ่แม้ชาติตะวันตกที่สนับสนุนยูเครนก็แสดงความรังเกียจ แต่ยูเครนยังใช้พวกนี้เป็นทหาร เพราะรบพุ่งกล้าหาญ ฝีมือดี เคยมีผลงานรบชิงเมืองกลับคืนมาได้ รัฐบาลจึงตกรางวัลให้พวกนี้มีสถานะเป็นกองกำลังรักษาดินแดน (มีสถานะเป็นทั้งตำรวจและทหารในมารียูปอล)
อารมณ์ว่าในช่วงบ้านเมืองมีภัยนั้น ใครมีความสามารถมาสู้ปกป้องชาติก็ต้องใช้ไว้ก่อน
ปูตินอาศัยความที่อะซอฟมีนีโอนาซี เหมารวมว่ารัฐบาลยูเครนที่สนับสนุนอะซอฟเป็นนีโอนาซีไปทั้งหมด โดยเหตุผลหลักๆ ข้อหนึ่งในการก่อสงคราม (casus belli) ที่ปูตินประกาศไว้ คือการเข้าไปยุติการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์คนเชื้อสายรัสเซียทางตะวันออกของยูเครนโดยนาซีนั่นเอง
ข้ออ้างของปูตินมีความจริงอยู่ แต่ก็ใส่สีตีไข่เพิ่มไปมาก (ไม่ต้องพูดถึงว่าในรัสเซียเองก็มีพวกนีโอนาซี) และถ้าปูตินตั้งใจทำสงครามเพื่อกำจัดกองพันอะซอฟแล้วไซร้ ก็แปลว่าเขายกกำลังเป็นแสนๆ บุกยูเครนก็เพียงเพื่อกำจัดทหารเพียง 1 กองพัน แล้วจะกลับออกไปเฉยๆ อย่างนั้นน่ะหรือ?
นอกจากเหตุผลทางการเมืองแล้ว เมืองนี้ยังเป็นเมืองที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์
มารียูปอลเปรียบเสมือนหนามที่คอยทิ่มแทงเส้นทางการบุกของรัสเซียจากแนวหลัง หากไม่สามารถยึดเมืองนี้ได้ทัพรัสเซียก็จะต้องคอยพะว้าพะวังอยู่ตลอด ประโยชน์ในการยึดมารียูปอลอีกข้อหนึ่งคือช่วยลดพื้นที่ชายฝั่งของยูเครนทำให้รับกำลังสนับสนุนจากภายนอกยากขึ้น
เรื่องที่น่าสนใจอย่างหนึ่งของเมืองมารียูปอล คือ ทางการยูเครนพยายามปรับปรุงเมืองนี้ขึ้นมากตั้งแต่ปี 2014 เพื่อโปรโมตว่าถ้าภูมิภาคดอนบัส (ที่แยกตัวออกไป) กลับมาอยู่กับยูเครนแล้วจะพัฒนาขึ้นเหมือนกัน มีการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน ถนนและสวนสาธารณะใหม่ๆ จนเคยมีช่องยูทูปของยูเครนเรียกมารียูปอลว่าเป็น 1 ใน 5 เมืองน่าท่องเที่ยวที่สุดของประเทศ ซึ่งดูภาพแล้วเมืองนี้ก็เคยสวยมากจริงๆ
มารียูปอลในสงครามปี 2022
สงครามรัสเซีย-ยูเครนเปิดฉากขึ้นเมื่อวันที่ 24 ก.พ. 2022 และมารียูปอลก็ถูกยิงปืนใหญ่ถล่มตั้งแต่วันแรกเลย ด้านกองทัพรัสเซียรุกมาทางตะวันออกจากสาธารณรัฐโดเนตสก์ ขณะที่กองเรือทะเลดำมีการยกพลขึ้นบกริมฝั่งทะเลอะซอฟทางตะวันตกของมารียูปอล
วันที่ 26 ก.พ. มีข่าวว่าพลเรือนชาวกรีก 10 คนเสียชีวิตจากการโจมตีของรัสเซีย ต่อมาวันที่ 27 ก.พ. มีข่าวว่าเด็กหญิงวัย 6 ขวบเสียชีวิตจากการยิงปืนใหญ่ของรัสเซีย
