เมื่อพูดถึงอังกฤษ ดินแดนที่ได้ชื่อว่าพระอาทิตย์ไม่เคยตกดิน

ภาพจำของคนทั่วไปมักจะมี หอนาฬิกาบิกเบน รถบัสสีแดงสองชั้น ศาสนาที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ฟิชแอนด์ชิพ ราชวงศ์อังกฤษ เดอะบีทเทิลส์ มิสเตอร์บีน โรบิน ฮูด และอื่น ๆ อีกมากมาย

บทความนี้จะพาทุกคนร่วมเดินทางไปในประวัติศาสตร์อังกฤษอันยาวนาน ผ่านร้อนผ่านหนาวจนเป็นอังกฤษที่เราเห็นกันในทุกวันนี้ ในฉบับรวบรัดเข้าใจง่าย

ยุคก่อนประวัติศาสตร์ (ก่อน ค.ศ. 43)

ปลายยุคน้ำแข็ง ราว ๆ 25,000 ปีก่อนคริสตกาล พบหลักฐานการตั้งถิ่นที่อยู่อาศัย ทั้งมนุษย์นีแอนเดอทัลและมนุษย์ปัจจุบัน ในช่วง 12,000 ปีก่อนคริสตกาล

ต่อมาชนเผ่าเคลติก หรือเคลต์ (Celts) ซึ่งเป็นชนเผ่าดั้งเดิมในทวีปยุโรปได้เข้าตั้งถิ่นฐานบนเกาะอังกฤษ โดยอารยธรรมเคลต์ฝังรากลึกมากในสกอตแลนด์ เวลส์ ไอร์แลนด์ รวมถึงการใช้ภาษากลุ่มเคลติก

ยุคโรมัน (ค.ศ. 43 – 410)

จูเลียส ซีซาร์ แม่ทัพผู้เก่งกล้าแห่งโรมันได้เอาชนะพวกกอลในดินแดนฝรั่งเศสปัจจุบัน เมื่อ 60 ปีก่อนคริสตกาล ทำให้เขามุ่งหาเป้าหมายใหม่ และมีคำตอบอยู่ที่เกาะอังกฤษ เขาทำการบุกเกาะอังกฤษถึงสองครั้งใน 55 และ 54 ปีก่อนคริสตกาล และสำเร็จในครั้งที่สอง เกาะอังกฤษจึงเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิโรมันนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา มีการเรียกเกาะอังกฤษว่าบริตาเนีย (Britannia) ซึ่งเป็นที่มาของคำว่า Britain ในปัจจุบัน

ยุคกลางตอนต้น (ค.ศ. 410 – 1066)

ชาวโรมันปกครองอังกฤษอยู่หลายร้อยปี เมื่อจักรวรรดิโรมันตะวันตกล่มสลายลง ชนชาวแองโกล-แซกซอนได้เข้าตั้งถิ่นฐานบนเกาะอังกฤษตามที่ต่าง ๆ พวกเขาแบ่งอาณาเขตโดยอิงจากกลุ่มชนที่แตกต่างกัน ก่อตั้งเป็นอาณาจักรขึ้น 7 แห่งบนเกาะอังกฤษ ได้แก่ นอร์ธทัมเบรีย, เมอร์เซีย, แองเกลียตะวันออก, เอสเซ็กซ์, ซัสเซ็กซ์, เวสเซ็กซ์, และเคนต์

ส่วนชาวเคลต์ที่อยู่ก่อนนั้นถอยร่นไปปักหลักอยู่แถบสกอตแลนด์และเวลส์ในปัจจุบัน

ต่อมาเมื่อชนเผ่าไวกิ้งออกรุกรานทั่วทั้งชายฝั่งยุโรป พวกเขาได้บุกเข้าปล้นเมืองชายฝั่ง จากการปล้นก็ลุกลามขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นการตีชิงเมือง และสามารถปกครองแผ่นดินอังกฤษแถบตอนเหนือและตะวันออกในปี ค.ศ. 793 และตั้งเมืองยอร์ก (York) เป็นเมืองหลวง

พระเจ้าอัลเฟรดมหาราชแห่งเวสเซ็กซ์สู้รบขับไล่ไวกิ้งหลายครั้งจนนำไปสู่ข้อตกลงแบ่งการปกครองกับไวกิ้ง ต่อมา ค.ศ. 937 หลานของอัลเฟรดมหาราชได้ขับไล่ชาวไวกิ้งจนหมดจากแผ่นดินอังกฤษเป็นผลสำเร็จ

ต่อมาพวกไวกิ้งได้กลับมาอีก ภายใต้ชื่อของจักรวรรดิทะเลเหนือ (North Sea Empire) ตอนนั้นในหมู่ไวกิ้งเกิดยอดกษัตริย์ชื่อสเวนสามารถรวบรวมแผ่นดินอังกฤษ เดนมาร์ก และนอร์เวย์เข้าด้วยกันในปี 1013 และต่อมาบุตรของเขาชื่อคนุตได้ปกครองอย่างมั่นคงในปี 1016 จากนั้นพระองค์ผนวกอังกฤษส่วนใหญ่เข้าเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ที่รวมดินแดนในสแกนดิเนเวียด้วย แต่เมื่อพระเจ้าคนุตมหาราชสวรรคต จักรวรรดิทะเลเหนือก็เสื่อมอำนาจตามไปด้วย

ยุคนอร์มัน (ค.ศ. 1066 – 1154)

