นับตั้งแต่มนุษย์เริ่มอยู่กันเป็นสังคมใหญ่ หลายสิ่งอย่างเริ่มถูกคิดประดิษฐ์ขึ้นไม่ว่าจะเป็นกฎเกณฑ์ต่าง ๆ เพื่อให้อยู่ร่วมกันได้อย่างมีมีระเบียบ หรือแม้กระทั่งวิทยาการต่าง ๆ มากมาย เกิดขึ้นเป็นปัจเจกเอกลักษณ์เฉพาะของชนกลุ่มนั้น ๆ จนหล่อหลอมคำภาพกว้างที่เรียกว่า “อารยธรรม” เกิดขึ้นในแถบถิ่นต่าง ๆ ทั่วโลก
เมื่อมีการอยู่ร่วมรวมกันเป็นกลุ่มก้อนใหญ่อย่างมีระบบวิถี สิ่งหนึ่งที่มนุษย์ขาดไปไม่ได้ คือความบันเทิงเริงรมย์ เมื่อความสนุกสนานเกิดขึ้นย่อมมีการละเล่น การกิน เฉลิมฉลอง และสิ่งที่เพิ่มอรรถรสในกิจกรรมเหล่านี้คือ “เครื่องดื่ม” ที่จะนำพาทุกคนไปอยู่ในบรรยากาศในแบบเดียวกัน
หากกล่าวถึงเครื่องดื่มในยุคสมัยโบราณก็อาจจะมีเครื่องที่มนุษย์คิดค้นขึ้นมามากมาย และหนึ่งในเครื่องดื่มที่ยังคงเป็นอมตะตลอดกาล และเดินทางมาสู่ยุคสมัยปัจจุบันนั่นคือ “เบียร์”
เบียร์เป็นหนึ่งในเครื่องดื่มที่เก่าแก่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ มีอายุย้อนกลับไปประมาณหลายพันปีก่อนคริสตกาล พูดได้ว่าเบียร์ไหลเวียนเกาะแน่นอยู่ใน DNA ของมนุษย์มาจนถึงทุกวันนี้
ย้อนกลับไปเมื่อ 4,000 ปีก่อนคริสตกาล ในยุคเมโสโปเตเมีย พบหลักฐานว่าชาวสุเมเรียนได้ทำพิธีสวดขอพรแด่เทพเจ้า Ninkasi เทพีแห่งเบียร์ ซึ่งบทสวดมีคำอธิบายเกี่ยวกับกระบวนการที่ชาวสุเมเรียนทำเบียร์
ต่อมาประมาณ 2600 ปีก่อนคริสตกาล ในยุคสมัยอารยธรรมอียิปต์เริ่มมีการทำเบียร์ และเบียร์ยังถูกใช้เป็นค่าตอบแทนแรงงานในยุคสมัยนั้น เบียร์อียิปต์ถูกอ้างว่าเป็น ‘เบียร์ชนิดแรก’ ในโลก เนื่องจากมีความคล้ายคลึงกับเบียร์สมัยใหม่มากกว่าสูตรก่อนหน้าของเมโสโปเตเมีย
ตามตำนานเทพเจ้าของอาณาจักรอียิปต์โบราณมีความเชื่อว่า “เทพโอ ซิริส” ได้จุติลงมาเป็นมนุษย์เพื่อสอนการทำเกษตร การเพาะปลูก สถาปัตยกรรมให้กับมนุษย์ ทั้งนี้ยังรวมไปถึงการทำเครื่องดื่มที่ชื่อว่า “เบียร์”
ชาวอียิปต์โบราณเชื่อว่า “เบียร์” สามารถรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้ ทั้งยังเป็นที่นิยมของทั้งผู้ใหญ่และเด็ก เพราะเบียร์ถือเป็นแหล่งสารอาหารไม่ใช่แค่ของมึนเมา
ราวปี ค.ศ.750 – 800 นักบวชในศาสนาคริสต์ ค้นพบวิธีการถนอมเบียร์ให้เก็บได้นานขึ้น ซึ่งก็คือการเติมฮอป (Hop) นอกจากจะช่วยให้เบียร์เก็บไว้ได้นานกว่าเดิมแล้ว ยังช่วยสร้างรสชาติให้เบียร์ดีขึ้นอีกด้วย เนื่องจากในช่วงนั้น นักบวชเหล่านี้ต้องบำเพ็ญเพียร เบียร์จึงเป็นแหล่งสารอาหารที่สำคัญ ที่สามารถเก็บไว้ได้นาน และทำให้ร่างกายอบอุ่นอีกด้วย
