“ในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2022 ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ได้ต่อสายหารือกับประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูติน เพื่อหาข้อยุติความขัดแย้ง” อย่างไรก็ตามทั้งสองฝ่ายกลับยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงทางการทูตได้ ส่งผลให้การเสริมกำลังบริเวณชายแดนยังดำเนินต่อไป

ณ ปัจจุบันประเทศต่างๆ ได้ออกประกาศเตือนพลเรือนของตนให้อพยพจากยูเครนอย่างรวดเร็วที่สุด หลังจากกองทัพรัสเซียทำการระดมกำลังทหารกว่า 130,000 นาย พร้อมด้วยยุทโธปกรณ์หนักจำนวนมหาศาล มาประจำการบริเวณชายแดนยูเครนและเบลารุส ทำให้หลายฝ่ายแสดงความวิตกว่า “ความขัดแย้งอาจขยายตัวเป็นสงคราม?”

นี่ไม่ใช่การแสดงแสนยานุภาพครั้งแรกของรัสเซียที่ถือไพ่เหนือกว่ายูเครนในวิกฤตความขัดแย้งทุกครั้ง อย่างไรก็็ตามหลายฝ่ายเริ่มแสดงท่าทีวิตกว่าสิ้งที่กำลังเกิดขึ้น “อาจกลายเป็นสัญญาณเตือนสุดท้าย ก่อนที่ยูเครนจะกลายเป็นสนามรบแห่งใหม่บนแผ่นดินยุโรปในศตวรรษที่ 21?”

สัญญาณของสงครามครั้งใหม่?

ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนกลายเป็นประเด็นที่ทุกฝ่ายต่างจับตามอง เมื่อผู้นำรัสเซียสั่งระดมกำลังทหารกว่า 1 แสนนาย พร้อมด้วยยุทโธปรณ์หนักต่างๆ ทั้ง รถถัง, ขีปนาวุธพิสัยใกล้, อากาศยานทางทหารต่างๆ, และกองเรือจำนวนมาก เข้าประชิดชายแดนฝั่งตะวันออกของยูเครน

โดยให้เหตุผลว่าพวกเขาจำเป็นต้องปกป้องอธิปไตยของชาติ จากการขยายอำนาจของชาติตะวันตก

เพื่อตอบคำถามในประเด็นดังกล่าว… เราจำเป็นต้องเข้าแนวคิดการวางนโยบายด้านความมั่นคงและความกังวลของรัสเซียที่นำไปสู่การแสดงท่าทีแข็งกร้าวบนเวทีระหว่างประเทศ

สรุปง่ายๆ คือพวกเขาเห็นการขยายตัวอย่างรวดเร็วขององค์การนาโต้ ซึ่งใช้เวลาเพียง 3 ทศวรรษในการจูงใจให้กลุ่มประเทศยุโรปตะวันออกที่เคยตกอยู่ใต้อำนาจของสหภาพโซเวียตมาเข้ากับตน จนชาติยุโรปตะวันออกมากถึง 14 ประเทศ ต่างหันไปสวามิภักดิ์ฝ่ายตะวันตก

การขยายตัวอย่างรวดเร็วนี้ กลายเป็นความกังวลว่ารัสเซียกำลังถูกปิดล้อมทางภูมิศาสตร์ และถ้าหากพวกเขายอมให้ยูเครนดำเนินความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับตะวันตกอยู่อย่างนี้ วันหนึ่งพวกเขาจะไม่เหลือแนวป้องกันด้านภูมิรัฐศาสตร์อีกเลย

ส่งผลให้นโยบายการต่างประเทศของรัสเซียต่ออดีตชาติสมาชิกโซเวียตในยุคหลัง (คือยุคปูติน) นั้น ดำเนินไปอย่างเเข็งกร้าว ตัวอย่างซึ่งชัดเจนที่สุดคือ การทำสงครามกับจอร์เจียเมื่อปี 2008 ซึ่งจบลงด้วยชัยชนะของกองทัพรัสเซียในเวลาเพียง 5 วันเท่านั้น!