หลังพวกไวกิ้งเสื่อมอำนาจ พวกแซกซอนได้กลับมารุ่งเรืองในช่วงสั้นๆ จน ค.ศ. 1066 วิลเลียมแห่งนอร์มังดีหรือวิลเลียมผู้พิชิต (William the Conqueror) ได้เดินทางจากดินแดนฝรั่งเศสมารุกรานแผ่นดินอังกฤษ เขาปราบดาภิเษกตนเองเป็นพระเจ้าวิลเลียมที่ 1 ทั้งสถาปนาราชวงศ์นอร์มัน (Normans) ขึ้น ด้วยเหตุนี้ทำให้กษัตริย์อังกฤษในยุคต่อมามีอำนาจทั้งในเกาะอังกฤษ และในบางส่วนของแผ่นดินฝรั่งเศสที่เป็นดินแดนเดิมของวิลเลียม และทำให้กษัตริย์อังกฤษมีสิทธิในบัลลังก์ฝรั่งเศสด้วย

ในรัชสมัยของพระเจ้าเฮนรีที่ 1 เกิดปัญหาการสืบราชบัลลังก์ขึ้น เมื่อพระโอรสเพียงพระองค์เดียวสิ้นพระชนม์จากอุบัติเหตุ เฮนรีจึงให้เหล่าขุนนางของตนสาบานว่าจะยอมรับพระธิดามาทิลดาเป็นผู้ปกครององค์ต่อไป

แต่ทว่าเมื่อพระเจ้าเฮนรีที่ 1 สวรรคตลง เหล่าขุนนางที่เคยให้คำสาบานกลับลำ ไม่ต้องการให้มาทิลดาเป็นกษัตริย์ ทำให้หลานของเฮนรีนามสตีเฟนแห่งบลัวส์อ้างสิทธิ์ในราชบัลลังก์อังกฤษโดยขุนนางให้การสนับสนุน

ต่อมาเกิดการรบพุ่งระหว่างมาทิลดากับสตีเฟนจนเกิดเป็นสงครามกลางเมืองที่ยาวนาน จบลงด้วยทั้งสองฝ่ายประนีประนอมกันและตกลงประกาศให้โอรสของมาทิลดาเป็นทายาทสืบราชบัลลังก์ต่อ

ราชวงศ์แพลนทาจิเนต (ค.ศ. 1154 – 1485)

ต่อมาเมื่อพระเจ้าสตีเฟนสวรรคต เฮนรี โอรสของมาทิลดาขึ้นเป็นกษัตริย์เฮนรีที่ 2 และเริ่มต้นราชวงศ์แพลนทาจิเนต (Plantagenets) ปกครองช่วงค.ศ. 1154 – 1485

ปี ค.ศ. 1189 – 1199 อังกฤษมีกษัตริย์สำคัญ ชื่อพระเจ้าริชาร์ดที่ 1 หรือพระเจ้าริชาร์ดใจสิงห์ เป็นกษัตริย์นักรบผู้มีปรีชาสามารถในด้านการทหาร และการเมือง พระองค์เป็นที่รู้จักมากในการทำสงครามครูเสด โดยสามารถยึดครองเมืองในปาเลสไตน์ได้หลายเมือง แม้จะไม่ได้เยรูซาเล็มที่เป็นเป้าหมายตั้งต้น

ภาพจำของริชาร์ดใจสิงห์นี้มักจะเป็นกษัตริย์ยอดนักรบผู้กล้าหาญ ซึ่งคาแรคเตอร์ของพระองค์มักปรากฎในงานวรรณกรรมอยู่เสมอ เช่น ในเรื่อง โรบิน ฮูด

ในตรงนี้จะกล่าววีรบุรุษคนนอกกฎหมายที่เกิดขึ้นร่วมสมัยนาม โรบิน ฮูด ผู้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการยิงธนูและดาบ ทั้งยังเป็นโจรคุณธรรมที่ “ปล้นคนรวย ช่วยคนจน” เรื่องโรบินฮูดเริ่มจากการเป็นวรรณกรรมพื้นบ้านของอังกฤษที่เป็นที่นิยม จนถูกทำเป็นภาพยนตร์ ละครโทรทัศน์ และกลายเป็นป๊อบคัลเจอร์หนึ่งในที่สุด แม้ว่าจะไม่มีบันทึกประวัติศาสตร์ร่วมสมัยถึงเขาก็ตาม

ในยุคพระเจ้าจอห์นที่สืบต่อจากพระเจ้าริชาร์ดนี้มีเรื่องที่ควรกล่าวถึง คือมีการสร้างกฎบัตร แมกนา คาร์ตา (Magna Carta) อันเป็นรากฐานของระบอบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญในอังกฤษ และการประกันสิทธิของเสรีชน

กฎบัตรนี้เกิดขึ้นหลังเหล่าขุนนางบีบบังคับให้พระเจ้าจอห์นซึ่งไม่เป็นที่นิยม ให้ยอมรับในการลดทอนพระราชอำนาจในปีค.ศ. 1215

ปรากฏการณ์ความตายสีดำ (Black Death 1347 – 1353) เกิดขึ้นในยุโรปเมื่อเรือสินค้าจากเจนัวกลับจาการเดินทางในบริเวณทะเลดำเข้าเทียบท่าในหมู่เกาะซิซิลี โดยมีเหล่าหนูที่มีหมัดอันเป็นพาหะแพร่เชื้อกาฬโรคติดมาด้วย นี่ทำให้เหล่าลูกเรือต่างพากันล้มป่วย และเมื่อเรือเข้าเทียบท่า โรคนี้ก็ระบาดทำให้ผู้คนต่างล้มป่วยด้วยกาฬโรคอย่างรวดเร็ว

