ในช่วงหลังบางท่านอาจไปพบกับข่าวหรือการแสดงความเห็นบนโลกอินเทอร์เน็ตทำนองว่าคนรุ่นหลังประสบกับปัญหาความยากลำบากทางการเงินมากกว่าคนรุ่นก่อนๆ และอาจเห็นการบอกเล่าว่าเงินเดือนปัจจุบันช่างน้อยแสนน้อยไม่พอกับค่าใช้จ่าย

มีข่าวออกมาว่าคนรุ่นใหม่ไม่น้อยหมดหวังกับชีวิต และหันไปใช้ชีวิตลอยชายไปเรื่อยๆ ขณะที่บางส่วนก็ไปตอบโต้ว่าเป็นเพราะคนรุ่นใหม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยเองหรือเปล่า? คนสมัยก่อนทำงานเก็บหอมรอบริบจนปลูกบ้านสร้างครอบครัวกันได้เยอะแยะ นอกจากนี้ยังขี้เกียจหวังงอมืองอเท้ารอรับการช่วยเหลืออย่างเดียว ไม่คิดปากกัดตีนถีบแบบคนสมัยก่อน

แต่เดี๋ยวก่อน! แม้ปัญหาเรื่องเงินๆ ทองๆ อาจดูเหมือนเป็นปัญหาเรื่องนิสัยการบริหารจัดการเงินหรือการไม่ขยันทำงานเอง แต่เรื่องเดียวกันนี้กลับพบได้ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นไทย สหรัฐ ยุโรปหรือจีน มันแปลว่ามันนี้มีอะไรซ่อนอยู่เบื้องหลังหรือเปล่า?

ในโพสต์นี้เราจะมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจในยุคนี้ที่แตกต่างกับในอดีต ดูว่าอะไรที่เป็นชนวนให้เกิดความยากลำบากทางการเงินเหล่านี้ และผลกระทบที่เกิดขึ้นไปแล้วกันครับ
______________
*** เบื้องหลัง ***

1. คนรุ่นใหม่กำลังประสบกับความยากลำบากทางการเงินอยู่หรือเปล่า? เมื่อดูจากตัวเลขรายได้จะพบว่าฐานเงินเดือนและค่าจ้างขั้นต่ำค่อยๆ ปรับตัวสูงขึ้นในช่วงปีหลังๆ จากนโยบายที่หลายท่านคุ้นหูอย่างจบปริญญาตรี 15,000 บาทต่อเดือน ค่าแรงขั้นต่ำ (อาจจะ) 400 บาทต่อวัน แต่คนรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อยสื่อสารออกมาอยู่เรื่อยๆ ว่ากำลังเผชิญกับภาวะชักหน้าไม่ถึงหลังและกู้หนี้ยืมสิน ซึ่งจริงๆ แล้ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนี้มันมีคำอธิบายอยู่ครับ

2. ก่อนอื่นต้องเท้าความถึงประวัติศาสตร์เศรษฐกิจโลก นับเฉพาะช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ราวๆ ทศวรรษ 1940-1970 ได้เกิดปรากฏการณ์เศรษฐกิจบูมและประชากรเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด ผลทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของชาวโลกดีขึ้นมาก ในช่วงนี้จีดีพีทั้งโตเร็ว การว่างงานก็ต่ำ ปัญหาความเหลื่อมล้ำดีขึ้น และเศรษฐกิจก็มั่นคง คือเกิดวิกฤตเศรษฐกิจน้อย จนมีคำเรียกว่าช่วงนี้คือ “ยุคทองแห่งทุนนิยม” (Golden Age of Capitalism)

3. และไทยเองก็เป็นประเทศที่ได้รับอานิสงส์จากการเติบโตของเศรษฐกิจโลกบวกกับการเมืองโลก โดยไทยได้รับเงินช่วยเหลืออย่างมากจากสหรัฐในช่วงสงครามเย็นเพื่อต่อสู้กับคอมมิวนิสต์ และยังมีช่วงปี 1987-1996 ที่เศรษฐกิจไทยเติบโตเร็วเป็นอันดับต้นๆ ของโลกจากการลงทุนของต่างชาติ และมีตัวเลขเศรษฐกิจในช่วงนี้โตเฉลี่ยถึง 9-10% ต่อปีติดๆ กันถึง 10 ปี!

