เมื่อพูดถึงกลุ่มก่อการร้าย ชื่อ “อัลเคดา” นั้นก็คงจะขึ้นมาเป็นรายแรกๆ …พวกเขาก่อวินาศกรรมสะเทือนขวัญมากมาย โดยเฉพาะเหตุการณ์ 9/11 ในวันที่ 11 กันยายน 2001 ที่สมาชิกกลุ่ม 19 คน จี้เครื่องบินพุ่งชนตึกแฝดเวิร์ลเทรดที่นครนิวยอร์กถล่ม และชนอาคารเพนทากอนกรุงวอชิงตันดีซีราบไปปีกหนึ่ง ส่วนอีกลำหนึ่งที่ตกลงกลางทาง เชื่อกันว่าตั้งใจจะไปชนทำเนียบขาว

แม้ภายหลัง อัลเคดาจะเสียสถานะผู้นำโลกมืดให้กับกลุ่ม ISIS รวมทั้งเสียเสถียรภาพไปเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจใจปี 2011 เแต่พวกเขาก็ไม่เคยหายไปไหน และยังดำเนินการตามความเชื่อของพวกเขาอยู่เงียบๆ

ท่านเคยสงสัยหรือไม่ว่ากลุ่มอัลเคดาเกิดขึ้นมาได้อย่างไร? อเมริกาอยู่เบื้องหลังพวกเขาจริงหรือ? ทำไมพวกเขาถึงขัดแย้งกับกลุ่มก่อการร้ายอื่นเช่น ISIS แล้วตอนที่เขาหายไปเกิดอะไรขึ้นบ้าง? เราจะไปดูทั้งหมดนี้ด้วยกันในบทความครับ

ความเป็นมา

ในยุคสงครามเย็น โลกแบ่งขั้วอำนาจเป็นสองขั้ว ได้แก่โลกเสรี (อเมริกา) และคอมมิวนิสต์ (โซเวียต) มีสงครามตัวแทนเกิดขึ้นมากมายทั่วโลก โดยหนึ่งในสมรภูมิที่มีชื่อเสียงที่สุดคือ “สงครามอัฟกานิสถาน”

อัฟกานิสถานมีความขัดแย้งภายในมานาน ในปี 1979 โซเวียตบุกเข้าอัฟกานิสถานและตั้งรัฐบาลหุ่นมาปกครอง

ในตอนนั้นมีกระแสกลุ่มที่โปรศาสนา รวมตัวกันต่อต้านโซเวียต ภายใต้ชื่อหลวมๆ ว่า “กลุ่มมูจาฮีดีน” เกิดขึ้น คนเหล่านี้มักเป็นกองโจร นำโดยขุนศึกหลายคนที่เป็นอิสระต่อกัน และหลายต่อหลายครั้งก็แย่งชิงความเป็นใหญ่กันเอง

โซเวียตพยายามปราบปรามพวกมูจาฮีดีนอย่างหนัก แต่ด้วยภูมิประเทศอันสลับซับซ้อนของอัฟกานิสถาน ทำให้ไม่สามารถเอาชนะคนในพื้นที่ได้

ตอนนั้นเมื่อฝ่ายโลกเสรีเห็นว่าโซเวียตอาจเพลี่ยงพล้ำเลยพยายามซ้ำเติมบั่นทอน โดย อเมริกาส่งอาวุธไปช่วยฝ่ายต่อต้านรัฐบาลเป็นจำนวนมาก ส่วนอังกฤษก็ส่งหน่วยรบพิเศษ SAS ไปช่วยฝึกนักรบมูจาฮีดีน (นับเป็นปฏิบัติการลับใหญ่สุดของอังกฤษนับแต่สงครามโลกครั้งที่ 2)

อเมริกายังเห็นว่ากระแสการชูศาสนาต้านคอมมิวนิสต์นั้น “ใช้ได้” จึงได้โฆษณาให้ประชาชาติอิสลามร่วมกันต่อต้านพวกมารร้ายคอมมิวนิสต์ โดยฝ่ายโลกเสรีจะคอยสนับสนุน