ต่อมากาฬโรคก็แพร่กระจายไปทั่วทวีปยุโรปและคร่าชีวิตผู้คนไปเป็น 1 ใน 3 ของประชากร ณ ขณะนั้น

ผลกระทบนอกจากประชากรลดลงอย่างน่าใจหายแล้วก่อให้เกิดการขาดแคลนแรงงาน ชนชั้นเจ้าที่ดินต่างเสียอำนาจในการปกครอง นั่นทำให้กษัตริย์สามารถรวมศูนย์อำนาจสู่ตนเองได้ง่ายขึ้น และทำให้ง่ายต่อการสร้างแนวคิดชาตินิยม (คือรักกษัตริย์ที่เป็นตัวแทนของชาติ แทนที่จะเป็นขุนนางซึ่งเป็นตัวแทนของที่ดินผืนใดผืนหนึ่ง)

ปี 1337  – 1453 เกิดสงครามใหญ่ที่เรียกว่า “สงครามร้อยปี” ระหว่างอังกฤษ และฝรั่งเศส โดย กษัตริย์ฝรั่งเศสองค์สุดท้ายของราชวงศ์กาเปเตียง (Capetian) สวรรคตลงโดยไม่มีรัชทายาท
พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 3 แห่งอังกฤษอาศัยจังหวะนี้ทำการอ้างสิทธิในบัลลังก์ฝรั่งเศสในฐานะมีเชื้อสายฝั่งพระมารดา (เนื่องจากที่อังกฤษสามารถใช้สายเลือดจากฝั่งผู้หญิงในการสืบสันตติวงศ์ได้)

ทั้งสองจึงทำสงครามผลัดกันแพ้ชนะเป็นเวลากว่า 100 ปี ซึ่งจบลงด้วยการที่อังกฤษสูญเสียดินแดนในแผ่นดินฝรั่งเศส แทบทั้งหมด

ต่อมาในปี 1455 – 1485 เกิดสงครามกลางเมืองครั้งใหญ่ในอังกฤษอีกครั้งเรียกว่า “สงครามดอกกุหลาบ” โดยมีการชิงอำนาจระหว่างตระกูลยอร์กและแลงคาสเตอร์ซึ่งต่างมีเชื้อสายแพลนทาจิเนต ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันอย่างดุเดือด และผลัดกันขึ้นมาครองราชสมบัติ

สงครามนี้เป็นเรื่องราวที่เป็นแรงบันดาลใจให้เกิดซีรีย์ Game of Thrones หรือในชื่อภาษาไทย มหาศึกชิงบัลลังก์

ราชวงศ์ทิวดอร์ (ค.ศ. 1485 – 1603)

ในตอนท้ายของสงครามดอกกุหลาบ เฮนรี ทิวดอร์ ซึ่งเป็นญาติของฝ่ายแลงคาสเตอร์ได้แต่งงานกับอลิซาเบธจากตระกูลยอร์ก ทำให้สงครามสงบลง มีราชวงศ์ใหม่ถูกสถาปนาขึ้นชื่อว่าราชวงศ์ทิวดอร์ (Tudor) ซึ่งเป็นราชวงศ์ที่ไม่ยาวนักมีสีสัน และอาจกล่าวว่ามีเรื่องราวที่เปลี่ยนแปลงอังกฤษมากที่สุด ทั้งยังทิ้งมรดกอันทรงคุณค่าไว้มากมาย

เรื่องสำคัญในยุคทิวดอร์มีเช่น ในรัชสมัยของพระเจ้าเฮนรีที่ 8 มีการแยกศาสนาจักรอังกฤษ ออกจากศาสนจักรโรมันคาทอลิก และในรัชสมัยของพระราชินีนาถอลิซาเบธที่ 1 ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง โดยหากเคยรับชมภาพยนตร์ที่เกี่ยวข้องกับพระราชินีพระองค์นี้ก็จะเห็นได้ว่าท่านเป็นผู้นำพาอังกฤษเข้าสู่ยุคทองอย่างเต็มภาคภูมิ โดยการที่กองเรืออังกฤษมีชัยชนะเหนือกองเรืออาร์มาดาของสเปน ทำให้อังกฤษก้าวขึ้นมาเป็นเจ้าแห่งท้องทะเลนับตั้งแต่นั้น

ในยุคดังกล่าวเป็นยุคแห่งการสำรวจ หรือ Age of Discovery ซึ่งชาวยุโรปได้แล่นเรือออกไปหาแสวงหาดินแดนโพ้นทะเล และมีผลต่อมาให้อังกฤษมีดินแดนอาณานิคมโพ้นทะเลที่สำคัญมากมาย เช่น อเมริกา

ภายหลังรบชนะสเปนแล้วอาณาจักรอังกฤษก็สงบสุข ทำให้ศิลปวัฒนธรรมเฟื่องฟูเฟื่องฟูขึ้นเป็นอันมาก ยุคนี้มีกวีผู้มีชื่อเสียงอย่างวิลเลียม เชกสเปียร์ เจ้าของงานประพันธ์ก้องโลกที่เรารู้จักกันดี เช่น โรมิโอกับจูเลียต แมคเบธ แฮมเลต ฯลฯ นอกจากนี้แล้วก็ยังมีนักประพันธ์อื่นอีกมาก เช่น เซอร์ ฟิลิป ซิดนีย์ เอ็ดมุนด์ สเปนเซอร์ ริชาร์ด ฮุกเกอร์ ฯลฯ