4. แต่งานเลี้ยงก็มีวันเลิกรา เมื่อช่วงทศวรรษ 1970 มีเหตุการณ์สำคัญหลายอย่าง เช่น การถอนตัวออกจากมาตรฐานทองคำของสหรัฐ ทำให้เกิดปัญหาการว่างงานสูง เศรษฐกิจตกต่ำและเงินเฟ้อขึ้นพร้อมกัน ที่เรียกว่า “Stagflation” และผลลัพธ์ของมันทำให้เกิดแนวคิด “การเงินนิยม” (moneterism) และนโยบาย “เสรีนิยมใหม่” (neoliberalism)

5. หากท่านเคยได้ยินข้อความประมาณว่ารัฐบาลบางประเทศ “พิมพ์เงิน” หรือ “เสกเงิน” ได้ ก็คือแนวคิด “การเงินนิยม” นี่แหละครับ ใจความสำคัญของมันคือการควบคุมปริมาณเงินในระบบจากอัตราเงินเฟ้อ แทนการควบคุมเงินเฟ้อผ่านการใช้จ่ายภาครัฐเป็นหลัก แน่นอนผลทำให้ปริมาณเงินทั่วโลก (ย้ำว่าทั่วโลกนะครับ ไม่ใช่แค่อเมริกา) พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว

6. ผลของนโยบายการเงินนิยมดังกล่าวทำให้ปัญหาเงินเฟ้อกลายมาเป็นเรื่องใกล้ตัวมากกว่าแต่ก่อน ทุกวันนี้ชาวบ้านทั่วไปก็รู้จักเรื่อง “เงินเฟ้อ” กันหมดแล้ว คือเกือบทุกคนก็คงมีความเข้าใจว่าหากเราถือเงินไว้เฉยๆ ต่อไปเงินจะเสียมูลค่า ต้องรู้จักเอาไปลงทุนต่อยอดเพื่อรักษามูลค่าของเงินไม่ให้เสื่อมไป

7. อีกด้านหนึ่งนโยบายเสรีนิยมใหม่ซึ่งมีใจความหลักในเรื่องการลดบทบาทของภาครัฐในเศรษฐกิจ ซึ่งรวมถึงการลดกฎเกณฑ์ต่างๆ (แปลว่ากฎดูแลสิ่งแวดล้อม ดูแลแรงงาน ป้องกันการผูกขาด ฯลฯ ก็หายไปด้วย) ลดภาษี การโอนกิจการของรัฐเป็นของเอกชน และลดรัฐสวัสดิการ ทำให้เกิดเสียงวิจารณ์ว่าทำให้ปัญหาความเหลื่อมล้ำและความยากจนรุนแรงขึ้น รวมทั้งนำไปสู่ “วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์” ปี 2008 ที่เกิดจากหนี้สินที่ภาครัฐปล่อยปละละเลยอีกด้วย

…เล่าถึงตรงนี้คงพอเห็นความเป็นมาทางเศรษฐกิจที่นำมาสู่ปัญหาความยุ่งยากหลายๆ อย่างของคนรุ่นหลังกันแล้วนะครับ ต่อไปเราจะมาขยายประเด็นเงินเฟ้อกับความเหลื่อมล้ำกัน
______________
*** เงินเฟ้อและความเหลื่อมล้ำ ***