ในลักษณะนี้จึงมีนักรบอาสาสมัครมุสลิมจากประเทศอื่นมาเข้าร่วมการทำ “ญิฮาดสากล” (ญิฮาดคือการต่อสู้เพื่อปกป้องศาสนาของชาวมุสลิม) หนึ่งในนั้นได้แก่ชายหนุ่มชาวซาอุดีอาระเบียชื่อ “อุซามะฮ์ บิน ลาดิน” หรือที่คนไทยรู้จักกันดีในนาม “บินลาเดน”

สมรภูมิอัฟกานิสถานกลายเป็นแหล่งบ่มเพาะชั้นดีให้นักรบมุสลิมได้รับแนวคิดญิฮาดสากล ซึ่งสอนกันว่าชาวมุสลิมควรจะละทิ้งความยึดมั่นในชาติพันธุ์แล้วเข้าช่วยเหลือชาวมุสลิมที่ถูกกดขี่ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดในโลก

…ตอนนั้นสื่ออเมริกาเองก็ยกย่องบินลาเดนเป็นอันมาก (และเป็นที่มาของข้อครหาว่าอเมริกาอยู่เบื้องหลังบินลาเดน) พวกเขามุ่งจะเอาชนะโซเวียตเลยไม่ทันคิดว่าเรื่องนี้จะทำให้เกิดความเสียหายมหาศาลแก่ตัวเองในอนาคต

เรื่องของอัลเคดา

บินลาเดนมองว่าชาวมุสลิมนั้นมีจำนวนมาก แต่แบ่งเป็นหลายฝักฝ่ายรบพุ่งกันเอง จึงถูกชาติมหาอำนาจรังแก ถ้ารวมกลุ่มกันสู้เพื่อรักษาผลประโยชน์ของตน ก็จะสามารถสร้างขั้วอำนาจอันแข็งแกร่งอีกขั้วหนึ่ง

เขามีทัศนะว่าด้วยการที่มุสลิมทั้งโลกควรรวมกันภายใต้หลักการสะลาฟีย์หัวรุนแรง ชำระศาสนาให้บริสุทธิ์เหมือนยุคบรรพชน และช่วยกันสร้างรัฐอิสลามขึ้นเป็นใหญ่ในโลก

ตอนใกล้จบสงครามโซเวียต-อัฟกานิสถานในปี 1989 บินลาเดนและคณะผู้นำญิฮาดได้มาประชุมกัน ทุกฝ่ายเห็นพ้องว่าไม่ควรให้กระบวนการญิฮาดสากลจบลงเพียงในอัฟกานิสถาน แต่ควรจะขยายขอบข่ายปฏิบัติการไปช่วยเหลือมุสลิมในประเทศอื่นๆ ที่ถูกกดขี่ และฝึกปรือคนรุ่นใหม่ๆ ให้มาต่อสู้เพื่อศาสนาเพิ่มขึ้น ผู้นำแต่ละคนจึงแยกย้ายกันไปสร้างเครือข่ายสนับสนุนในประเทศตนเอง

เมื่อบินลาเดนกลับไปซาอุฯ ซึ่งตอนนั้นกำลังถูกคุกคามด้วยสงครามอ่าวในปี 1990 เขาได้เสนอตัวจะปกป้องประเทศ แต่ราชวงศ์ซาอุมองแล้วไม่น่าเวิร์ก เลยไปขอความช่วยเหลือจากอเมริกาแทน เรื่องนี้ทำให้บินลาเดนโกรธมาก เพราะการที่ทหารอเมริกาเข้ามายังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เช่น ซาอุฯ นั้นถือว่าทำให้แปดเปื้อน