วันที่ 2 มี.ค. กองทัพรัสเซียปิดล้อมเมืองมารียูปอลได้ทุกด้าน และระดมยิงปืนใหญ่ใส่เขตที่ประชากรอยู่อาศัยหนาแน่นเป็นเวลาถึง 15 ชั่วโมง นี่เป็นสิ่งบ่งชี้ว่ารัสเซียมีแผนตั้งแต่ต้นในการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานและที่อยู่อาศัย เพื่อรีบกดดันให้เมืองนี้ยอมจำนน แต่เนื่องจากกำลังรบไม่มากพอที่จะรุกเข้าไปในเมืองจึงยังล้อมไว้ก่อน
วันที่ 3 มี.ค. โฆษกกองทหารของสาธารณรัฐโดเนตสก์เรียกร้องให้มารียูปอลยอมแพ้เป็นครั้งแรก ในช่วงนี้กองกำลังรัสเซียมีการสะสมอำนาจการรบไว้แถวๆ เมืองนี้อย่างหนาแน่น
สถานการณ์ด้านมนุษยธรรมของมารียูปอลร้ายแรงขึ้นเรื่อยๆ ตามลำดับ ขณะที่เสบียงต่างๆ เริ่มหมดลง ทั้งความร้อน น้ำดื่มและไฟฟ้า วันที่ 5 มี.ค. รัฐบาลยูเครนเตรียมอพยพพลเรือน 200,000 คนออกจากเมือง โดยคณะกรรมการกาชาดสากลรับจะเป็นผู้รับประกันการหยุดยิงให้
สุดท้ายมีการตกลงกันว่าจะหยุดยิง 5 ชั่วโมงและมีการกำหนดระเบียงมนุษยธรรมให้ประชาชนสามารถเดินทางไปทางตะวันตกของยูเครน
แต่ปรากฏว่าทัพรัสเซียยิงถล่มต่อเนื่องทำให้ผู้คนอพยพออกมาไม่ได้ ซึ่งฝ่ายรัสเซียกล่าวหาว่าเป็นเพราะยูเครนไม่อนุญาตให้ประชาชนอพยพไปยังรัสเซีย และอ้างมนุษยธรรมเพื่อฉวยโอกาสเตรียมการป้องกันเมือง
ความพยายามอพยพพลเรือนออกจากเมืองล้มเหลวอีก 2 ครั้งในวันที่ 5-6 มี.ค. เพราะถูกปืนใหญ่รัสเซียระดมยิงระเบียงมนุษยธรรม หน่วยงานกาชาดยังพบว่าเส้นทางที่มีการเสนอยังมีการวางทุ่นระเบิดด้วย…
วันที่ 9 มี.ค. เกิดการขาดแคลนน้ำดื่มรุนแรงมาก จนมีการให้สัมภาษณ์ว่าประชาชนต้องอุ่นหิมะเพื่อเอาน้ำ ต่อมาโรงพยาบาลแม่และเด็กในมารียูปอลถูกทำลายจากฝีมือฝ่ายรัสเซีย ฟากรัสเซียอ้างว่ากองพันอะซอฟยึดโรงพยาบาลดังกล่าวไว้ และภาพหญิงตั้งครรภ์บาดเจ็บ 2 คนที่สื่อยูเครนนำมาแสดงนั้นเป็นนักแสดงจัดฉาก (ภายหลังหญิงตั้งครรภ์คนหนึ่งรอดชีวิต ส่วนอีกคนเสียชีวิตทั้งแม่และลูก)
ยุทธวิธีการระดมยิงด้วยอาวุธหนักแล้วจึงค่อยนำทหารราบและยานเกราะเข้าไปยึดพื้นที่ที่เกิดขึ้นในมารียูปอลนี้ จริงๆ เคยถูกใช้มาก่อนในการยุทธ์ที่กรอซนี, เชชเนีย ปี 1999 – 2000 …มันเป็นยุทธวิธีที่เด็ดขาดและได้ผล ซึ่งทำให้ปูตินมีชื่อเสียงมากในตอนนั้น
วันที่ 12 มี.ค. อาจถือได้ว่าเป็นช่วงที่ทัพรัสเซียเริ่มต้นบุกเข้าไปในเมืองทั้ง 4 ทิศทาง มีรายงานว่าทัพรัสเซียยึดชานเมืองฝั่งตะวันออกได้