8. “ทำงานไปเรื่อยๆ ประหยัดอดออม แล้วชีวิตจะสบาย” และ “ฝากเงินไว้ในธนาคารสิได้ดอกเบี้ยด้วย” เหล่านี้เป็นตัวอย่างคำแนะนำทางการเงินที่ผู้ใหญ่มักจะมอบให้กับคนรุ่นใหม่ แต่คำแนะนำเหล่านี้อาจใช้ไม่ได้ในยุคสมัยนี้เสียแล้ว เพราะอัตราดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารทุกวันนี้นั้นช่างน้อยแสนน้อย และ “ไม่มีใครรวยจากการอดออมอย่างเดียว” ปัจจัยสำคัญของสิ่งนี้คือเงินเฟ้อ เพราะราคาของทุกอย่างเพิ่มขึ้นเร็วมาก ที่เห็นชัดๆ คือราคาของทรัพย์สินอย่างอสังหาริมทรัพย์หรือทองคำที่เติบโตขึ้นหลายเท่าตัวในช่วงหลายสิบปีหลัง

9. ทีนี้ก็จะมีบางคนออกมาให้ความเห็นว่าควรอยู่ได้สิ เมื่อก่อนเงินเดือนไม่กี่พันยังอยู่ได้เลย …แต่นั่นคือความน่ากลัวของเงินเฟ้อทุกวันนี้ เพราะที่ขึ้นเอาๆ นั่นคือรายจ่าย ส่วนรายได้น่ะไม่เคยขึ้นตามทันเลย และนี่ไม่ใช่ปัญหาที่พบแต่ในไทยเท่านั้นแต่เกิดขึ้นทั่วโลก

10. จากการศึกษาของหน่วยงานด้านแรงงานในสหรัฐพบว่าในช่วง 40 ปีระหว่างปี 1973-2013 ผลิตภาพแรงงาน (คือมูลค่าที่แรงงานผลิตได้) เติบโตขึ้น 74.4% แต่ค่าจ้างกลับเพิ่มขึ้นเพียง 9.2% และจากรายงานของเดอะนิวยอร์กไทมส์พบว่า คนรุ่นใหม่โดยเฉพาะคน Gen Z (โดยทั่วไปหมายถึงคนที่เกิดระหว่างปี 1995-2010) เป็นคนรุ่นที่มีการศึกษาดีที่สุด แต่กลับยากจนที่สุดเพราะค่าจ้างที่หักเงินเฟ้อน้อยนี่เอง

11. เงินเฟ้อเป็นปัจจัยที่ทำให้คน “อยู่ยาก” จากการศึกษาพบว่าคนอเมริกันรุ่นใหม่ถึง 53% ต้องทำงานมากกว่า 1 งานเพื่อเลี้ยงดูตัวเอง ซึ่งมากกว่าคนรุ่นอื่นๆ และราว 67% บอกว่าอาจไม่มีเงินเก็บในยามเกษียณเลย ศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์คนหนึ่งกล่าวว่า “พ่อแม่จำเป็นต้องรับรู้ว่าลูกๆ ของพวกเขานั้นกำลังเจอกับปัญหาอยู่”

12. อีกปัจจัยหนึ่งที่กระทบต่อสุขภาพการเงินของคนรุ่นใหม่คือเรื่องความเหลื่อมล้ำ ซึ่งการศึกษาขององค์การ OECD พบว่าชนชั้นกลางกำลังหดตัวลงทั่วโลก และคนรุ่นใหม่มีโอกาสในชีวิตน้อยกว่าคนรุ่นพ่อแม่

13. และเมื่อดูสัดส่วนการถือครองทรัพย์สินแล้วพบว่าในช่วงหลายสิบปีหลังทรัพย์สินได้ไหลไปอยู่ในมือคนรวยสุดมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งมีข้อมูลทั้งรายได้ของคนรวยสุด 1% รายได้ของผู้บริหารระดับสูงเทียบกับพนักงาน และรายได้ เหตุนี้ทำให้สัดส่วน “เค้ก” หรือรายได้ที่จะตกสู่คนกลุ่มอื่นๆ น้อยลงไปเรื่อยๆ นั่นเอง