บินลาเดนมองว่าอเมริกาเองก็อยู่เบื้องหลังการกดขี่มุสลิมในหลายพื้นที่ หลักๆ คืออเมริกาเป็นมิตรกับพวกอิสราเอลที่กดขี่ชาวปาเลสไตน์ และการจะเริ่มวางแนวทางว่าการโค่นล้มอเมริกาซึ่งตอนนั้นแทบเป็นมหาอำนาจขั้วเดียวของโลก จะทำให้โลกวุ่นวาย เป็นช่องทางให้รัฐอิสลามผงาดขึ้นมาได้ (เขาคิดว่าจะใช้สงครามกองโจร บั่นทอนจนอเมริกาอ่อนแอ และเสื่อมลงได้เหมือนที่เคยชนะโซเวียต) แต่นั้นเขาก็เคลื่อนไหวต่อต้านอเมริกามาตลอด

บินลาเดนสร้างฐานกำลังในซูดาน แต่โดนรัฐบาลซาอุฯ กดดัน ทั้งเพิกถอนสัญชาติ ครอบครัวเขาก็ตัดญาติเขา แต่แทนที่บินลาเดนจะยอมจำนน เขายังเคลื่อนไหวต่อไป และได้เดินทางไปอัฟกานิสถาน ซึ่งกลุ่มตาลีบัน (แตกออกมาจากมูจาฮีดีน) เพิ่งครองประเทศได้สำเร็จ

…เนื่องจากทั้งตาลีบันและบินลาเดนมีแนวคิดใกล้เคียงกัน จึงกลายเป็นพันธมิตร

ปี 1996 บินลาเดนตั้งฐานทัพญิฮาดสากลในอัฟกานิสถาน ภายใต้ชื่อ “แนวหน้าอิสลามโลกเพื่อทำญิฮาดต่อต้านยิวและนักรบครูเสด” (WIFJAJC) ที่เป็นต้นกำเนิดของอัลกออิดะห์ (หรือเราจะง่ายๆ เรียกว่าอัลเคดา) ในยุคต่อมา

จากนั้นในปี 1998 บินลาเดนก็ประกาศชวนให้มุสลิมทุกคนทำการต่อสู้กับอเมริกาและอิสราเอลซึ่งเขามองว่าเป็นพวกชั่วร้าย

บินลาเดนใช้วิธีก่อการร้าย บ่อนทำลายอเมริกาและพันธมิตร ปลุกปั่นให้คนคล้อยตาม ซึ่งคนที่คอยช่วยวางแผนคือศัลยแพทย์ชาวอียิปต์ นาม “อัยมัน อัลซาวาฮีรี”

เหตุการณ์ดังๆ ก็มีการวางระเบิดสถานทูตสหรัฐในเคนยากับแทนซาเนียปี 1998 รวมทั้งวินาศกรรม 11 กันยายน 2001 มีผู้เสียชีวิต 2,996 คน บาดเจ็บกว่า 6,000 คน

โศกนาฏกรรมดังกล่าวส่งผลให้สหรัฐทำ “สงครามต่อต้านก่อการร้าย” ในอัฟกานิสถานเพื่อกวาดล้างกลุ่มตาลีบันที่ให้การคุ้มครองบินลาเดนอยู่

การต่อสู้ดำเนินไปจนในที่สุดอเมริกาก็สามารถสังหารบินลาเดนลงได้ในปี 2011 ที่ปากีสถาน

…อย่างไรก็ตาม อัลเคดายังไม่สิ้นฤทธิ์เสียทีเดียว และอัลซาวาฮีรีก็ได้ขึ้นมาดำรงตำแหน่งต่อ…

เสียตำแหน่ง

แม้อัลเคดาจะได้ชื่อว่าเป็นพี่ใหญ่แห่งวงการก่อการร้าย แต่เวลานั้นมี “น้องใหม่” โดดเด่นขึ้นมาคือ ISIS ซึ่งตอนแรกมีสถานะเป็น “อัลเคดาสาขาอิรัก”

ISIS มีวีรกรรมโด่ดเด่น โหดเหี้ยมสุดโต่งกว่าอัลเคดา จนอัลซาวาฮีรียังไม่ชอบ ขณะเดียวกัน “อบูบักร อัลบัฆดาดี” ผู้นำ ISIS มองว่า อัลซาวาฮีรีไม่มีบารมีเช่นบินลาเดน อัลเคดาสาขาแม่ทำตัวไม่น่าเคารพหลายอย่าง เลยประกาศของเลิกสวามิภักดิ์!