เมื่อมีการผลิตเบียร์มากขึ้น จึงทำให้เกิดสูตรที่หลากหลาย ทุกอย่างเริ่มเปลี่ยนไปเมื่อ วิลเฮล์มที่ 4 ดยุกแห่งบาวาเรีย (Wilhelm IV , Duke of Bavaria ) ได้ออกกฎหมายที่ชื่อว่า “Reinheitsgebot” (German Beer Purity Law) หรือ “กฎหมายแห่งความบริสุทธิ์” ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของการผลิตเบียร์ไปสู่ยุคใหม่ กฎหมายนี้เริ่มขึ้นในแคว้นบาวาเรีย เมื่อ ค.ศ. 1516 โดยได้ตั้งค่ามาตรฐานว่า เบียร์ที่ผลิตในเยอรมนีจะต้องทำจาก น้ำ ข้าวบาร์เลย์ที่เพิ่งงอกหรือมอลต์ และดอกฮอปส์ เท่านั้น
ในปี ค.ศ.1607 มีการนำเข้าเบียร์จากยุโรปมาเปิดร้านขายเบียร์ที่เมืองเจมส์ทาวน์ รัฐนิวพอร์ตเคาน์ตี ในสหรัฐอเมริกา เบียร์ได้รับความนิยมมากจนขาดตลาด เนื่องจากเบียร์บูดหรือถูกลูกเรือเปิดดื่มก่อนมาถึงแผ่นดินอเมริกา แต่ในช่วงหลังได้มีการซื้อข้าวบาร์เลย์จากยุโรปมาปลูกเพื่อผลิตเบียร์เอง
เบียร์พอร์ตเตอร์ เป็นชื่อเบียร์ที่ถูกใช้ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1721 เพื่ออธิบายถึงเบียร์สีน้ำตาลเข้มซึ่งเป็นที่นิยมในหมู่คนเฝ้าประตูข้างถนนในลอนดอน เบียร์ชนิดเดียวกันนี้ต่อมากลายเป็นที่รู้จักในชื่อ “สเตาต์และพอร์เตอร์” (Stout and porter) เป็นเบียร์ดำที่ทำโดยใช้มอลต์คั่วหรือข้าวบาร์เลย์คั่ว
ในปีค.ศ. 1765 การประดิษฐ์เครื่องจักรไอน้ำได้จุดประกายการปฏิวัติอุตสาหกรรม และทำให้กระบวนการผลิตเบียร์กลายเป็นอุตสาหกรรม นอกจากนี้การเปิดตัวเทอร์โมมิเตอร์และไฮโดรมิเตอร์ยังเป็นจุดเปลี่ยนของประวัติศาสตร์ของเบียร์ ที่จะกลายเป็นตัวช่วยในการเพิ่มประสิทธิภาพของการผลิตเบียร์
ในปี ค.ศ.1842 โรงเบียร์ชื่อ “Měšťanský pivovar” ตั้งอยู่ในเมืองพิลเซิน (Pilsen) ทางตะวันตกของโบฮีเมีย (ในปัจจุบันเป็นพื้นที่ของสาธารณรัฐเช็ก) ซึ่งได้ผลิตเบียร์พิลส์เนอร์ (Pilsener) เป็นเบียร์ลาเกอร์ชนิดหนึ่ง (lager) มีสีทอง ดูดีทันสมัยขึ้นเป็นครั้งแรก และกลายเป็นต้นแบบของเบียร์ลาเกอร์ในยุคต่อ ๆ มานั่นเอง
ในปี 1912 บริษัทเบียร์ Joseph Schlitz Brewing Company โรงเบียร์อเมริกันที่ตั้งอยู่ในเมืองมิลวอกี รัฐวิสคอนซิน ได้นำขวดสีน้ำตาลมาบรรจุเบียร์เป็นครั้งแรก ซึ่งนวัตกรรมนี้ได้รับการยอมรับทั่วโลกและสามารถป้องกันรังสีอันตรายจากการทำลายคุณภาพและรสชาติของเบียร์