บทเรียนจากจอร์เจียถึงยูเครน

โดยก่อนหน้านั้นในปี 2008 ประธานาธิบดีปูตินได้ออกโรงเตือนผู้แทนของชาตินาโต้ ระหว่างการประชุมในกรุงบูคาเรสต์ว่า “การเสนอสถานะสมาชิกนาโต้ให้แก่จอร์เจียคือการคุกคามรัสเซียโดยตรง”

ต่อมาเกิดเหตุอากาศยานไร้คนบังคับของจอร์เจียถูกยิงตกเหนือน่านฟ้าอับคาเซีย ซึ่งเป็นบริเวณข้อพิพาทระหว่างกองทัพรัฐบาลและฝ่ายกบฎ

รายงานของรัสเซียระบุว่า ทางจอร์เจียดำเนินการเสริมกำลังทหารกว่า 1,500 นายใกล้กับพื้นที่ความขัดแย้ง ส่งผลให้รัสเซียตัดสินใจเพิ่มกำลังของเจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพกว่า 2,500 นายเพื่อควบคุมสถานการณ์ อย่างไรก็ตามความขัดแย้งระหว่างทั้งสองฝ่ายกลับมิได้ลดความตึงเครียดลงแม้แต่น้อย

จากนั้นกองทัพฝ่ายกบฏและรัฐบาลต่างเปิดฉากการต่อสู้อยู่เป็นระยะ จนกระทั่งเกิดเหตุกองทัพจอร์เจียส่งกำลังเข้ารุกรานพื้นที่ของฝ่ายเซาท์ออสซีเตีย เพื่อตอบโต้การโจมตีที่ออกมาจากจุดนั้น แต่การปะทะกลับขยายความรุนแรงขึ้นจนมีเจ้าหน้าที่ของฝ่ายรักษาสันติภาพชาวรัสเซียเสียชีวิตจากการสู้รบ

เหตุการณ์ดังกล่าวกลายเป็นความชอบธรรมให้กับรัสเซียในการส่งกำลังเข้าควมคุมบริเวณข้อพิพาทและกดดันให้จอร์เจียถอนกำลัง แน่นอนว่าฝ่ายจอร์เจียนั้นปฏิเสธ ส่งผลให้ผู้นำรัสเซียประกาศสงครามในทันที และใช้กองทัพที่มีศักยภาพมากกว่า บุกเข้าบดขยี้ที่มั่นตามเมืองต่างๆ ของจอร์เจียจนพังพินาศในเวลาสั้นๆ

แม้ว่าฝ่ายจอร์เจียจะทำการสู้รบอย่างสุดความสามารถ แต่พวกเขาก็กลายเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในเวลาเพียงไม่กี่วัน ขณะที่ฝ่ายตะวันตกผู้เป็นความหวังในการคานอำนาจกับรัสเซีย สามารถทำได้เพียงรับบทเป็นไกล่เกลี่ยเจรจาเมื่อสงครามยุติลง

ความสำเร็จดังกล่าวกลายมาเป็นพื้นฐานของนโยบายการต่างประเทศของรัสเซียที่พร้อมจะใช้มาตรการแข็งกร้าว เพื่อกดดันอดีตประเทศสมาชิกโซเวียตใดๆ ซึ่งพยายามตีตัวออกห่าง เพราะพวกเขาเชื่อว่า “วิธีโหดๆ คือวิธีการเดียวที่จะปกป้องอธิปไตยของตนเองเอาไว้ได้”

ความสำคัญของยูเครน

เป็นที่ทราบกันดีว่ายูเครนนั้นเป็นประเทศซึ่งมีแผ่นดินกว้างใหญ่ไพศาลและอุดมไปด้วยทรัพยากรที่สำคัญทั้งผลผลิตจากสินค้ากสิกรรมอาทิ น้ำมันดอกทานตะวัน, ข้าวสาลี, และน้ำตาล ทางภาคตะวันตก นอกจากนั้นยังมีโรงงานอุตสาหกกรรมหนักเช่น โรงถลุงเหล็กกล้า, โรงงานผลิตอาวุธสงคราม, อู่ต่อเรือ ฯลฯ อันเป็นมรดกตกทอดจากสมัยสหภาพโซเวียต รวมถึงเป็นทางผ่านของท่อก๊าซธรรมชาติสำคัญ

อย่างไรก็ตามความสำคัญสูงสุดของดินแดนแห่งนี้คือเป็น “จุดยุทธศาสตร์ป้องกันการปิดล้อมของตะวันตก” ซึ่งกำลังกระชับพื้นที่เข้ามาถึงกลุ่มประเทศบอลติก (ที่ก่อนหน้านี้โซเวียตก็เคยใช้กำลังผนวกมา แต่เสียไป) นอกจากนี้แหลมไครเมียยังเป็นหนึ่งในที่ตั้งฐานทัพเรือของกองเรือทะเลดำ ซึ่งดูแลพื้นที่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนเพื่อสนับสนุนปฏิบัติการของรัสเซียในตะวันออกกกลางอีกด้วย