ราชวงศ์สจวต (ค.ศ. 1603 – 1714) 

เมื่ออลิซาเบธที่ 1 สวรรคตโดยปราศจากรัชทายาท จึงเป็นการสิ้นสุดของราชวงศ์ทิวดอร์ และสิทธิ์ในราชบัลลังก์อังกฤษจึงตกไปอยู่ที่พระเจ้าเจมส์ที่ 6 แห่งสกอตแลนด์ เพราะได้สืบเชื้อสายจากปฐมกษัตริย์ราชวงศ์ทิวดอร์

ในลักษณะนี้ขุนนางรวมถึงอลิซาเบธที่ 1 ก็เห็นชอบให้เจมส์ที่ 6 สืบราชบัลลังก์ อังกฤษและสกอตแลนด์จึงมีการประมุขร่วมกัน และยกพระเจ้าเจมส์ที่ 6 แห่งสกอตแลนด์ ให้กลายเป็นพระเจ้าเจมส์ที่ 1 แห่งอังกฤษด้วย และทำให้แผ่นดินอังกฤษและสกอตแลนด์ถูกรวมกันโดยปริยาย

อย่างไรก็ตามลางแห่งความขัดแย้งนั้นเกิดขึ้นตั้งแต่แรก ๆ โดยเจมส์ที่ 1 นั้นมีแนวคิดการปกครองแบบรวมศูนย์ซึ่งเชื่อว่ากษัตริย์มีสิทธิขาดในการปกครอง

ซึ่งต่างจากระบบของอังกฤษที่ขุนนางมีความสามารถในการคานอำนาจกับกษัตริย์ได้มากกว่า และกษัตริย์ต้องต่อรองกับรัฐสภาอยู่เรื่อย ๆ ทำให้มีการขัดแย้งมากโดยเฉพาะในประเด็น ศาสนา การคลัง และนโยบายต่างประเทศ

ความขัดแย้งกับรัฐสภาสู่จุดสูงสุดในรัชสมัยของพระเจ้าชาร์ลที่ 1 โดยในช่วงแรกของรัชกาลทรงพยายามทำให้รัฐสภาพอใจ แต่ขณะเดียวกันพระองค์ก็ปกปิดข้อมูลจากรัฐสภา ทั้งนี้ยังกระทำกิจนอกเหนือจากขอบเขตอำนาจที่กษัตริย์อังกฤษพึงกระทำหลายครั้ง จนนำไปสู่สงครามกลางเมืองระหว่างกษัตริย์กับรัฐสภา

สุดท้ายฝ่ายขุนนางเป็นฝ่ายชนะ และตัดสินประหารชีวิตพระเจ้าชาร์ลที่ 1 นำสู่ยุคสมัยหนึ่งที่คั่นขึ้นมาในราชวงศ์สจวต เรียกว่า “ยุคสาธารณรัฐ”

ยุคสาธารณรัฐ (ค.ศ. 1649 – 1660)

ผู้นำที่ทำการล้มล้างกษัตริย์นั้นชื่อ โอลิเวอร์ ครอมเวลล์ เขาเป็นนักปฏิวัติผู้เคร่งศาสนาคริสต์นิกายพิวริตัน

ครอมเวลล์เห็นว่าความบันเทิง และการละเล่นละครต่าง ๆ นั้นเป็นทางสู่ความบาป ดังนั้นจึงระงับความบันเทิงที่เคยเฟื่องฟูในรัชสมัยอลิซาเบธที่ 1 จนมาถึงราชวงศ์สจวตลงทั้งสิ้น การแต่งกายยุคนั้นถูกจำกัดไม่ให้มีสีสันและต้องอยู่ภายใต้กรอบของศาสนาอย่างเคร่งครัด

เมื่อโอลิเวอร์ ครอมเวลล์ถึงแก่อสัญกรรมลง ผู้ที่เคยให้การสนับสนุนต่างเสื่อมความนิยมในบุตรชายของเขา ทำให้มีการโค่นอำนาจของตระกูลครอมเวลล์ลง และมีการทูลเชิญเจ้าชายชาร์ล พระราชโอรสองค์โตในพระเจ้าชาร์ลที่ 1 เสด็จนิวัติกลับอังกฤษขึ้นเป็นพระเจ้าชาร์ลที่ 2 จึงนับได้ว่าอังกฤษกลับมาใช้ระบอบกษัตริย์อีกครั้ง

แม้จะอังกฤษจะกลับมามีกษัตริย์อีกครั้ง แต่ปัญหาความขัดแย้งในราชสำนักก็ยังไม่จบ โดยพระเจ้าเจมส์ที่ 2 ต้องการลดอำนาจของรัฐสภาเหมือนเดิม นอกจากนั้นขุนนางหลายฝ่ายยังไม่พอใจกับการมีกษัตริย์ที่นับถือคาทอลิก (ในขณะที่ขุนนางในสภาส่วนใหญ่นับถือโปรเตสแตนท์ และเกรงว่าจะเกิดปัญหาศาสนาขึ้นเหมือนในอดีต)

