รู้ไหมครับว่าในซีรีส์ Tempest หนึ่งประเด็นที่เรียบง่าย แต่กลับตอบได้ยากที่สุด คือคำถามที่ว่า การรวมชาติเกาหลีจะเกิดขึ้นได้ด้วยสันติ…หรือด้วยสงคราม? **แอบสปอย**
ซอมุนจู (รับบทโดย จอนจีฮยอน) ภรรยาที่ก้าวเท้าเข้าสู่การเมืองแทนสามี เธอกลับต้องพบกับความจริงที่ว่า ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะทำให้ “สันติภาพ” เกิดขึ้นได้ง่ายๆ ในคาบสมุทรแห่งนี้
เมื่อสหรัฐอเมริกามีการค้นพบเรือดำน้ำที่พร้อมยิงขีปนาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ ทำให้พวกเขาพร้อมเปิดสงครามที่อาจสั้นสะเทือนอนาคตทั้งคาบสมุทรแห่งนี้ แต่จะมั่นใจได้อย่างไรล่ะว่าสหรัฐฯ เข้าใจถูกจริงๆ
เรื่องนี้อาจมีใครชักใยอยู่ที่ชักใยอยู่เบื้องหลัง เพราะสันติภาพของเกาหลีพร้อมพังทลายอย่างง่ายดาย คือสิ่งที่ซีรีส์กำลังพยายามภาพสะท้อนปัญหาของคาบสมุทรเกาหลีตลอดกว่า 76 ปี
แม้ว่าอุดมการณ์ทั้งสองชาติ และ ความบาดหมางทั้งในอดีตและปัจจุบัน จะทำให้ทั้งสองเกาหลีแตกต่างกันและพร้อมสู้รบกันแทบทุกเมื่อ แต่โดยรากลึกแล้วพวกเขาก็คือ “ชาวเกาหลี” ชาติมีประวัติศาสตร์ร่วมกันมายาวนานกว่าพันปี
คำถามคือแม้จะบาดหมางกันเพียงใด แต่ทำไมการ “รวมชาติ” ยกถูกหยิบยกมาพูดคุยอยู่หลายครั้ง?
ทำไมการรวมชาติถึงไม่เคยสำเร็จ ทั้งสองเกาหลีพยายามรวมชาติกันมากแค่ไหน? และปัจจุบันพวกเขาคิดอย่างไรเรื่องการรวมชาติเกาหลี ?
ร่วมย้อนประวัติศาสตร์และติดตามรับชมไปพร้อมกันครับ…
::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: :::
– สองเกาหลี
– การรวมชาติด้วยสงคราม
– การรวมชาติอย่างสันติ
– ยุคนโยบายแสงแดด
– ความฝันที่เลือนลาง
– คนเกาหลีปัจจุบันคิดอย่างไรกับการรวมชาติ
::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: :::
– สองเกาหลี
1. ย้อนกลับปี 1945 เมื่อจักรวรรดิญี่ปุ่นผู้ปกครองคาบสมุทรเกาหลียาวนานกว่า 35 ปี ประกาศยอมแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 นั่นคือห้วงเวลาที่ชาวเกาหลีต่างยินดีอย่างถึงที่สุด เพราะความฝันที่พวกเขาเฝ้ารอที่จะได้เห็นชาติเกาหลีกลับมามีเอกราชอีกครั้งกำลังจะเป็นจริง
แต่แทนที่จะได้ชาวเกาหลีจะได้ประเทศเอกราชอย่างที่ตนเองหวัง กลับกลายเป็นว่าพวกเขาต้องตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของมหาอำนาจ ที่จะส่งผลต่อชาติในคาบสมุทรแห่งนี้มาจนถึงปัจจุบัน
2. ในเวลานั้น ชาติผู้ชนะสงครามอย่างสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียต ต่างตกลงเข้ามาดูแลคาบสมุทรเกาหลีชั่วคราวระหว่างรอวันจัดตั้งรัฐบาลเกาหลีที่เป็นเอกภาพในอนาคต โดยพวกเขากำหนดให้ “เส้นขนานที่ 38” เป็นเส้นแบ่งการดูแล