ทั้งสอง ISIS และอัลเคดาต่างโทษกันว่าเป็นมารศาสนา ก่อเหตุปะทะกันบ่อยครั้ง แต่เรื่องการประชาสัมพันธ์ ISIS ทำได้ดีกว่ามาก โดยพวกเขาทำวิดีโอโปรโมทอย่างกับภาพยนตร์ฉายโรง ทั้งยังใช้โซเชียลมีเดียอย่างชำนาญ

อย่างไรก็ตามตอนนั้น ISIS เปิดศึกหลายด้าน เป็นเหตุให้พวกเขามีคู่กรณีมากมาย ทำให้ตั้งแต่ปี 2015 เป็นต้นมา ISIS ค่อยๆ พ่ายแพ้ จนเสียเมืองรักกาที่เป็นฐานมั่นระดับเมืองหลวงไปในปี 2017 ส่วนอัลบัฆดาดีโดนไล่ต้อนจนมุมจึงตัดสินใจฆ่าตัวตายในปี 2019 ทำให้ ISIS ค่อยๆ หายไปจากหน้าสื่อ

…การเสื่อมของ ISIS ทำให้กระแสกลุ่มกองโจรญิฮาดสากลในโลกมุสลิมเสื่อมลงด้วย ผู้คนหันไปสนับสนุนผู้เล่นที่เป็นรัฐมากกว่า…

ความเคลื่อนไหวในช่วงหลัง

วันที่ 1 สิงหาคม 2022 ตามเวลาท้องถิ่นของสหรัฐ ประธานาธิบดี โจ ไบเดน แถลง ณ ทำเนียบขาวว่า ได้ใช้โดรนสังหารอัลซาวาฮีรี ผู้นำกลุ่มก่อการร้ายอัลเคดาคนปัจจุบันเป็นผลสำเร็จที่กรุงคาบูล ประเทศอัฟกานิสถาน ทำให้ชื่อของกลุ่มนี้กลับมาอยู่บนหน้าสื่ออีกครั้ง

หลายท่านอาจเกิดคำถามว่า ในเมื่ออัลเคดาเงียบไปนานแล้ว เหตุใดจึงมีการตามล่าตัวหัวหน้าขึ้นมา? มีเหตุการณ์อะไรทำให้สหรัฐต้องลงมือหลังจากที่สังหารบินลาเดนไปเมื่อ 11 ปีก่อน? ผมจะไล่เรียงให้ท่านได้ทราบกันนะครับ

สำนักงานวิจัยแห่งรัฐสภาสหรัฐฯ (Congressional Research Service) ได้ให้ข้อมูลไว้ว่า หลังจากที่ตาลีบันกลับมามีอำนาจในอัฟกานิสถานเมื่อปี 2021 ถึงจะประสบปัญหาของตัวเองหลายอย่าง แต่ก็คอยช่วยเหลือมิตรเก่าอย่างอัลเคดามาเสมอ

กระนั้น พวกเขาทำอะไรได้ไม่มาก เนื่องจากตาลีบันให้คำมั่นสัญญากับนานาชาติว่าจะจัดการผู้ก่อการร้ายหลังการถอนทัพของสหรัฐ และยังต้องการความช่วยเหลือของต่างชาติอยู่

จากเอกสารของ CRS ที่ออกมาเมื่อต้นปี 2022 ให้ข้อมูลว่า อัลเคดา “เปลี่ยนถ่ายอำนาจการสั่งการสู่พันธมิตรในภูมิภาค” ไม่ได้ทำตัวเป็นศูนย์กลางควบคุมวางแผนโดยตรงอีก แต่ขณะเดียวกันก็กำลังซ่องสุมกองกำลังขึ้นมา

เครือข่ายหลักๆ ในภูมิภาคของอัลเคดาได้แก่:

1) “อัลเคดาในคาบสมุทรอาระเบีย” Al Qaeda in the Arabia Peninsula (AQAP) เกิดจากอัลเคดาซาอุฯ ที่โดนกวาดล้างในปี 2005 ก่อนจะเข้ามาร่วมกลุ่มกับอัลเคดาเยเมนในปี 2009 พวกเขาสู้รบในสงครามเยเมนอย่างเข้มแข็งโดดเด่น และเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดดหลังการปฏิวัติในเยเมน

สมาชิกอัลเคดากลุ่มนี้ คือผู้ก่อเหตุโจมตีสำนักงานหนังสือพิมพ์แนวเสียดสี ชาร์ลี เอบโด ที่ฝรั่งเศส ทำให้มีผู้เสียชีวิต 12 ราย และบาดเจ็บอีก 11 ราย

…อย่างไรก็ตามในปี 2022 พวกเขาเกิดปัญหาภายใน ทั้งยังต้องเผชิญการสู้รบอย่างหนัก ทำให้เสียกำลังไปมาก

2) “อัลชาบับ” (Al Shabaab) กลุ่มก่อการร้ายโซมาเลียที่มาขอสวามิภักดิ์อัลเคดาในปี 2012 พวกก่อการในโซมาเลียและประเทศรอบๆ เช่น อูกันดา, จีบูตี และเคนยา

ในเดือนมีนาคม 2022 กระทรวงกลาโหมสหรัฐให้นิยามอัลชาบับเป็นพันธมิตรอัลเคดาที่ “ใหญ่ที่สุด รวยที่สุด และอันตรายที่สุดในขณะนี้”

3) “อัลเคดามัฆริบ” (Al Qaeda in the Islamic Maghreb) เป็นกลุ่มที่เกิดจากสงครามภายในประเทศของแอลจีเรียในช่วงปี 1990 ก่อนจะกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของอัลเคดาในช่วง 2006 – 2007

เราอาจไม่ค่อยได้ยินชื่อกลุ่มนี้ แต่พวกเขามีกลุ่มย่อยเคลื่อนไหวอยู่ในประเทศมาลี ซึ่งแม้ฝรั่งเศส (ที่เคยครองประเทศอยู่ช่วงหนึ่ง) จะพยายามเข้าไปปราบตั้งแต่ปี 2013 แต่ก็ไม่สำเร็จ และเพิ่งถอนกำลังไปเมื่อกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

4) “อัลนุสเราะห์” กลุ่มนี้ตั้งขึ้นที่ซีเรีย โดย “อบูมุฮัมหมัด อัลโจลานี” รองหัวหน้า ISIS (ตอนนั้นยังไม่แตกกับอัลเคดา) ที่อัลบัฆดาดีส่งไปสร้างความวุ่นวายขณะเกิดสงครามกลางเมือง แต่อัลบัฆดาดีแห่ง ISIS ไม่พอใจที่อัลโจลานีเด่นเกินไป แถมยังร่วมมือกับกลุ่มกบฏสายกลาง FSA ที่สวามิภักดิ์อเมริกาอย่างโจ่งแจ้งเพื่อต่อต้านรัฐบาล จนเป็นเหตุให้แตกกันดังข้างต้น

ต่อมาเมื่อ ISIS เสื่อมลง กลุ่มของอัลโจลานีกลับเป็นกลุ่มที่อยู่รอด พวกเขารีแบรนด์ตนเอง และยังมีอำนาจอยู่ในภาคตะวันตกเฉียงเหนือของซีเรีย

…จากทั้งหมดนี้ ท่านจะเห็นว่ากลุ่มอัลเคดายังมีกำลังมากพอควร ยังมีอิทธิพลมากพอจะรวมพลได้ใหม่ และยังเคลื่อนไหวมาเรื่อยๆ เพียงแต่ค่อนข้างเน้นการสู้รบในภูมิภาคมากกว่า