ด้วยเหตุนี้ขุนนางจึงทำการปฏิวัติอันรุ่งโรจน์ (Glorious Revolution 1688 – 1689) โดยโค่นล้มเจมส์ที่ 2 และยกพระธิดาชื่อแมรีเป็นพระราชินีนาถ พร้อมวิลเลียมแห่งออเรนจ์ พระสวามีเป็นกษัตริย์คู่กัน ที่เรียกว่าการปฏิวัติอันรุ่งโรจน์เพราะมิได้เสียเลือดเนื้อ หลังจากนั้นก็มีการกำหนดให้ผู้ที่นับถือคาทอลิกหรือมีคู่สมรสเป็นคาทอลิกไม่มีสิทธิในการสืบสันตติวงศ์อีกต่อไป

ราชวงศ์ฮันโนเวอร์ (ค.ศ. 1714 – 1901) 

ต่อมาเมื่อพระราชินีนาถแอนน์ซึ่งเป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายของราชวงศ์สจวตเสด็จสวรรคตโดยไม่มีรัชทายาท สิทธิการครองบัลลังก์จึงตกอยู่กับพระเจ้าจอร์จที่ 1 ซึ่งเป็นญาติวงศ์ที่มาจากสายแห่งฮันโนเวอร์ (อยู่ในเยอรมัน)

พระเจ้าจอร์จสถาปนาราชวงศ์ฮันโนเวอร์ (Hanover) ขึ้น โดนเป็นประมุขปกครองทั้งอังกฤษและดินแดนฮันโนเวอร์

อย่างไรก็ตามโดยในช่วงต้นของราชวงศ์ทั้งจอร์จที่ 1 และ 2 ประทับอยู่ที่ฮันโนเวอร์เป็นส่วนใหญ่และไม่ค่อยยุ่งกิจการอังกฤษมากนัก เนื่องจากผูกพันกับทางฮันโนเวอร์และไม่สันทัดในระบบการปกครองของอังกฤษ จึงเกิดระบบรัฐมนตรีขึ้นเพื่อบริหารราชการแผ่นดินอังกฤษ และอังกฤษได้มีนายกรัฐมนตรีคนแรก ชื่อ เซอร์ โรเบิร์ต วอลโพล

ในสมัยราชวงศ์ฮันโนเวอร์นี้เอง อังกฤษเข้าร่วมสงครามใหญ่ ๆ อันเกิดจากความขัดแย้งในยุโรปหลายครั้งด้วยกัน เช่น สงครามเจ็ดปี (1756 – 1763) และสงครามนโปเลียน (1801 – 1815) ขณะเดียวกันก็มีเหตุการณ์สำคัญ เช่น การที่อเมริกkประกาศเอกราชแยกไปจากอังกฤษสำเร็จในปี 1783

สงครามเจ็ดปี (Seven Years’ War 1756 – 1763) เป็นสงครามความขัดแย้งระหว่างมหาอำนาจในยุโรปบนแผ่นดิน 5 ทวีปที่ต่างฝ่ายต่างเป็นเจ้าอาณานิคมอยู่

ผลของสงครามคือฝ่ายอังกฤษเป็นผู้ชนะ ทำให้ได้อิทธิพลในอินเดีย อเมริกาเหนือ แคนาดา และทำให้กลายเป็นชาติที่แข็งแกร่งขึ้นเป็นอันมาก

สงครามนโปเลียน (Napoleonic Wars 1801 – 1815) เกิดจากที่ฝรั่งเศสมีขุนศึกผู้ยิ่งใหญ่ผู้หนึ่งคือนโปเลียน นโปเลียนนี้เป็นคนที่เก่งกาจมาก สามารถพิชิตดินแดนต่าง ๆ ในยุโรปได้อย่างมหัศจรรย์ ทำให้มหาอำนาจชาติอื่น ๆ ต้องรวมกันกำจัด

พวกเขาต่อสู้กันในสมรภูมิชี้ขาดที่วอเตอร์ลู (Waterloo) ผลคืออังกฤษและพันธมิตรสามารถเอาชนะนโปเลียน และยังสร้างชื่อให้กับดยุกแห่งเวลลิงตัน แม่ทัพอังกฤษในศึกนี้

ผลจากชัยชนะทั้งในสงครามเจ็ดปี และสงครามนโปเลียนทำให้อังกฤษมีอำนาจมากขึ้น กลายเป็นชาติมหาอำนาจอันดับหนึ่งต่อมาอีกนับร้อยปี

การสูญเสียอาณานิคมอเมริกา ทำให้อังกฤษขาดดินแดนที่ใช้ส่งนักโทษไปอาศัย ต่อมาพวกเขาจึงเบนความสนใจไปยังอาณานิคมนิวฮอลแลนด์ และมีการส่งนักโทษรุ่นแรกเข้าตั้งถิ่นฐานจนกลายเป็นประเทศออสเตรเลียในปัจจุบัน

ขณะเดียวกันได้เกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรมขึ้น ส่งผลให้เกิดวิทยาการต่าง ๆ มากมาย ซึ่งการปฏิวัติอุตสาหกรรมนี้เกิดขึ้นที่อังกฤษเป็นที่แรกในศตวรรษที่ 18 ในขณะที่ส่วนใหญ่ในยุโรปเกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรมราวศตวรรษที่ 19 – 20

…ถามว่าอะไรทำให้อังกฤษเป็นชาติแรกที่มีการปฏิวัติอุตสาหกรรม ? นั่นคือ:

1) อังกฤษมีระบบการปกครองที่มั่นคง รัฐสภาเข้มแข็ง
2) ประชากรส่วนใหญ่มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี โดยเป็นผลจากการปฏิวัติเกษตรกรรมตั้งแต่สมัยราชวงศ์ทิวดอร์ ประกอบกับการปฏิวัติวิทยาศาสตร์ ทำให้สามารถผลิตผลได้มาก
3) อังกฤษเป็นเจ้าทางทะเล มีอาณานิคมมาก ทำให้มีข้อได้เปรียบทางด้านการค้าและสามารถเพิ่มจำนวนตลาดการค้าได้อย่างรวดเร็ว

ความสำเร็จเริ่มต้นจากการทอผ้า (เพราะการประดิษฐ์คิดค้นในระยะแรกทำเพื่อตอบสนองอุตสาหกรรมการทอผ้าเท่านั้น เช่น กี่กระตุก) จึงเกิดเป็นเครื่องสปินนิงเจนนี (Spinning Jenny) หรือเครื่องปั่นด้ายที่สามารถปั่นด้ายได้พร้อมกันทีละ 16 เส้น ขึ้นในปี ค.ศ. 1764 ทำให้การทอผ้าเจริญก้าวหน้าขึ้นเป็นอันมาก

นอกจากนั้นอังกฤษยังมีนักประดิษฐ์ที่สำคัญมากมาย เช่น เจมส์ วัตต์ ผู้สามารถคิดค้นเครื่องจักรไอน้ำได้สำเร็จทำให้เกิดโรงงานอุตสาหกรรมตามริมแม่น้ำขึ้นเป็นจำนวนมาก และเกิดเมืองอุตสาหกรรมขึ้น เช่น แมนเชสเตอร์ เป็นต้น ทำให้เกิดความเจริญก้าวหน้าขึ้น

ยุควิคตอเรีย (ค.ศ. 1837 – 1901)

ยุควิคตอเรียยุคสมัยอันรุ่งโรจน์ของอังกฤษที่ชาวโลกรู้จักกันดี

ยุคนี้เป็นรัชสมัยอันยาวนานของสมเด็จพระราชินีนาถวิคตอเรีย ซึ่งอังกฤษทำให้ “โลก” กลายเป็น “อังกฤษ”

ในยุคนี้อังกฤษได้แผ่อิทธิพลไปทั่วโลก กลายเป็นชาติที่ได้ชื่อว่า “ดินแดนพระอาทิตย์ไม่เคยตกดิน” จากการที่มีอาณานิคมอยู่ทั่วทุกทวีป นอกจากนั้นอังกฤษยังเป็นผู้นำทางศิลปวัฒนธรรม และการประดิษฐ์ที่ยิ่งใหญ่

การมีอิทธิพลในระดับนี้ทำให้โลกรับวัฒนธรรมจากอังกฤษไปเป็นอันมาก เมื่อรวมกับอิทธิพลของประเทศอเมริกาที่รุ่งเรืองต่อเนื่องหลังยุคสงครามโลก มีผลให้โลกใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษากลางจนปัจจุบัน

พระนางวิคตอเรียยังมีสมญานามว่า “พระอัยยิกา” แห่งยุโรป เพราะส่งลูกหลานไปแต่งงานกับวงศ์กษัตริย์ในยุโรป จนวงศ์สำคัญ ๆ ต่างมีเชื้อสายของพระองค์ทั้งสิ้น เช่น ราชวงศ์โรมานอฟแห่งจักรวรรดิรัสเซีย หรือราชวงศ์โฮเฮนซอลเลิร์นแห่งจักรวรรดิเยอรมัน

ผู้มีส่วนสำคัญที่ทำให้รัชสมัยของสมเด็จพระราชินีนาถวิคตอเรียยิ่งใหญ่จนมีชื่อยุคเป็นของตนเอง ก็คือเจ้าชายอัลเบิร์ต พระราชสวามี ซึ่งเปรียบเสมือนผู้อยู่หลังฉากทั้งเหตุการณ์สำคัญในและนอกอังกฤษ โดยเฉพาะการที่พระองค์เป็นเจ้าภาพงานนิทรรศการครั้งใหญ่ (The Great Exhibition 1851)

งานนี้เปรียบเสมือนกับงานโชว์ศักยภาพทางด้านอุตสาหกรรมของอังกฤษให้ชาวโลกได้รับรู้ว่าอังกฤษมีวิทยากรก้าวหน้ามากเพียงใด

ภาพจำชั้นดี หากพูดถึงยุควิคตอเรีย คือ แบบแผนทางสังคมที่ผู้คนต่างยึดถือ ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เช่น ห้ามพูดเรื่องเพศ ห้ามผู้หญิงอยู่กับผู้ชายสองต่อสองโดยไม่มีพี่เลี้ยงอยู่ด้วย ฯลฯ

ในด้านการแต่งกาย ผู้ชายนิยมสวมหมวกทรงสูง สวมสูทยาว หรือเสื้อแจ๊คเกตตามแต่ความเหมาะสม ส่วนการแต่งกายของสตรีจะสวมคอร์เซ็ท (corset) รัดให้เอวเล็กเท่าที่จะทำได้

อนึ่งการสวมโครงกระโปรงทรงสุ่ม ทำให้บางครั้งความกว้างของกระโปรงก็เป็นปัญหาในการใช้ชีวิตประจำวันอยู่มาก เนื่องจากเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงจากกระโปรงขึ้นบ่อยครั้ง ทำให้ภายหลังความนิยมของกระโปรงชนิดนี้เสื่อมลง