3. กระบวนการสร้างชาติเกาหลีในช่วงแรกเริ่มต้นด้วยความประนีประนอม ผู้นำทางการเมืองเกาหลีในเวลานั้นพยายามร่างรัฐธรรมนูญและจัดตั้งคณะบริหารที่ประกอบด้วยทั้งฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา ซึ่งในช่วงแรกก็ดูเหมือนทุกอย่างจะไม่มีปัญหาอะไร
แต่ความพยายามนี้กลับไปต่อไม่ได้ เพราะทั้งสองฝ่ายตกลงกันไม่ได้ว่ารัฐบาลเกาหลีควรจะปกครองด้วยอุดมการณ์แบบ “คอมมิวนิสต์” หรือ “ประชาธิปไตย” กันแน่
4. และเมื่อโลกก้าวเข้าสู่ยุคสงครามเย็น คาบสมุทรเกาหลีก็พลันกลายเป็นเวทีเผชิญหน้าของสองอุดมการณ์ที่แตกต่างกันอย่างสุดขั้ว สหรัฐอเมริกาสนับสนุนให้ อี ซึง-มัน ก้าวขึ้นเป็นผู้นำภายใต้ระบอบประชาธิปไตย ขณะที่สหภาพโซเวียตก็หนุนหลัง คิม อิล-ซุง ให้นำเกาหลีไปสู่ระบอบคอมมิวนิสต์
5. ความขัดแย้งเชิงอุดมการณ์นี้ ทำให้ความพยายามสร้างชาติเกาหลีที่เป็นหนึ่งเดียวล้มเหลวลงในที่สุด และในปี 1948 คาบสมุทรเกาหลีก็ถูกประกาศแยกออกเป็นสองประเทศอย่างเป็นทางการ โดยทางใต้ตั้งประเทศในชื่อ “สาธารณรัฐเกาหลี” หรือเกาหลีใต้ ส่วนทางเหนือตั้งประเทศในชื่อ “สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี” หรือเกาหลีเหนือ
::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: :::
– การรวมชาติด้วยสงคราม
6. หลังจากทั้งสองประกาศตั้งประเทศใหม่ได้เพียงไม่นาน ความตึงเครียดระหว่างทั้งคู่ก็ยิ่งทวีขึ้นเรื่อยๆ เกาหลีเหนือภายใต้การนำของคิม อิล-ซุง มีเป้าหมายชัดเจนว่าจะ “รวมชาติด้วยกำลัง” เพราะได้รับการสนับสนุนอาวุธยุทโธปกรณ์จากสหภาพโซเวียตเต็มที่
เมื่อเห็นว่ากำลังของพวกเขาเหนือกว่าเกาหลีใต้มากแล้ว คิม อิล-ซุง จึงใช้ไพ่ต่อนี้ เปิดฉากบุกข้ามเส้นขนานที่ 38 ในเดือนมิถุนายน 1950 กองทัพเกาหลีเหนือสามารถรุกคืบอย่างรวดเร็ว จนยึดกรุงโซลได้ในเวลาเพียงไม่กี่วัน
7. กองทัพเกาหลีใต้ซึ่งกำลังน้อยกว่าและขาดอาวุธหนักไว้ต่อกรกับรถถังโซเวียต ไม่อาจต้านทานการรุกอย่างรวดเร็วของกองทัพเกาหลีเหนือได้ จึงต้องล่าถอยลงใต้ไปเรื่อยๆ จนเหลือเพียงเมืองปูซานเท่านั้นที่เป็นปราการสุดท้าย เมื่อเห็นว่าเกาหลีใต้กำลังจะพ่ายแพ้ทำให้สหรัฐอเมริกาฯ และองค์การสหประชาชาติตัดสินใจเข้ามาแทรกแซงสงครามครั้งนี้ทันที
8. ผลคือกองกำลังสหรัฐฯ และสหประชาชาติ สามารถตีโต้กลับเกาหลีเหนือไปถึงชายแดนจีนได้สำเร็จ ทว่าเมื่อกองกำลังสหประชาชาติรุกขึ้นไปจนถึงแม่น้ำยาลู่ซึ่งติดกับพรมแดนจีน ฝ่ายจีนมองว่านี่คือภัยคุกคามโดยตรงต่อความมั่นคงของตน จึงตัดสินใจส่งทหารนับแสนคนเข้าสู่สมรภูมิ