ในปี 1920 ผู้ที่สนับสนุนการห้ามขายและผลิตสุราเป็นฝ่ายชนะการเลือกตั้ง จึงเกิดการตั้งกฎหมายห้ามขายและผลิตสุรา ทำให้การดื่มเบียร์เป็นสิ่งผิดกฎหมาย ช่วงนี้เป็นการเกิดขึ้นของเครื่องดื่มผสมที่เรียกว่า “ค๊อกเทล” แม้มันจะหายากแค่ไหนก็ตาม แต่นั่นยิ่งทำให้ความต้องการของคนที่จะดื่มมีมากยิ่งขึ้น มันทำให้ค๊อกเทลกลายเป็นเครื่องดื่มที่มีค่า มีราคาสูงตามไปด้วย แต่ก็ยังมีคนที่ต้องการจะดื่มและพร้อมที่จะจ่าย
แฟรงคลิน ดี. รูสเวลต์ ได้หาเสียงยกเลิกกฎหมายที่ห้ามดื่มหรือขายสุรา (Prohibition) เมื่อได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีสหรัฐ ในปี ค.ศ. 1932 เขาก็ทำตามสัญญาได้ลงนามแก้ไขกฎหมาย ในปี ค.ศ. 1933 อนุญาตให้ขายเบียร์ที่มีแอลกอฮอล์ไม่เกิน 4 เปอร์เซ็นต์ (ก่อนหน้านี้กำหนดไว้เพียง 0.5 เปอร์เซ็นต์) จากนั้นก็นำไปสู่รัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขครั้งที่ 21 ยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขครั้งที่ 18 ในวันที่ 5 ธันวาคม 1933 ถือเป็นครั้งแรกในสหรัฐที่มีการแก้ไขยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับเก่า
การต้มเบียร์อยู่ภายใต้กฎหมายและการเก็บภาษีมาเป็นเวลานับพันปี และตั้งแต่ช่วงปลายศตวรรษที่ 19 การเก็บภาษีได้จำกัดการผลิตเบียร์ไว้ จนกระทั่งรัฐบาลสหราชอาณาจักรผ่อนคลายกฎหมายในปี ค.ศ.1963 ตามมาด้วยออสเตรเลียในปี ค.ศ.1972 และสหรัฐอเมริกาในปี ค.ศ.1978 ทำให้การต้มเบียร์ที่บ้านกลายเป็นงานอดิเรกยอดนิยม
ในปี ค.ศ. 2001 เบียร์ถูกบรรจุจำหน่ายในกระป๋อง เป็นการป้องกันเบียร์จากแสง และไม่ให้เบียร์มีกลิ่นเหม็น นอกจากนี้ผู้คนเริ่มดื่มเบียร์จากกระป๋องหรือเทใส่แก้วเป็นต้นมา อย่างในสวีเดนเบียร์กว่า 63.9 % ถูกบรรจุขายในกระป๋องแทนขวดพลาสติก
ในปัจจุบันอุตสาหกรรมการผลิตเบียร์กลายเป็นธุรกิจระดับโลก ซึ่งแต่ละประเทศต่างผลิตเบียร์หลากหลายยี่ห้อของตัวเองออกมาสู่ท้องตลาดโลก การผลิตเบียร์ในยุคสมัยใหม่ได้มีการศึกษาวิจัย และพัฒนาไปอย่างก้าวกระโดดเพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภค
การจำแนกประเภทเบียร์ในปัจจุบันแบ่งได้หลายวิธี แต่หากแบ่งตามยีสต์ที่ใช้หมักจะแบ่งออกมาได้ 2 ประเภทใหญ่ ๆ ได้แก่ Lager Beer (เบียร์ลาเกอร์) และ Ale Beer (เบียร์เอล)