ดังนั้นรัสเซียจึงต้องดำเนินยุทธศาสตร์ต่างๆ เพื่อรักษาความได้เปรียบทางภูมิรัฐศาสตร์ดังกล่าวเอาไว้ ไม่ว่าจะด้วยการช่วยเหลือผูกมิตรเหมือนในช่วงรัฐบาลของประธานาธิบดี วิกเตอร์ ยานูโควิช หรือการแทรกแซงด้วยกำลังทหารที่เกิดขึ้นหลังการปฏิวัติยูโรไมดาน เพื่อกดดันไม่ให้ยูเครนดำเนินความสัมพันธ์ใกล้กับตะวันตกจนกลายเป็นภัยคุกคามต่อตน

การตอบโต้ของรัสเซียที่ผ่านมา

((( การผนวกไครเมีย (2014) )))

ท่ามกลางวิกฤตทางการเมืองในปี 2014 ประธานาธิบดีปูตินได้ออกคำสั่งให้กองทัพรัสเซียยกกำลังเข้าควบคุมแหลมไครเมีย ซึ่งเป็นที่ตั้งของฐานทัพเรือทะเลดำซึ่งรัสเซียทำการเช่าพื้นที่ไว้เป็นเวลา 25 ปีในสมัยของประธานาธิบดี วิกเตอร์ ยานูโควิช

ครั้งนั้นรัสเซียอาศัยจังหวะที่รัฐบาลกลางของยูเครนกำลังอ่อนแอ บวกกับความนิยมรัสเซียของประชาชนในพื้นที่ ทำให้สามารถส่งหน่วยปฏิบัติการพิเศษเข้ายึดครองสถานที่ต่างๆ อาทิสนามบิน, รัฐสภา, และสถานที่สำคัญอื่นๆ ในเมืองซิมเฟโรโพล หรือเมืองหลวงของไครเมีย โดยไม่มีการต่อต้านใดๆ กองทัพยูเครนในไครเมียนั้นยังแปรพักต์ไปอยู่กับฝ่ายรัสเซียกันไม่น้อย

จากนั้นรัสเซียก็ผลักดันกระบวนการลงประชามติหาข้อสรุปในพื้นที่พิพาทในเดือนมีนาคม 2014 โดยมีชาวไครเมียเทคะแนนสนับสนุนการเข้าร่วมกับรัสเซียอย่างล้นหลาม ทำให้ไครเมียถูกผนวกรวมเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย แม้ว่าฝ่ายยูเครนจะพยายามประท้วงเรื่องนี้แต่ก็ไม่เป็นผล…

แน่นอนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นละเมิดกฎหมายนานาชาติ แต่กฎที่แท้จริงที่โลกเราใช้มาตลอดไม่เคยเปลี่ยนคือ “กฎของกำลัง” และ รัสเซีย อเมริกา และจีน คือสามประเทศที่อยู่เหนือกฏทุกอย่าง เพราะมีกำลังมากที่สุด

ไครเมียไม่ใช่พื้นที่เดียว ซึ่งรัสเซียพยายามแทรกแซง พวกเขายังให้การสนับสนุนกลุ่มต่อต้านชาวยูเครนที่โปรรัสเซียในจังหวัดโดเนตสก์ (Donetsk) และลูฮันสก์ (Luhansk) ให้ทำการสู้รบกับกองทัพฝ่ายรัฐบาลจนยกระดับไปเป็นสงครามกลางเมืองในวันที่ 4 เมษายน 2014 เมื่อฝ่ายกบฏระดมกำลังบุกเข้าจู่โจมอาคารของฝ่ายรักษาความมั่นคงภายใน ขณะที่กองทัพรัสเซียเรียกระดมพลกว่า 40,000 บริเวณชายแดนติดกับยูเครน เพื่อส่งสัญญาณว่า “ตูพร้อมทำทุกอย่าง!”

นอกจากนั้นเชื่อว่ารัสเซียมีการแอบสนับสนุนกบฏ ด้วยการส่งที่ปรึกษาทางทหาร, หน่วยปฏิบัติการพิเศษ, และเจ้าหน้าที่ข่าวกรองมายังพื้นที่พิพาท จนกองกำลังฝ่ายกบฎแข็งแกร่งขึ้นเป็นอันมาก และสามารถเอาชนะกองทัพยูเครนได้ในหลายสมรภูมิ

เมื่อสงครามดำเนินไปได้ซักระยะ… ทั้งสองฝ่ายต่างก็เดินหน้าเข้าสู่ขึ้นตอนการเจรจาสงบศึกตามกรอบพิธีสารกรุงมินสก์ครั้งที่ 1 โดยมีใจความสำคัญเพื่อการยุติความขัดแย้งระหว่างคู่สงครามทั้งสองฝ่าย พร้อมกับแลกเปลี่ยนเชลยศึก ภายใต้การสังเกตการณ์ขององค์การว่าด้วยความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป (OSCE)