ผลคือสมดุลของสงครามเปลี่ยนไปอีกครั้ง กองกำลังฝ่ายสหรัฐฯ และสหประชาชาติต้องถอยร่นลงมาทางใต้ และสงครามก็เข้าสู่ภาวะยืดเยื้อ ผลัดกันรุกและรับไปมาอยู่อย่างนั้น
9. ตลอดเวลา 3 ปีของการสู้รบ สงครามเกาหลีสร้างความสูญเสียอย่างมหาศาล โดยที่เมื่อไม่มีฝ่ายใดสามารถเอาชนะได้อย่างเด็ดขาด จนในที่สุดทั้งสองฝ่ายก็ได้เห็นพ้องกันที่หยุดยิงเป็นการชั่วคราว ในวันที่ 27 กรกฎาคม 1953 โดยลงนามใน “ความตกลงสงบศึกเกาหลี” ซึ่งกำหนดเส้นแบ่งเขตแดนทางทหารใหม่บริเวณเส้นขนานที่ 38 และสร้าง “เขตปลอดทหารเกาหลี” หรือ DMZ ขึ้นเป็นแนวกันชน
10. แม้สงครามจะสงบลง แต่เพราะไม่เคยมีการลงนามใน “สัญญาสันติภาพ” อย่างเป็นทางการ เกาหลีเหนือและเกาหลีใต้จึงยังคงอยู่ในสถานะสงครามที่ “ยังไม่สิ้นสุด” จนถึงทุกวันนี้และกลายเป็นเงื่อนไขสำคัญที่ทำให้การรวมชาติเกาหลียังเกิดขึ้นได้ยาก
::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: :::
– การรวมชาติอย่างสันติ
11. ด้วยไฟสงครามที่พึ่งจบลง ทำให้ประเด็นการรวมชาติถูกซุกไว้ใต้พรมยาวนานกว่า 20 ปี แทบไม่มีความพยายามเจรจารวมชาติในช่วงนี้เลย (มีบ้างแต่ไม่เป็นชิ้นเป็นอันเลย)
12. เวลาล่วงเลย จนเข้าสู่ทศวรรษ 1970 เมื่อสถานการณ์สงครามเย็นเริ่มผ่อนคลายลง ทำให้ทั้งสองเกาหลีได้เริ่มหันมาปรับปรุงความสัมพันธ์กันอย่างลับๆ จนนำไปสู่แถลงการณ์ร่วมเพื่อการรวมชาติ ในปี 1972 หลักการสำคัญของแถลงการณ์ครั้งนี้คือ การรวมชาติต้องปราศจากการแทรกแซงจากต่างชาติ ทำโดยสันติ และสร้างเอกภาพชาติเหนือความแตกต่างด้านอุดมการณ์และระบบการเมือง
13. แม้ดูเหมือนสถานการณ์ของทั้งสองจะดีขึ้นบ้าง แต่ในความเป็นจริงแล้ว ความร่วมมือครั้งนี้กลับล้มเหลวลงอย่างไม่เป็นท่า เพราะคณะกรรมร่วมของสองประเทศที่ถูกตั้งขึ้นถูกยุบในปีถัดมาโดยไม่มีผลงานใดที่จับต้องได้เลย
สาเหตุสำคัญเกิดจากความไม่ไว้ใจกันที่ยังฝังลึกอยู่ในผู้นำทั้งสองฝ่าย โดยเกาหลีใต้ภายใต้รัฐบาลพัก จ็อง-ฮี ยังคงยึดแนวทางแข็งกร้าวต่อต้านคอมมิวนิสต์อย่างหนัก ขณะที่ผู้นำเกาหลีเหนือก็ยังไม่พร้อมประนีประนอมจริงจัง จึงทำให้แถลงการณ์ฉบับล้มเหลวในที่สุด
14. ปลายทศวรรษ 1980 สถานการณ์เกาหลีได้เริ่มเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง เพราะเกาหลีใต้กำลังเดินหน้าสู่ประชาธิปไตยเต็มใบหลังการลุกฮือที่กวางจู ขณะที่เกาหลีเหนือก็ต้องการ การยอมรับมากขึ้นในเวทีนานาชาติ ทำให้ทั้งสองฝ่ายเริ่มกลับหันมาการเจรจากันอีกครั้ง