14. ในเรื่องความเหลื่อมล้ำนี้ถามว่าจะมีอะไรช่วยให้คนรุ่นใหม่มีชีวิตดีขึ้นได้บ้าง? คำตอบคือมีครับ เพราะปัจจัยที่มีผลต่อสุขภาพทางการเงินของคนรุ่นใหม่มากที่สุดนั่นก็คือ “บ้านรวยหรือจน” นั่นเอง ซึ่งจากการศึกษาในประเทศเดนมาร์กซึ่งเป็นประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องรัฐสวัสดิการอยู่แล้ว ยังพบว่าผลลัพธ์ชีวิตที่ดีของลูกต้องอาศัยทรัพยากรของพ่อแม่ นั่นทำให้จริงๆ แล้วการเลื่อนฐานะแม้แต่ในประเทศรัฐสวัสดิการดีๆ ยังทำได้ยากกว่าที่คิด

15. ปิดท้ายด้วย “เคราะห์ซ้ำกรรมซัด” ของคนรุ่นใหม่ที่เผชิญกับความผันผวนของเหตุการณ์ในโลกไร้พรมแดนที่พวกเขาแทบควบคุมไม่ได้ ทั้งเหตุการณ์ 9/11, วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ โควิด สงครามและภัยพิบัติต่างๆ ในช่วงเหล่านี้ล้วนเกิดความไม่แน่นอนซึ่งส่งผลกระทบต่ออาชีพการงานด้วย หลายประเทศมีอัตราการว่างงานของเยาวชนสูงซึ่งเป็นผลมาจากการศึกษาไม่ตอบโจทย์ตลาดแรงงาน มีการคุ้มครองน้อยกว่าพนักงานที่อยู่มานาน (ถูกจ้างทีหลัง ถูกปลดก่อน) รวมทั้งอุปสรรคอื่นๆ ที่ทำให้การรับคนรุ่นใหม่เข้าทำงานน้อยกว่ากลุ่มอื่น
______________
*** ผลกระทบ ***

16. ปัญหาความยากลำบากทางการเงินของคนรุ่นใหม่ได้ส่งผลกระทบต่อชีวิตส่วนตัวในหลายด้าน การศึกษาในอังกฤษพบว่าผู้ตอบแบบสำรวจ 51% บอกว่ากังวลเรื่องเงินอยู่ตลอดเวลา เทียบกับคนวัย 55 ปีขึ้นไปที่มีความกังวล 25% ส่วนในสหรัฐมีการสำรวจพบคนรุ่นใหม่ราว 40% บอกว่าปัญหาเรื่องเงินเป็นที่มาของความเครียดอันดับต้นๆ และกว่า 70% ระบุว่าสถานะทางการเงินของตนไม่สู้ดี

17. นอกจากส่งผลต่อสุขภาพจิตแล้ว ยังมีผลต่อพฤติกรรมด้วย ในสังคมฝรั่งที่เราเห็นภาพลูกแยกออกไปอยู่คนเดียวสร้างครอบครัวตั้งแต่อายุยังน้อย ก็อยู่กับพ่อแม่นานขึ้นเพื่อลดค่ากินอยู่ ซึ่งมีตัวเลขว่าคน Gen Z ถึง 68% ยังอยู่กับพ่อแม่ในปี 2023 อีกทั้งการแต่งงานและการมีลูกก็ช้าลงตามไปด้วย

18. พฤติกรรมอย่างหนึ่งในชาวตะวันตกรุ่นใหม่นั่นคือการลงทุนด้วยความเสี่ยงสูงเพื่อหวังรวยเร็ว ซึ่งพบว่าคนรุ่นใหม่มีการลงทุนในสัญญาสิทธิล่วงหน้า (options) และคริปโตเคอร์เรนซีมากขึ้น …บางท่านก็คงจะทราบว่าสิ่งเหล่านี้เป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงกว่าหุ้น หลายคนซื้อตามกระแสเท่านั้นจนขาดทุนหรือแม้แต่หมดตัวก็มีเช่นกัน