ซึ่งฝ่ายยูเครนเมื่อขาดการช่วยเหลือจริงจังจากฝ่ายตะวันตก (หรือพูดง่ายๆ ว่าอเมริกา) จึงต้องยอมทำสัญญาเสียเปรียบ ยอมรับสถานะพิเศษของจังหวัดทั้งสองในภูมิภาคดอนบัสให้มีการเลือกตั้งท้องถิ่น รวมถึงให้มีหน่วยงานท้องถิ่นที่จำเป็นเช่นตำรวจและศาล, และให้มีการตั้งจุดผ่านแดนร่วมกันระหว่างกองกำลังรัสเซียและยูเครน

ต่อมาตัวแทนจาก OSCE, ยูเครน, รัสเซีย, โดเนตสก์, และลูฮันสก์ ได้เข้าสู่กระบวนการเจรจาในพิธีสารกรุงมินสก์ครั้งที่ 2 ในปี 2016 เพื่อหาข้อยุติการความขัดแย้งอีก โดยทั้งสองฝ่ายยอมรับข้อตกลงจำนวน 9 จาก 13 ข้อ ซึ่งประกอบด้วย การถอนอาวุธหนักจากบริเวณข้อพิพาท, การนิรโทษกรรมกำลังพลของคู่ขัดแย้ง, การแลกเปลี่ยนเชลยศึกของทั้งสองฝ่าย, การให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม, และการยุติการปฏิบัติการของทหารต่างชาติในพื้นที่ดังกล่าว ทั้งนี้ยูเครนเป็นฝ่ายที่เสียเปรียบในข้อตกลงครั้งนี้เช่นกัน

สะพานไครเมียและเหตุการณ์ช่องแคบเคิร์ช (2016-2018)

เมื่อเข้าครอบครองไครเมียได้ รัฐบาลรัสเซียได้ตัดสินใจสร้างสะพานไครเมียเพื่อเป็นทางเชื่อมต่อ ระหว่างภาคใต้ของรัสเซียกับแหลมไครเมียคร่อมช่องแคบเคิร์ชอันเป็นจุดผ่านทะเลอาซอฟที่ทั้งสองประเทศต่างมีสิทธิตามสนธิสัญญาทวิภาคีที่ลงนามเอาไว้ในปี 2003

…ซึ่งการดังกล่าวเป็นการละเมิดสัญญาทวิภาคีนั้น ประดุจว่ารัสเซียเป็นเจ้าของช่องแคบนั้นคนเดียว…

ในวันที่ 25 พฤศจิกายน 2016 รัสเซียได้ทำการยึดเรือของกองทัพยูเครนซึ่งประกอบด้วย เรือลากจูงและเรือหุ้มเกราะติดปืนรวม 3 ลำ ซึ่งพยายามเดินเรือผ่านบริเวณข้อพิพาท ด้วยข้อกล่าวหาว่า “อีกฝ่ายพยายามรุกล้ำน่านน้ำของรัสเซีย” ส่วนยูเครนก็พยายามแสดงสิทธิว่าตนนั้นสามารถเดินเรือผ่านพื้นที่ดังกล่าวได้ตามข้อตกลงทวิภาคี (ที่รัสเซียไม่เคารพ …เพราะโลกเราใช้กฎของกำลังตามที่บอกนะครับ)

เหตุการณ์ดังกล่าว แสดงให้เห็นว่าแสนยานุภาพทางทหารที่เหนือกว่าของรัสเซียทำให้ยูเครนกลายเป็นฝ่ายต้องยอมถอยแล้วถอยอีกตามเคย

การขู่รุกรานยูเครน (2021- ปัจจุบัน)

เมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา ความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลยูเครนและกลุ่มกบฏที่รัสเซียสนับสนุนเริ่มบานปลาย อีกครั้ง ส่งผลให้ประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน ได้ออกคำสั่งให้คงกำลังกว่า 90,000 นายไว้ ใกล้ชายแดนยูเครน หลังเสร็จสิ้นการฝึกประจำปี เพื่อเป็นการส่งสัญญาณไปยังรัฐบาลยูเครนและฝ่ายตะวันตกว่า “อย่าล้ำเส้นอธิปไตยของรัสเซีย หากไม่ต้องการถูกตอบโต้” โดยในระยะแรกหลายฝ่ายประเมินว่า ความเคลื่อนไหวดังกล่าว คงมิได้มีเจตนาทำสงครามตรงๆ เพียงแต่ต้องการใช้เป็นข้อต่อรองเงื่อนไขบางประการบนโต๊ะเจรจา เหมือนที่เคยเกิดขึ้นหลายครั้ง