วันที่ 14 มี.ค. กระทรวงกลาโหมรัสเซียแถลงว่าทัพรัสเซียเป็นผู้นำความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมกว่า 450 ตันเข้าไปให้ชาวเมืองในส่วนที่ยึดได้ ช่วงนี้มีรายงานว่าทัพรัสเซียใช้เครื่องบินสนับสนุนการรบภาคพื้นดินมากขึ้น และมีรายงานว่าทหารเชเชนเข้ามาในพื้นที่ด้วย
วันที่ 15 มี.ค. นักข่าวเอพี (ซึ่งเป็นสำนักข่าวที่มีเครือข่ายกับหลายประเทศ) คนสุดท้ายได้ออกจากเมือง โดยเขาเล่าว่าทหารรัสเซียพยายามตามล่านักข่าวและฝ่ายยูเครนขอร้องให้พวกเขาออกจากเมืองไปเพราะถ้าพวกรัสเซียจับพวกเขาไปได้จะถูกบังคับให้พูดต่อหน้ากล้องว่าที่ถ่ายทำมาทั้งหมดเป็นของปลอม
วันที่ 16 มี.ค. โรงละครภูมิภาคโดเนตสก์ (อย่างที่บอกว่ามารียูปอลอยู่ในจังหวัดโดเนตสก์นะครับ) ซึ่งมีพลเรือนหลายร้อยคนหลบภัยอยู่ ถูกโจมตีทางอากาศจากฝั่งรัสเซีย ทั้งที่มีภาพถ่ายยืนยันว่ามีคำภาษารัสเซียเขียนว่า “เด็ก” ติดอยู่แต่รัสเซียอ้างว่ากองพันอะซอฟเป็นคนวางระเบิด นอกจากนี้ยังกล่าวหาว่านาโต้ตัดต่อวิดีโอใส่ร้ายรัสเซีย
แม้ว่ารัสเซียจะยืนยันมาตลอดว่าพลเรือนไม่ใช่เป้าหมายการโจมตี แต่สำนักข่าวเอพีรายงานว่าแพทย์ในมารียูปอลรักษาพลเรือนมากกว่าทหารถึง 10 เท่า
วันที่ 18 มี.ค. กองกำลังโดเนตสก์ประกาศว่ายึดสนามบินมารียูปอลไว้ได้ และขณะนี้การต่อสู้ได้มาถึงบริเวณใจกลางเมืองแล้ว
วันที่ 20 มี.ค. โรงเรียนศิลปะมารียูปอลซึ่งมีพลเรือนหลบภัยอยู่ราว 400 คนถูกฝ่ายรัสเซียทิ้งระเบิดทำลาย วันเดียวกัน กระทรวงกลาโหมรัสเซียยื่นคำขาดให้ทหารรักษาเมืองยอมจำนนและอพยพคนออก แต่ถูกปฏิเสธ
วันที่ 24 มี.ค. ทัพรัสเซียมีการเผยแพร่โฆษณาชวนเชื่อต่อชาวเมือง บอกว่าเมืองทางตะวันตกของยูเครนไม่ต้อนรับผู้อพยพแล้ว, ทางการยูเครนทอดทิ้งประชาชน, หรือแม้แต่อ้างว่าเมืองโอเดสซาเสียให้แก่รัสเซียแล้ว
วันที่ 27 มี.ค. ทหารยูเครนประสบปัญหาขาดแคลนน้ำดื่มและอาหารอย่างหนัก แต่ยังไม่ยอมจำนน
วันที่ 28 มี.ค. รัสเซียสามารถยึดอาคารราชการ และกองบัญชาการของกองพันอะซอฟเอาไว้ได้ ด้านนายกเทศมนตรีออกมาให้สัมภาษณ์ว่าสถานการณ์เข้าตาจน ระเบียงมนุษยธรรมถูกยึดไปแล้ว และ “โชคร้ายที่ (ที่มั่นของ) เราตกอยู่ในกำมือของผู้ยึดครองแล้ววันนี้” คือตอนนี้ทหารยูเครนในมารียูปอลเริ่มต้องสละที่มั่นไปทำกองโจรแล้ว
มีการรายงานความเสียหายโดยระบุว่าสิ่งก่อสร้างในเมืองกว่า 90% ถูกโจมตี และมี 40% ถูกทำลายโรงเรียนถูกทำลาย 50 แห่ง โรงพยาบาลถูกทำลาย 90%