ในยุคนี้ยังมีตำนานฆาตกรต่อเนื่องชื่อแจ็คเดอะริปเปอร์ (Jack the Ripper) ณ ไวต์ชาเปล ซึ่งสร้างคดีฆาตกรรมหญิงคณิกาอันเป็นที่ฉาวโฉ่ในเกาะอังกฤษ

แม้มีข้อถกเถียงว่าแจ็คมีตัวตนจริงหรือไม่ แต่ชื่อของเขามักปรากฎในนวนิยาย ชื่อเพลง หรือตามสื่อต่าง ๆ อยู่เสมอ

ราชวงศ์ซัคเซิน – โคบวร์คและโกทา หรือต่อมาเรียกว่า ราชวงศ์วินด์เซอร์ (ค.ศ. 1901 – ปัจจุบัน)

ภายหลังพระราชินีนาถวิคตอเรียสวรรคต วงศ์ที่ปกครองอังกฤษได้เปลี่ยนเป็นวงศ์ซัคเซิน – โคบวร์คและโกทา ตามเจ้าชายอัลเบิร์ตพระสวามี (ราชวงศ์จะถือการสืบทอดตามผู้ชาย) อย่างไรก็ตามเนื่องจากซัคเซิน – โคบวร์คและโกทาเป็นวงศ์เยอรมัน เมื่ออังกฤษมีปัญหากับเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่ 1 พวกเขาจึงเปลี่ยนชื่อราชวงศ์เป็น “วินด์เซอร์” ตามชื่อเมืองที่เป็นที่ตั้งปราสาทสำคัญ

สงครามโลกครั้งที่ 1 (ค.ศ. 1914 – 1918) 

ในขณะที่ลัทธิจักรวรรดินิยมรุ่งเรืองถึงขีดสุด นานาชาติมหาอำนาจได้ชิงความเป็นใหญ่กันซึ่งอังกฤษในฐานะมหาอำนาจเอกย่อมเป็นผู้ท้าชิงหลัก

พวกต่างแข่งกันแผ่ขยายอาณาเขต และจับผู้คนต่างชนชาติมาอาศัยอยู่ด้วยกันจนเกิดปัญหามากมาย ดังที่เกิดขึ้นในกรณีจักรวรรดิออสเตรีย – ฮังการีที่เข้ายึดครองบอสเนีย – เฮอร์เซโกวีนาและขัดขวางการรวมชาติสลาฟของเซอร์เบีย จนนำไปสู่ชนวนเหตุให้เกิดมหาสงครามใหญ่ที่ไม่มีใครคาดคิด เมื่อนักศึกษาชาวเซิร์บผู้รักชาติลอบปลงพระชนม์มกุฎราชกุมารจักรวรรดิออสเตรีย – ฮังการีและพระชายาสิ้นพระชนม์

เรื่องนี้นำไปสู่สงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งอังกฤษวางตัวอยู่ฝ่ายไตรภาคี (Triple Entente) ที่มีจักรวรรดิอังกฤษ ฝรั่งเศส และจักรวรรดิรัสเซียเป็นพันธมิตร และเป็นปฏิปักษ์กับฝ่ายมหาอำนาจกลาง (Triple Alliance) ซึ่งมีแกนนำคือจักรวรรดิเยอรมัน จักรวรรดิออตโตมัน และจักรวรรดิออสเตรีย – ฮังการี

…ต่อมาอังกฤษได้รับชัยชนะในปีค.ศ. 1918 พวกเขาเป็นหนึ่งในมหาอำนาจในการจัดตั้งองค์การระดับโลกอย่างสันนิบาตชาติ (League of Nations) แต่ก็ไม่อาจหยุดยั้งความวุ่นวายที่นำสู่สงครามครั้งต่อมาได้

สงครามโลกครั้งที่ 2 (ค.ศ. 1939 – 1945)

ปีค.ศ. 1933 อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำนาซีเยอรมนี เขาดำเนินนโยบายผนวกดินแดนที่เยอรมนีเคยเสียไปในสนธิสัญญาแวร์ซายส์และทำสงครามกับอาณาบริเวณใกล้เคียงจนเป็นที่น่าหวาดหวั่นว่าอาจนำไปสู่สงครามใหญ่ได้

ตอนนั้นนายกรัฐมนตรีเนวิลล์ เชมเบอร์แลนดำเนินเลือกนโยบายเอาใจนาซีเยอรมนีและฟาสซิสต์อิตาลี เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดสงคราม เขาได้เข้าประชุมสัญญาสันติภาพกับอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ผู้นำเยอรมนี โดยภายหลังจากทำข้อตกลงสันติภาพสำเร็จก็ประกาศว่า

“สันติภาพที่มีเกียรติ… สันติภาพในสมัยของเรา (Peace with honour… Peace in our time) ”

…ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่สำเร็จ …และในเวลาต่อมาเยอรมนีได้บุกยึดเชโกสโลวะเกียและโปแลนด์ ก่อเป็นชนวนเหตุของสงครามโลกครั้งที่ 2 (1939 – 1945)

เมื่ออังกฤษมีการเลือกตั้งใหม่ในปี ค.ศ. 1940 วินสตัน เชอร์ชิลขึ้นดำรงตำแหน่งนายกฯ จึงเปลี่ยนท่าทีเป็นแข็งกร้าวและปฏิปักษ์ต่อนาซีเยอรมนี