การตอบโต้ของสหรัฐ

แม้สหรัฐจะถอนทัพออกจากอัฟกานิสถานแล้ว แต่ก็ยังมีเจ้าหน้าที่คอยปฏิบัติงานอยู่ เพื่อต่อสู้กับกลุ่มก่อการร้ายโดยได้รับความร่วมมือจากคนในพื้นที่ ที่คอยให้การสนับสนุนด้านความปลอดภัย รวมไปถึงความช่วยเหลือด้านกำลังเสริมและการให้คำแนะนำในการรบ

สหรัฐยังหาทางปิดกั้นการเงินของอัลเคดาผ่านทางคว่ำบาตรและวิธีอื่นๆ รวมไปถึงการดำเนินคดีกับชาวอเมริกันที่ให้ความสนับสนุนกลุ่มอัลเคดาและพันธมิตร

แน่นอนว่า การสังหารอัลซาวาฮีรีถือเป็นหนึ่งในมาตรการขจัดอิทธิพลกลุ่มก่อการร้าย ไม่ให้อัฟกานิสถานกลายเป็น “แหล่งซ่องสุม” ซึ่งประธานาธิบดีไบเดนในกล่าวว่า “ถึงซ่อนตัว เขา (อัลซาวาฮีรี) ก็ยังมีส่วนร่วมในกลุ่มอัลเคดารอบโลก รวมทั้งมีหน้าที่หลักในการให้คำแนะนำทางปฏิบัติการ ให้กำลังใจ และส่งเสริมให้มีการโจมตีสหรัฐ”

ไบเดนยังเสริมว่า “ไม่ว่าจะใช้เวลานานแค่ไหน ไม่ว่าจะซ่อนตัวที่ใด ถ้าเป็นภัยต่อประชาชนของเรา สหรัฐจะไปตามหาและจัดการ”

อนึ่งทางการสหรัฐให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าไบเดนวางแผนจัดการอัลซาวาฮีรีมาตั้งแต่เดือนพฤษภาคม โดยคำนึงถึงทุกขั้นตอนอย่างละเอียด รวมทั้งการลดความเสียหายที่อาจส่งผลต่อประชาชนด้วย ทำให้การโจมตีครั้งนี้ มีผู้เสียชีวิตเพียงคนเดียวคือตัวอัลซาวาฮีรีเอง

ตาลีบันออกมาแสดงความไม่พอใจที่สหรัฐปฏิบัติการโดยพลการ แต่ไม่ได้ระบุตรงๆ ว่าความไม่พอใจเกิดเพราะการสังหารอัลซาวาฮีรี เนื่องจากถ้ายอมรับว่าเขาอยู่ที่นี่ จะเท่ากับว่าตาลีบันละเมิดข้อตกลงว่าจะไม่ให้มีกลุ่มก่อการร้ายกบดานอยู่ในประเทศ ซึ่งเรื่องนี้นายแอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ ได้พูดดักไว้ก่อนแล้ว

อนาคตต่อจากนี้

ฮัมซา บินลาเดน ลูกชายของอุซามะฮ์ บินลาเดน ที่มีการคาดการณ์กันว่าอาจขึ้นมาเป็นผู้นำต่อจากอัลซาวาฮีรี ได้ถูกจัดการไปแล้วในปี 2019 ในสมัยของรัฐบาล โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งไม่ได้บอกรายละเอียดปฏิบัติการใดๆ นอกจากว่าเกิดขึ้น “แถวๆ อัฟกานิสถาน/ปากีสถาน”

จากการคาดการณ์ของสำนักงานวิจัยแห่งรัฐสภาสหรัฐฯ ผู้สืบทอดของอัลซาวาฮีรีน่าจะเป็น ซาอิฟ อัล อาเดล อดีตนายพลชาวอียิปต์ ผู้ฝึกการทหารและการข่าวสารของกลุ่มอัลเคดา ปัจจุบันยังไม่ทราบว่าเขาอาศัยอยู่ที่ใด

ดังนี้การปราบปรามก่อการร้ายก็ไม่อาจจบลงง่ายๆ แม้จะดำเนินมาหลายสิบปีแล้ว และแน่นอนว่าอาจต้องมีการหลั่งเลือดไปอีกมากมายนัก…