อนึ่งมีการคาดการณ์ว่าประชาชนราว 160,000 คนยังติดค้างอยู่ในเมือง
โฆษกสำนักงานนายกเทศมนตรีมารียูปอลประกาศว่ามีผู้เสียชีวิตแล้วเกือบ 5,000 คน และรัฐบาลยูเครนคาดการณ์ว่ามีประชาชนชาวมารียูปอลราว 20,000 – 30,000 คนถูกส่งไปยังค่ายในรัสเซีย
วันที่ 29 มี.ค. มีรายงานว่าทัพรัสเซียในเมืองสามารถตัดเมืองออกเป็นส่วนๆ หลังจากฝ่ายรัสเซียสามารถรุกคืบได้มากขึ้นเรื่อยๆ แต่ฝ่ายยูเครนยังยืนยันว่ายังควบคุมใจกลางเมืองมารียูปอลอยู่
ด้านความเสียหายของเมืองนี้ มีคนอธิบายไว้ว่าเปรียบเหมือนดินแดนรกร้าง (wasteland) หรือไม่ก็เหมือนวันโลกาวินาศ (apocalyptic) ยิ่งรัสเซียบอกว่าตนเข้าสู่ “เฟส 2” และลดการบุกเคียฟ ยิ่งเป็นการสื่อว่ารัสเซียคงตั้งใจชิงเมืองมารียูปอลให้ได้ เพื่อยึดครองดอนบัสทั้งหมด
…และนี่คือสถานการณ์ล่าสุดในมารียูปอล กองพันอะซอฟและทหารยูเครนรบพุ่งกล้าหาญก็จริง การรักษาเมืองมาถึงขั้นนี้เป็นสิ่งอัศจรรย์ก็จริง แต่สุดท้ายน้ำน้อยคงแพ้ไฟ ผมเชื่อว่าหากไม่มีปาฏิหารย์รัสเซียคงยึดเมืองนี้ไว้ได้ในที่สุด
เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้
เนื่องจากยูเครนคงไม่มีศักยภาพที่จะบุกไปช่วยมารียูปอลอย่างรวดเร็ว ท้ายที่สุดกองกำลังยูเครนที่ถูกกระชับวงล้อมเข้าเรื่อยๆ คงจำเป็นต้องเปลี่ยนยุทธวิธีจากการตั้งรับตรงๆ มาเป็นการทำสงครามกองโจรเต็มตัว อาศัยความเชี่ยวชาญพื้นที่ลอบตีตอดรัสเซียไปเรื่อยๆ
การยึดครองเมืองมารียูปอลในมุมมองของรัสเซียจะเปรียบเสมือนการตอกฝาโลงกลุ่มอะซอฟ การทำลายพวกเขาจะทำให้ปูตินสามารถใช้เป็นข้ออ้างประกาศชัยชนะในสงครามยูเครนแม้จะไม่ได้กรุงเคียฟ เพราะอย่างน้อยสามารถปราบกลุ่มนีโอนาซี และคุ้มครองสวัสดิภาพของประชาชนเชื้อสายรัสเซียสำเร็จตามจุดประสงค์ตั้งต้น
ดังนี้มารียูปอลจึงอาจเป็น “เครื่องสังเวย” ที่ทำให้การเจรจาสันติภาพทำได้ง่ายขึ้น เพราะรัสเซียมีทางลง
แม้เมืองนี้จะมีประชาชนเชื้อสายรัสเซียเยอะ และเคยผ่านการกดขี่จากพวกอะซอฟก็มาก ทว่ายุทธวิธีการถล่มทุกอย่างซึ่งรัสเซียใช้มาตลอดหนึ่งเดือนนั้นย่อมสร้างบาดแผลในจิตใจประชาชนไม่แพ้กัน บรรดาทหารยูเครนที่แตกพ่ายไปนั้นก็คงจะรวมกันมาทำกองโจร สร้างความวุ่นวายต่อไปได้อีกนาน
คำถามใหม่ที่เกิดขึ้นจึงเป็นว่า ต่อให้รัสเซียยึดเมืองนี้ได้ พวกเขาจะสามารถปกครองได้แค่ไหน?
0 Comment