อย่างไรก็ตาม… ในเวลาไม่ถึงเดือนปูตินก็ได้สั่งให้เพิ่มจำนวนทหารรัสเซียกว่า 127,000 นาย รวมทั้งอาวุธหนักต่างๆ เข้าไปบริเวณชายแดนรัสเซียและดินแดนที่อยู่ใต้อิทธิพลของรัสเซียทั้งไครเมีย ดินแดนดอนบัส และประเทศเบลารุส ส่งผลให้นักวิเคราะห์ฝ่ายตะวันตกจำนวนหนึ่งวิเคราะห์ว่า รัสเซียอาจจะพิจารณาการรุกรานยูเครนด้วยกำลังทหาร

การเปรียบเทียบกำลังรบรัสเซีย-ยูเครน

หากเปรียบเทียบกำลังรบของยูเครนแบบหมัดต่อหมัดแล้ว กองทัพยูเครนตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบในเกือบทุกมิติ ลำพังเพียงกำลังที่ชายแดนรัสเซียก็มีไพร่พลเกือบเท่ากองทัพยูเครนทั้งหมดแล้ว

นอกจากนี้รัสเซียยังทำการเสริมอาวุธหนักต่างๆ ทั้ง ยานเกราะ, ปืนใหญ่, จรวดหลายลำกล้อง, และขีปนาวุธระยะสั้นรุ่น 9K720 Iskanger ซึ่งถูกย้ายไปประจำการบริเวณชายแดนใกล้กับยูเครนราว 250 กิโลเมตร

ขณะที่ฝ่ายยูเครนเองก็พยายามพัฒนาศักยภาพทั้งการสั่งซื้ออาวุธทันสมัยจากต่างประเทศ อาทิ จรวดต่อต้านรถถัง Javelin จากสหรัฐ, อากาศยานไร้คับบังคับติดอาวุธรุ่น TB-2 ของตุรกี, และหันมาพัฒนาขีปนาวุธพิสัยใกล้อย่าง Grom 2 ซึ่งสามารถโจมตีเป้าหมายในดินแดนของรัสเซียได้ อย่างไรก็ตามความเปลี่ยนแปลงดังกล่าว “ช้า และ น้อย” เกินกว่าจะสามารถเปลี่ยนแปลงผลในการทำสงครามเต็มรูปแบบกับรัสเซียได้

นอกจากความได้เปรียบทางด้านจำนวนแล้ว รัสเซียยังมีกองทัพอากาศที่ทันสมัยและแข็งแกร่งกว่ายูเครนมาก

คืออากาศยานส่วนมากของยูเครนเป็นของที่ได้รับการส่งมอบมาจากยุคสงครามเย็นอย่างเครื่องบินขับไล่ Su-27 Flanker และ Mig-29 Falcrum ซึ่งแม้จะได้รับการอัพเกรด แต่ไม่สามารถเทียบประสิทธิภาพกับอากาศยานรุ่นใหม่กว่าของรัสเซียอย่าง Su-30 หรือ Su-35 ได้

นอกจากนี้กองทัพอากาศยูเครนยังขาดแคลนบุคลากร ส่งผลให้ไม่สามารถทำภารกิจอย่างมีประสิทธิภาพได้

ท้ายที่สุดคือกองทัพเรือยูเครนซึ่งต้องทำหน้าที่ต้องควบคุมจุดยุทธศาสตร์ชายฝั่งที่มีความสำคัญมาก แต่กลับกลายเป็นกองทัพซึ่งอ่อนแอที่สุด โดยเรือหลักของยูเครนคือ เรือฟริเกตชั้น Krivak III และเรือเร็วติดจรวดต่อต้านเรือผิวน้ำชั้น Matka (ที่ไม่ทราบสถานะของอาวุธบนเรือ) ทั้งหมดนี้ตกทอดมาจากยุคสหภาพโซเวียต ไม่สามารถเทียบประสิทธิภาพกับเรือลาดตระเวณขีปนาวุธชั้น Slava ที่เป็นเรือธงของกองเรือรัสเซียในทะเลดำด้วยซ้ำ

แม้ตลอดเวลาที่ผ่านมายูเครนจะพยายามนำเข้า และต่อเรือใหม่ทดแทนอาทิ เรือคอร์เวตจากตุรกี, เรือเร็วติดจรวดต่อต้านเรือผิวน้ำจากอังกฤษ, รวมทั้งพัฒนาจรวดต่อต้านเรือผิวน้ำรุ่น Neptune ซึ่งสามารถปล่อยจากฐานยิงบนบกได้ แต่โครงการเหล่านี้ยังอยู่ในขั้นตอนการผลิตหรือทดสอบแทบทั้งสิ้น

ยุทธศาสตร์ของรัสเซีย

รายงานของสถาบันวิจัยนโยบายการต่างประเทศและยุทธศาสตร์ (CSIS) ระบุว่า รัสเซียอาจเล่นเกมใน 5 ระดับ ขึ้นอยู่กับผลการเจรจาว่าฝ่ายตะวันตกจะสามารถตอบสนองผลประโยชน์ที่ต้องการได้หรือไม่?