ยุทธการที่เป็นที่รู้จักกันมากก็คือ ยุทธการบริเตน (Battle of Britain) ที่อังกฤษก็ต้านการโจมตีของเยอรมนีอย่างเข้มแข็ง กระทั่งเยอรมนีล้มเลิกความคิดที่จะพิชิตเกาะอังกฤษแล้วหันไปมุ่งแนวรบตะวันออกแทน

ในขณะเดียวกันสหรัฐอเมริกาได้เข้าร่วมสงคราม ทำให้ทิศทางของสงครามเปลี่ยนไปด้วย ฝั่งเยอรมนีและอิตาลีต่างเพลี้ยงพล้ำบ่อยขึ้น จนหลังสิ้นสุดสงครามฝ่ายสัมพันธมิตรก็เป็นผู้ชนะ

บุคคลสำคัญที่ควรกล่าวถึงในยุคนี้ วินสตัน เชอร์ชิล รัฐบุรุษคนสำคัญของชาติ ผู้พลิกเกมมาต่อต้านฝ่ายอักษะและปกป้องอังกฤษไว้ได้ เมื่อหมดวาระลงใน ค.ศ. 1945 เชอร์ชิลกลับมาดำรงตำแหน่งนายกฯอีกครั้งในระหว่างปี ค.ศ. 1951 – 1955 โดยวาระที่สองเชอร์ชิลมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาสัมพันธ์ระหว่างอังกฤษกับสหรัฐอเมริกา ส่วนกิจการภายในประเทศเน้นไปที่การสร้างบ้านแปงเมือง และการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์

จนเมื่อปีค.ศ. 1955 เชอร์ชิลได้ลาออกจากตำแหน่งนายกฯ และเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1965

นายกรัฐมนตรีคนต่อมาซึ่งเป็นที่จดจำในฐานะหญิงเหล็ก เป็นคำขนานนามจากนักข่าวโซเวียตแก่มาร์กาเร็ต แทตเชอร์ นายกฯหญิงที่ดำรงตำแหน่งตั้งแต่ ค.ศ. 1979 – 1990 อังกฤษภายใต้แทตเชอร์ดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจตามแนวทางแนวคิดแทตเชอร์ (Thatcherism) คือเป็น เสรีนิยมผสมชาตินิยม สนับสนุนกิจการเอกชน ลดบทบาทสหภาพแรงงาน ลดภาษีเงินได้ และพยายามเพิ่มบทบาทของเอกชนให้มาบริหารกิจการต่าง ๆ แทนรัฐ

ชัยชนะในสงครามฟอล์กแลนด์ (Falklands War) และความไม่มั่นคงภายในพรรคฝ่ายค้าน ทำให้แทตเชอร์ได้รับความนิยมจนได้รับเลือกตั้งอีกครั้งในวาระที่ 2 ปี ค.ศ. 1983 ซึ่งสงครามฟอล์กแลนด์นี้เกิดขึ้นจากการที่อาร์เจนตินาทำการบุกรุกเกาะฟอล์กแลนด์ ต่อมารัฐบาลอังกฤษส่งกองกำลังทางเรือเพื่อต่อกรจนได้รับชัยชนะ

ปัญหาที่เกิดขึ้นในสมัยของแทตเชอร์ หลัก ๆ ก็จะเป็นปัญหาเศรษฐกิจ, ปัญญาการว่างงานที่พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ ฯลฯ, จนมาสู่ฟางเส้นสุดท้ายคือ ความพยายามไม่เข้าร่วมสหภาพยุโรป (EU) เนื่องจากแทตเชอร์เห็นว่าหากมีส่วนร่วมกับสหภาพยุโรปมากขึ้นแล้วอังกฤษจะสูญเสียสิทธิบางอย่างไป ซึ่งค้านกับเสียงส่วนใหญ่ในสภา จึงเป็นเหตุให้แทตเชอร์พ้นจากตำแหน่งไป

หลังจากนั้นมีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นในอังกฤษ มีรัฐบาลจากหลากหลายพรรคผลัดกันมาปกครองประเทศ สำหรับเรื่อง EU นั้น แม้ต่อมาอังกฤษจะได้เข้าร่วมสหภาพยุโรป แต่ก็มีการโหวตจากประชาชนให้ถอนตัวออกมา กลายเป็นปัญหาขัดแย้ง

อังกฤษค่อย ๆ สูญเสียสถานะมหาอำนาจและกลายเป็นเหมือนผู้ช่วยของมหาอำนาจใหม่คือสหรัฐอเมริกา แม้กระนั้นพวกเขาก็ยังมีอิทธิพลต่อโลกในหลายแง่

อังกฤษยุคหลังได้สร้างลีกฟุตบอลเช่นพรีเมียร์ลีก, หนังสือนิยาย เช่น แฮร์รี พอตเตอร์, หรือวงดนตรีเช่น เดอะบีทเทิลส์, สไปซ์เกิร์ล, หรือวันไดเรคชัน อันมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก

ใครจะคาดคิดว่า เกาะเล็ก ๆ นี้เคยเป็นจักรวรรดิอันยิ่งใหญ่ ครอบคลุมทุกทวีป เป็นเจ้าแห่งวัฒนธรรมที่ใคร ๆ ต้องทำตาม

แม้อังกฤษในวันนี้จะมิได้ยิ่งใหญ่เช่นอดีต แต่สิงโตตัวนี้ยังคงยืนหยัดท่ามกลางกระแสโลกอย่างสง่างามเสมอมา นับเป็นอีกชาติหนึ่งที่มีประวัติศาสตร์อันเก่าแก่ควรแก่การศึกษาเป็นอย่างยิ่ง