ลาเกอร์ (Lager) เป็นเบียร์ที่ผลิตโดยการใช้ยีสต์ประเภทหมักนอนก้น (bottom-fermentation yeast) ซึ่งกระบวนการหมักจะเกิดขึ้นบริเวณด้านล่างของถังหมักเบียร์ จึงนิยมเรียกการหมักแบบนี้ว่า เป็น Bottom -Fermentation นิยมใช้อุณหภูมิไม่เกิน 5 องศา หลังจากเสร็จกระบวนการหมักแล้ว ลาเกอร์จะถูกเก็บไว้ในห้องเย็นที่อุณหภูมิประมาณ 0 ถึง 32 องศาเซลเซียส เป็นเวลาหลายสัปดาห์ หรือ หลายเดือน ก่อนจะนำออกบริโภค
คำว่า “ลาเกอร์” นั้นเป็นภาษาเยอรมัน หมายถึง “การเก็บรักษา” เนื่องมาจากกระบวนการเก็บรักษาเบียร์ไว้ในที่เย็นจัดในระหว่างการหมักบ่มเป็นเวลาหลายเดือน ซึ่งวิธีนี้ทำให้ได้เบียร์ที่ไม่ขุ่น
เอล (Ale) เป็นเบียร์ที่เกิดจากการใช้ยีสต์ประเภทหมักลอยผิว (top-fermenting yeast) ซึ่งกระบวนการหมักจะเกิดขึ้นบริเวณด้านบนของถังหมักเบียร์ จึงนิยมเรียกการหมักแบบนี้ว่า เป็น Top-Fermentation และจะใช้อุณหภูมิอบอุ่นปานกลาง (ประมาณ 15-24 องศา เซลเซียส ซึ่งอุณหภูมิสูงกว่าการหมักเบียร์ลาเกอร์) เอลจะใช้เวลาหมักประมาณ 7-8 วัน (หรือน้อยกว่า) ซึ่งใช้เวลาน้อยกว่าลาเกอร์
การหมักเบียร์เอล เป็นสไตล์ที่นิยมสำหรับทำไว้ดื่มเองที่บ้าน หรือสำหรับโรงเบียร์ขนาดเล็ก ที่ไม่มีกำลังการผลิตสูง ประเภทของเบียร์เอลยังแตกแขนงไปได้อีกมากมาย
เอล (Ale) เป็นเบียร์ที่เกิดจากการใช้ยีสต์ประเภทหมักลอยผิว (top-fermenting yeast) ซึ่งกระบวนการหมักจะเกิดขึ้นบริเวณด้านบนของถังหมักเบียร์ จึงนิยมเรียกการหมักแบบนี้ว่า เป็น Top-Fermentation และจะใช้อุณหภูมิอบอุ่นปานกลาง (ประมาณ 15-24 องศา เซลเซียส ซึ่งอุณหภูมิสูงกว่าการหมักเบียร์ลาเกอร์) เอลจะใช้เวลาหมักประมาณ 7-8 วัน (หรือน้อยกว่า) ซึ่งใช้เวลาน้อยกว่าลาเกอร์
การหมักเบียร์เอล เป็นสไตล์ที่นิยมสำหรับทำไว้ดื่มเองที่บ้าน หรือสำหรับโรงเบียร์ขนาดเล็ก ที่ไม่มีกำลังการผลิตสูง ประเภทของเบียร์เอลยังแตกแขนงไปได้อีกมากมาย
ในปัจจุบันผู้คนเริ่มให้ความสนใจเบียร์รสชาติใหม่ ๆ และมักจะศึกษา ทดลอง หารสชาติที่ตอบโจทย์ และผลิตเบียร์ด้วยตัวเอง จึงทำให้เกิดคำว่า “คราฟต์เบียร์ (craft beer)”
คราฟเบียร์ คือการผลิตเบียร์โดยโฮมเมดรายเล็กที่ไม่ใช่อุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ผู้ผลิตต้องใช้ฝีมือความคิดสร้างสรรค์ในการปรุงรสเบียร์ให้มีความหลากหลายของรสชาติ และที่สำคัญต้องแต่งกลิ่นตามธรรมชาติ ห้ามใช้สารเคมีมาแต่งกลิ่นเด็ดขาด นอกจากนี้คราฟเบียร์ยังถูกจำแนกได้หลายประเภท เหมือนกับเบียร์จากอุตสาหกรรมเบียร์รายใหญ่
0 Comment