ระดับแรก หากการเจรจาผ่านไปด้วยดี ฝ่ายรัสเซียอาจลดกำลังทหารในดินแดนของตน แต่ยังสนับสนุนการต่อสู้ของฝ่ายกบฏด้วยการส่งยุทโธปกรณ์, ที่ปรึกษาทางทหาร, และหน่วยปฏิบัติการพิเศษ มายังภาคตะวันออกของยูเครนให้ทำการสู้รบกับรัฐบาลยูเครนต่อไป

ระดับสองคือ การส่งกองกำลังรักษาสันติภาพเข้าไปบริเวณดินแดนข้อพิพาทในเขตดอนบัส จนกว่าจะได้ข้อตกลงใหม่ ซึ่งอื้อประโยชน์ให้กับสาธารณรัฐประชาชนโดเนตสค์ และลูฮันสค์ เหมือนกับข้อตกลงในพิธีสารกรุงมินสก์

ระดับสามคือ การเลือกทำสงครามระยะสั้นโดยใช้การเคลื่อนพลจากดินแดนฝ่ายโปรรัสเซียทั้งในไครเมีย, ภูมิภาคดอนบัส, และประเทศเบลารุส เข้าโจมตีแนวตั้งรับของยูเครนอย่างรวดเร็วจากหลายทิศทาง โดยมีจุดประสงค์หลักคือการยึดครองดินแดนใกล้กับแม่น้ำนีเปอร์รวมถึงพื้นที่อื่นๆ ในภาคตะวันออกของยูเครนที่มีทรัพยากรสำคัญมากมาย และประชากรจำนวนมากมีแนวคิดโปรรัสเซีย

นอกจากนี้ยังมีความเป็นไปได้ว่ารัสเซียอาจจะพยายามปิดล้อมกรุงเคียฟเมืองหลวงของยูเครนเพื่อกดดันอีกด้วย โดยจะทำการเว้นช่วงดังกล่าว เพื่อเจรจากับยูเครนและชาติตะวันตกในการยอมยกดินแดนที่ถูกยึดครองให้แก่รัสเซีย

ระดับสี่ หากการเจรจาไม่ได้ผลกองเรือทะเลดำของรัสเซียจะเริ่มปฏิบัติการจู่โจมเมืองโอเดสซ่า ด้วยการขนาบเข้าตีจากทางบกและทางน้ำเพื่อบดขยี้กองทัพเรือขนาดเล็กของยูเครนให้สิ้นสภาพ ก่อนยึดครองเมืองท่าสำคัญเพื่อปิดกั้นทางเข้าทะเลดำของยูเครน จากนั้นฝ่ายรัสเซียจะดำเนินการเคลื่อนพลต่อไปยังภูมิภาคทรานส์นีสเตรีย ซึ่งแยกตัวจากมอลโดวาเพื่อขยายเขตแดนของตนเอง โดยมีวัตถุประสงค์หลักในการปิดทางออกทะเลของยูเครนและควบคุมแหล่งน้ำจืด แต่ยังหลีกเลี่ยงการยึดครองเมืองขนาดใหญ่อย่างคาร์คิฟและเคียฟ

มาถึงขั้นนี้ถ้ายูเครนยังพยายามจะต่อต้าน กองทัพรัสเซียจะนำกำลังเข้าเผด็จศึกขั้นสุดท้ายด้วยการปิดล้อมกรุงเคียฟและคาร์คิฟ เพื่อกดดันให้รัฐบาลยูเครนยอมศิโรราบแบบไม่มีเงื่อนไข ซึ่งเป็นระดับที่ 5

อย่างไรก็ตามหลายฝ่ายต่างเห็นตรงกันว่าอย่างมากสุดมันไปได้ถึงแค่ระดับสี่ และมีความเป็นไปได้มากว่าจะหยุดแค่ระดับสอง