15. ในปี 1991 ทั้งสองฝ่ายได้ลงนามใน “ความตกลงว่าด้วยการประนีประนอมและไม่รุกรานระหว่างกัน”ทั้งยังประกาศว่าจะยุติความเป็นศัตรูระหว่างสองเกาหลีและหันมาร่วมมือกัน โดยทั้งสองตั้งเป้าที่จะเปลี่ยนข้อตกลงสงบศึกปี 1953 ให้กลายเป็นสนธิสัญญาสันติภาพถาวรให้สำเร็จ
ประเด็นที่สำคัญที่สุดคือ เกาหลีเหนือและใต้ลงนามใน “แถลงการณ์ว่าด้วยการปลอดอาวุธนิวเคลียร์บนคาบสมุทรเกาหลี” โดยเกาหลีเหนือให้คำมั่นว่าจะไม่ผลิตหรือครอบครองอาวุธนิวเคลียร์อีกด้วย
16. แต่!! ในปี 1993 เกาหลีเหนือกลับปฏิเสธการตรวจสอบโรงงานนิวเคลียร์ตามที่ตกลงไว้ และประกาศถอนตัวจากสนธิสัญญาไม่แพร่ขยายนิวเคลียร์เสียอย่างนั้น ส่งผลให้การเจรจาทั้งหมดล้มเหลวลง นอกจากนี้แผนการจัดประชุมสุดยอดครั้งแรกระหว่างผู้นำเกาหลีเหนือ (คิม อิล-ซุง) กับประธานาธิบดีเกาหลีใต้ (คิม ย็อง-ซัม) กลับต้องยกเลิกกะทันหันเนื่องจากผู้นำเกาหลีเหนือ ถึงแก่อสัญกรรมลงก่อน ทำให้แผนการรวมชาติล้มเหลวอีกครั้ง
::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: :::
– ยุคนโยบายแสงแดด
17. เกาหลีใต้เริ่มความพยายามรวมชาติเกาหลีอีกครั้งในปลายทศวรรษ 1990 ภายใต้การนำของประธานาธิบดี คิม แด-จุง เขาเชื่อว่า “ยิ่งปิดกั้น เกาหลีเหนือก็ยิ่งแข็งกร้าว” ทางออกที่ดีกว่าคือการเปิดพื้นที่ให้พูดคุยและร่วมมือแทน นโยบายนี้ถูกตั้งชื่อว่า “นโยบายแสงแดด” (Sunshine Policy)
18. ภายใต้นโยบายนี้ เกาหลีใต้เริ่มส่งความช่วยเหลือด้านอาหารและพลังงานให้เกาหลีเหนือ จัดโครงการท่องเที่ยวที่ภูเขาคุมกังซึ่งอยู่บริเวณชายแดน และเปิดทางการค้าข้ามพรมแดน จนนำไปสู่เหตุการณ์ครั้งประวัติศาสตร์ในปี 2000 เมื่อคิม แดจุง ประธานาธิบดีเกาหลีใต้เดินทางไปเปียงยาง พบกับ คิม จองอิล ผู้นำเกาหลีเหนือ นับเป็นครั้งแรกที่ผู้นำสูงสุดของสองเกาหลีจับมือกันหลังสงครามเกาหลี
ทั้งสองลงนาม “ปฏิญญาร่วม 15 มิถุนายน” เพื่อยืนยันว่าทั้งสองชาติจะหาทางรวมชาติกันอย่างสันติ และยอมรับว่าข้อเสนอ “สมาพันธรัฐ” ของเกาหลีเหนือ กับแนวคิด “รัฐร่วมกัน” ของเกาหลีใต้ มีความคล้ายคลึงกัน และมีความเป็นไปได้
(สมาพันธรัฐของเกาหลีเหนือคือให้สองรัฐมีรัฐบาลของตัวเองแต่รวมเป็นชื่อเดียว ส่วน “รัฐร่วมกัน” ของเกาหลีใต้คือการคงรัฐบาลแยกกันแต่สร้างสภาร่วม)
19. การพบกันครั้งนั้นสร้างความหวังให้ประชาชนทั้งสองเกาหลีมาก เพราะประชาชนเกาหลีจากสองฝั่งได้มีโอกาสพบครอบครัวที่พลัดพรากกันเสียที ที่เป็นภาพจำที่สุดคือ นักกีฬาจากสองเกาหลีเดินพาเหรดร่วมกันภายใต้ธงรวมชาติในการแข่งขันโอลิมปิกซิดนีย์ปี 2000 อีกด้วย