19. และยังมีการใช้จ่ายแบบไม่เผื่ออนาคต หรือ “doom spending” ซึ่งเป็นการซื้อสิ่งของเพื่อมาสร้างความสุขให้กับตัวเองในปัจจุบัน แน่นอนว่าการทำเช่นนี้ไม่ใช่การเลือกที่ฉลาดเลย แต่ก็มีนักวิเคราะห์ออกมาบอกว่าสิ่งนี้เป็นการทำลงไปเพื่อปลอบใจตัวเอง เพราะมองว่าตัวเองมองไม่เห็นอนาคตที่จะมีบ้านของตัวเองเหมือนกับคนรุ่นก่อนๆ เลยเลือกมีความสุขในปัจจุบันดีกว่า

20. แต่ที่พีคสุดๆ คือ กระแส “ไป่ล่าน” (bai lan) หรือแปลว่า “ปล่อยให้เน่า” ในสังคมจีน ซึ่งนี่เป็นพฤติกรรมแบบ “ปล่อยจอย” อย่างแท้จริง ไม่น่าเชื่อว่าเกิดขึ้นในวัฒนธรรมจีนที่เชิดชูเรื่องความขยันอย่างที่เป็นแบบฉบับที่เราคุ้มเคยในตัวคนไทยเชื้อสายจีน

21. ท่ามกลางกระแสการว่างงานของเยาวชนและตลาดแรงงานที่แข่งขันสูงทำให้คนรุ่นใหม่ไม่น้อยถอดใจ และเลือกใช้ชีวิตไปวันๆ เพราะเบื่อหน่ายกับวัฒนธรรมการทำงานของจีนระบบ 9-9-6 (ทำงานวันละ 12 ชม. 6 วันต่อสัปดาห์) รวมถึงผลตอบแทนที่ไม่คุ้ม (ซึ่งสะท้อนถึงปัญหาการกดขี่ในที่ทำงาน) นั่นจึงทำให้พวกเขาเลือกมาอยู่แบบประหยัดและใช้ชีวิตไปวันๆ ทำสิ่งที่ตัวเองชอบและนอนหลับ พวกเขาถึงกับใช้สุภาษิตว่า “หมูตายไม่กลัวน้ำร้อน” ซึ่งสื่อถึงการปล่อยวางแบบสุดๆ ที่ส่งผลดีต่อสุขภาพจิตนั่นเอง
______________

ทั้งหมดนี้คือภาพรวมของปัญหาทางด้านการเงินที่กำลังรุมเร้าคนรุ่นใหม่อยู่นะครับ แน่นอนว่าโพสต์นี้ไม่ได้ปฏิเสธว่าคนที่ขี้เกียจงอมืองอเท้าจริงๆ ก็มี แต่ก็อย่าลืมว่ามีคนอีกไม่น้อยที่คิดดีกับชีวิตแต่ถูกปัจจัยแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวยกดดันจนหมดไฟและ “ปล่อยจอย” ก็มีอยู่เช่นกัน

…ปิดท้ายด้วยคำถามที่ว่าปัญหาเหล่านี้จะแก้ไขได้หรือไม่ อย่างไร? หรือสุดท้ายคำตอบจะเป็นการผลักให้เป็นเรื่องส่วนบุคคลอีกตามเคย? แต่ในเรื่องนี้ก็มีตัวอย่างออกมาแล้วว่าคนรุ่นใหม่ที่สิ้นหวังก็อาจจะเลือก “ปล่อยจอย” แบบนี้เพิ่มขึ้นอีกลามไปหลายๆ ประเทศ และต่อไปแนวทางของพวกเขาอาจจะไปไกลมากกว่านี้ ก็เป็นได้!

#TWCVariety #TWC_Cheeze