รัสเซียน่าจะพยายามทุกวิธีทางในการจำกัดความขัดแย้งให้อยู่บนโต๊ะเจรจาหรือศึกระยะสั้น ซึ่งตนเองสามารถเอาชนะฝ่ายตรงข้ามด้วยกำลังรบที่เหนือกว่าในทุกมิติ แล้วหันมาบ่อนทำลายอำนาจของรัฐบาลกลางยูเครนแบบช้าๆ โดยไม่ต้องเผชิญหน้ากับสงครามเต็มรูปแบบ เพราะการจัดการประเทศที่มีดินแดนกว้างใหญ่อย่างยูเครนก็ต้องใช้ทรัพยากรมาก

ยุทธศาสตร์ของยูเครน

ขณะที่ฝ่ายรัสเซียสามารถเลือกแนวทางการรบและควบคุมระดับความรุนแรงได้ ทางยูเครนทำได้เพียงหาทางตั้งรับเพื่อยื้อเวลาฝ่ายผู้รุกรานให้นานที่สุด โดยการใช้กำลังสำรองและกองกำลังอาสาที่มีจำนวนราว 400,000 คน นอกจากนี้ประชากรราว 1 ใน 3 ของประเทศกล่าวว่า พวกเขาพร้อมจะจับอาวุธขึ้นป้องกันบ้านเกิดของตนเอง

ยูเครนยังมียุทโธปกรณ์จำนวนมากที่ได้รับการสนับสนุนจากพันธมิตรตะวันตกเช่น จรวดต่อต้านรถถังแบบ Javelin และ NLAW รวมถึงจรวดต่อต้านอากาศยานประทับบ่า Stinger ไม่เพียงเท่านั้นดินแดนยูเครนยังมีพรมแดนฝั่งตะวันตกติดกับโปแลนด์ ซึ่งเป็นสมาชิกนาโต้ที่มีนโยบายต่อต้านรัสเซียที่รุนแรง ส่งผลให้โปแลนด์น่าจะช่วยยูเครนมากหากเกิดสงครามจริง

ทั้งนี้ทั้งนั้นความที่ยูเครนมีกำลังด้อยกว่า พวกเขาจึงต้องตกอยู่ในสถานะผู้ปองกันในสมรภูมิที่ที่รัสเซียเป็นผู้เลือก…

…มันจึงเป็นสงครามที่พวกเขาเลือกได้เพียงสูญเสียดินแดนมากหรือน้อยเท่านั้น…

การตอบโต้ของตะวันตก

เมื่อรัสเซียประกาศเสริมกำลังจำนวนมากบริเวณชายแดนของประเทศยูเครน กลุ่มประเทศตะวันตกต่างออกมาแสดงท่าทีสนับสนุนรัฐบาลยูเครนในระดับที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 3 แนวทางคือ: แนวทางสนับสนุนอาวุธให้กับกองทัพยูเครน, แนวทางแสดงออกผ่านการเสริมกำลังในเขตอิทธิพลตนเอง, และแนวทางดำเนินนโยบายทางการทูต

สำหรับประเทศนาโต้กลุ่มแรกนั้นมีสหรัฐเป็นหัวเรือใหญ่ พวกเขาสนับสนุนด้านความมั่นคงให้กับฝ่ายยูเครนมาโดยตลอด และยังส่งสัญญาณว่าพวกเขาพร้อมจะดำเนินนโยบายคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจรัสเซียหากเกิดสงครามขึ้น โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐออกมายืนยันอย่างหนักแน่นว่า พวกเขาพร้อมเดินหน้าเจรจาและตอบรับข้อเสนอบางส่วนของรัสเซียอาทิ “การลดความถี่ของการฝึกระหว่างชาตินาโต้ต่างๆ และลดจำนวนระบบป้องกันขีปนาวุธในยุโรปตะวันออก” แต่ปฏิเสธการถอนกำลังออกจากชาติพันธมิตรในยุโรปตะวันออก

นอกจากนี้ยังมีคำสั่งให้กองกำลังสหรัฐในยุโรปเตรียมความพร้อมสูงสุดและเคลื่อนกำลังส่วนหนึ่งจากเยอรมนีไปยังโรมาเนีย รวมถึงส่งทหารหลายพันนายไปยังโปแลนด์ เพื่อส่งสัญญานว่าสหรัฐพร้อมปกป้องชาติสมาชิกนาโต้ในยุโรปตะวันออก พร้อมกับอนุมัติการส่งอาวุธและที่ปรึกษาทางทหารเพื่อสนับสนุนกองทัพยูเครน

อย่างไรก็ตามการแสดงออกของสหรัฐถูกวิจารณ์ว่าเป็นการแสดงออกทางสัญลักษณ์มากกว่าการเผชิญหน้ากับรัสเซีย อีกทั้งจำนวนอาวุธที่ถูกส่งไปยังห่างไกลความเพียงพอหากสงครามเกิดขึ้นจริง