20. แต่ท้ายที่สุดแล้ว ความหวังกลับดับลงอีกครั้ง เพราะโครงการนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือทำให้ฝ่ายเกาหลีใต้และนานาชาติยังคงสร้างความระแวงอยู่ไม่ตก และเมื่อเกาหลีใต้เปลี่ยนผู้นำเป็นรัฐบาลสายอนุรักษ์นิยม ทำให้ความช่วยเหลือแบบไม่มีเงื่อนไขให้เกาหลีเหนือถูกยกเลิกทันที ทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองขาดสะบั้นลงอีกครั้ง
::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: :::
– ความฝันที่เลือนลาง
21. ความพยายามรวมชาติยังคงเกิดขึ้นและล้มเหลวอีกหลายครั้งมาก สาเหตุมาจากทั้งเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้เอง เช่น การประชุมสุดยอดครั้งที่สองในปี 2007 แม้การประชุมนำไปสู่ “ปฏิญญา 4 ตุลาคม” ที่ประกาศจะลดความตึงเครียดทางทหารและขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศ
แต่ไม่นานเกาหลีใต้ก็ได้เปลี่ยนรัฐบาลเป็นสายอนุรักษนิยมซึ่งมีนโยบายแข็งกร้าว ทำให้ข้อตกลงดังกล่าวไม่ถูกสานต่อ และความสัมพันธ์ระหว่างสองเกาหลีกลับเข้าสู่ภาวะตึงเครียดอีกครั้งซ้ำแล้วซ้ำเล่า
22. จุดที่สร้างความหวังครั้งใหญ่ที่สุดเกิดขึ้นในปี 2018 เมื่อประธานาธิบดี มุน แจอิน ของเกาหลีใต้พบกับ คิม จองอึน หลายต่อหลายครั้ง ทั้งที่หมู่บ้านปันมุนจอมซึ่งเป็นเส้นแบ่งระหว่างสองเกาหลี และที่อื่นๆ การพบกันเหล่านี้นำไปสู่การลงนาม “ปฏิญญาปันมุนจอม” ซึ่งทั้งสองประกาศเจตนารมณ์ร่วมที่จะยุติสถานะสงครามอันยาวนาน และมุ่งหน้าสร้างคาบสมุทรเกาหลีที่ปราศจากอาวุธนิวเคลียร์
23. แต่ท้ายที่สุดก็ล้มเหลวเหมือนดั่งที่ผ่านมา เพราะเกาหลีเหนือถือว่าโครงการนิวเคลียร์เป็นความมั่นคงของชาติที่ล้มเลิกไม่ได้เด็ดขาด ขณะที่สหรัฐอเมริกาก็ยืนกรานจะไม่ยกเลิกการคว่ำบาตร ตราบใดที่เกาหลีเหนือยังคงไม่ยอมปลดอาวุธนิวเคลียร์อย่างจริงจัง
และด้วยการเจรจาระหว่างคิม จองอึน และประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่กรุงฮานอยในปี 2019 จบลงโดยไร้ข้อสรุป ทำให้กระบวนการสันติภาพที่ได้วางแผนไว้ต้องหยุดชะงักลง
24. จนกระทั่งต้นปี 2024 ที่ผ่านมา เกาหลีเหนือก็ได้ส่งสัญญาณครั้งสำคัญ เมื่อพวกเขาแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยการลบถ้อยคำที่เกี่ยวกับ “การรวมชาติ” ออกไปทั้งหมด พร้อมประกาศอย่างเป็นทางการว่าเกาหลีใต้คือ “ศัตรู” ของชาติ