อังกฤษถือเป็นอีกประเทศหนึ่งที่แสดงออกว่าจะสนับสนุนยูเครนทั้งในด้านการทูตและการทหาร โดยเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลอังกฤษได้ดำเนินการกดดันรัสเซียผ่านโต๊ะเจรจา ขณะที่ฝ่ายกองทัพอังกฤษก็ทำการส่งอาวุธต่างๆ ให้ยูเครนเพื่อใช้ในสนามรบ นอกเหนือจากการสนับสนุนด้านการเมืองและการทหารแล้ว อังกฤษยังหันมาจับมือกับโปแลนด์เพื่อสร้างความร่วมมือด้านการทหารในการสกัดกั้นอิทธิพลของฝ่ายรัสเซียอีกด้วย

กลุ่มที่สองอย่างเดนมาร์ก, เนเธอแลนด์, และสเปน ได้ทำการเคลื่อนกำลังของตนไปยังพรมแดนหน้าด่านในยุโรป ตะวันออกและบอลติก เพื่อแสดงพลังว่าพวกเขาพร้อมจะปกป้องประเทศสมาชิกนาโต้ แต่จะไม่เข้าไปแทรกแซงความขัดแย้งในยูเครนโดยตรง

นอกจากนั้นยังมีชาติที่ดำเนินการเจรจาเพื่อหาข้อยุติปัญหาด้วยนโยบายทางการทูต ซึ่งมีแกนนำสำคัญคือ ประธานาธิบดี เอ็มมานูเอล มาครง ของฝรั่งเศสผู้เดินทางไปพบกับปูตินด้วยตนเอง โดยได้รับการสนับสนุนจากนายกรัฐมนตรี โอลาฟ ชอลซ์ ของเยอรมนีและประธานาธิบดี อังเดรซ ดูดา ของโปแลนด์ ด้วยการยื่นข้อเสนอสำคัญคือ “กรอบการเจรจานอร์มังดี” โดยให้คู่ขัดแย้งคือ ยูเครนและรัสเซีย มาต้องเจรจาเพื่อหาข้อยุติ

โดยมีฝรั่งเศสและเยอรมนีเป็นตัวกลางช่วยไกล่เกลี่ย ซึ่งทางสหรัฐได้ออกมาแสดงท่าทีสนับสนุนความพยายามดังกล่าว แต่ยังแสดงความไม่ไว้วางใจจนกว่าฝ่ายรัสเซียจะเลิกแสดงท่าทีคุกคามยูเครน

ความน่าจะเป็นในอนาคต

จากข้อมูลทั้งหมดจะเห็นได้ว่าประเทศสมาชิกนาโต้ต่างดำเนินยุทธศาสตร์ที่แตกต่างกันออกไป แต่จุดประสงค์ของชาติเหล่านี้คล้ายคลึงกันคือ การพยายามสกัดการแผ่ขยายอิทธิพลของรัสเซีย ขณะที่รัสเซียเองก็มองว่านาโต้กำลังเข้าแทรกแซงความมั่นคงในเขตอิทธิพลของตนเอง

แม้ว่าสงครามเต็มรูปแบบอาจไม่ใช่สิ่งที่จะเกิดขึ้นในเร็ววันนี้ ทว่าสถานการณ์ระหว่างรัสเซียและยูเครนน่าจะคงความตึงเครียดไปอีกระยะใหญ่ และรัฐบาลยูเครนเองจะต้องเผชิญหน้ากับการแทรกแซงทั้งการส่งกำลังทหารเข้ามายังบริเวณข้อพิพาทในเขตดอนบัส รวมถึงการบั่นทอนความมั่นคงในรูปแบบอื่นๆ ไปจนกว่าชาติมหาอำนาจจะสามารถหาข้อยุติความขัดแย้งกันได้สำเร็จ ล่าสุดทางการรัสเซียได้ออกมาระบุว่า มีคำสั่งให้ทหารบางส่วนถอนกำลังกลับสู่ที่ตั้ง เนื่องจากเสร็จสิ้นการฝึกแล้ว อย่างก็ตามเราคงต้องจับตาดูสถานการณ์ที่เกิดขึ้นต่อไปอย่างใกล้ชิด

สุดท้ายนี้… เรื่องราวของยูเครนอาจย้ำเตือนให้เราตระหนักว่า “กฎของโลกคือกฎของกำลัง” และ “ใจความสำคัญของนโยบายการต่างประเทศล้วนถูกเขียนไว้เพื่อสร้างประโยชน์สูงสุดให้กับประเทศของตน”