นอกจากนี้ เกาหลีเหนือยังได้ ตัดการติดต่อสื่อสารระหว่างสองประเทศ ไม่ว่าจะเป็นสายด่วนทางทหาร, สายด่วนฉุกเฉิน, หรือแม้กระทั่งสายโทรศัพท์ประสานงานประจำวัน ที่เคยเปิดใช้มาตั้งแต่ทศวรรษ 1970 เพื่อป้องกันความขัดแย้งไม่ให้บานปลาย
การกระทำเหล่านี้ยิ่งตอกย้ำว่าเกาหลีเหนือไม่ต้องการพูดถึงความร่วมมือหรือการปรองดองอีกต่อไป ทำให้ความฝันเรื่องการรวมเกาหลีที่ดำเนินมากว่า 70 ปี ดูเลือนลางมาก และดูเป็นไปไม่ได้เลยในเวลาอันใกล้นี้…
::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: :::
– คนเกาหลีปัจจุบันคิดอย่างไรกับการรวมชาติ
25. หากเป็นคนเกาหลีช่วงยุคก่อน เราคงตอบได้ไม่ยากเลยว่าชาวเกาหลีแทบทุกคน “อยากรวมชาติอย่างแน่นอน” เพราะทั้งสองเกาหลียังมีสายใยทางครอบครัวที่พลัดพรากจากสงคราม ความเป็นชาติเกาหลีเดียวที่ยังคงเข้มข้น และความแตกต่างทางเศรษฐกิจที่ยังไม่ห่างไกลกันมากนัก
26. แต่เกาหลีในปัจจุบัน เด็กและเยาวชนเกาหลีใต้ พวกเขาเริ่มมีทัศนคติที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด โดยจากการสำรวจในปี 2023 ในกลุ่มนักเรียนอายุ 6–18 ปี จำนวนกว่า 73,000 คน พบว่ามีถึง 38.9% ที่ตอบว่า “การรวมชาติไม่จำเป็น” ( ตอบ “จำเป็น” อยู่ 49.8% ที่เหลือตอบว่า “ไม่ได้สนใจ” )
ตัวเลขนี้เพิ่มขึ้นต่อเนื่องจาก 24.2% ในปี 2020, 25% ในปี 2021 และ 31.7% ในปี 2022 แสดงให้เห็นว่า ยิ่งเวลาผ่านไป เด็กและเยาวชนในเกาหลีใต้ยิ่งมองว่าการรวมชาติเกาหลี “ไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไป”
27. ในขณะคนเกาหลีใต้วัยผู้ใหญ่ ยังคงมีความเชื่อว่าการรวมชาติเป็นสิ่งจำเป็นอยู่ โดยผลสำรวจล่าสุดในปี 2025 พบว่า 52.9% ยังเห็นว่าเกาหลีควรรวมประเทศเป็นชาติเดียวกัน ด้วยเหตุผลด้านความมั่นคงและผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้นในระยะยาว ก็เพราะเกาหลีเหนือยังมีทรัพยากรที่ยังไม่ถูกนำมาใช้อยู่มาก แม้พวกเขารู้ว่าการรวมชาติอาจสร้างภาระมหาศาลในช่วงแรก แต่ก็ยังมองว่าการรวมชาติควรเกิดขึ้นอยูดี
28. ในส่วนชาวเกาหลีใต้ที่มีอายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป พวกเขามีแนวโน้มสนับสนุนการรวมชาติอย่างถึงที่สุด เพราะคนสูงอายุชาวเกาหลีใต้บางส่วนยังมีความทรงจำจากสงครามเกาหลีอยู่ หรือไม่พวกเขาก็ใช้ชีวิตในช่วงคาบเกี่ยวกับห้วงสถานการณ์ที่ทำให้ผูกพันกับเรื่องรวมชาติอยู่มาก
อีกทั้งชาวเกาหลีใต้ที่มีอายุมากบางส่วน พวกเขายังรับรู้ถึงเรื่องราวญาติพี่น้องที่ถูกพรากไปจากสงคราม ความรู้สึกผูกพันทางสายเลือดยังคงชัดเจน จึงทำให้คนรุ่นนี้มองว่าการรวมชาติเป็นสิ่งที่ควรจะเกิดขึ้น..
29. ในส่วนของชาวเกาหลีเหนือ แม้เราจะรับรู้เรื่องราวของพวกเขาได้น้อยมากว่าแท้จริงแล้วพวกเขาคิดอย่างไรกันแน่ แต่บทความที่เราหาได้ในปี 2018 ระบุไว้ว่า ในบรรดาชาวเกาหลีเหนือ 36 คน ที่ให้ข้อมูลมีกว่า 34 คน หรือคิดเป็นกว่า 94% คิดว่าการรวมชาติเป็น ‘สิ่งจำเป็น’
30. เมื่อ “การรวมชาติ” ยังคงเป็นประเด็นที่ชาวเกาหลียังใฝ่หา ทำให้นักการเมืองเกาหลีใต้ยังคงกำหนดนโยบายรวมชาติเกาหลีไว้ในการหาเสียงอย่างต่อเนื่อง แต่จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อนักการเมืองผู้ผลักดันการรวมชาติแบบสันติถูกลอบสังหารอย่างลึกลับ?
กลับมาที่เรื่องราวในซีรีส์ Tempest ท่ามกลางเงื่อนงำมากมาย ซอมุนจู (รับบทโดย จอนจีฮยอน) ภรรยาของนักการเมืองผู้นั้นกลับตัดสินใจที่ลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีแทนสามีเพื่อสืบหาความจริง
แต่เมื่อเธอยิ่งสืบลึกลงไป ความจริงกลับยิ่งทำให้เธอตกอยู่ในอันตรายในแทบทุกย่างก้าว เพราะนี่แค่เรื่องความแค้นส่วนตัว แต่นี่คือความจริงที่มีคาบเกาหลีเป็นเดิมพัน
เธอจะเอาชีวิตรอดจากเกมการเมืองที่เดิมพันด้วยเลือดครั้งนี้ได้อย่างไร? และปริศนาทั้งหมดจะนำไปสู่เหตุการณ์ที่จะสั่นสะเทือนทั้งคาบสมุทรเกาหลีและการเมืองระหว่างประเทศหรือไม่?
ติดตามซีรีส์เกาหลีฟอร์มยักษ์เรื่อง Tempest ได้ที่ Disney+ Hotstar ได้เลยครับ ส่วนตัวดูแล้ว เนื้อเรื่องสนุกและเข้มข้นมาก โดยเฉพาะฉากแอคชั่นในซีรีส์เรื่องนี้ระดับหนังนานาชาติชัดๆ เป็นหนึ่งซีรีส์ที่ทุกท่านไม่ควรพลาดในปีนี้เลย …
Tempest สตรีมครบทุกตอนได้ที่ Disney+ Hotstar มีทั้งหมด 9 ตอนพร้อมพากย์ไทย
#Tempest #DisneyPlusHotstarTH #TWCHistory
0 Comment