หากใครเป็นแฟนบอลตัวยงก็คงไม่พลาดกับแมตช์เมื่อคืนนี้อย่างแน่นอน! เพราะการแข่งขันฟุตบอลยุฟ่า ยูโรป้าลีก 2024/2025 รอบ 8 ทีทสุดท้าย ระหว่างสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดจากอังกฤษ กับสโมสรโอลิมปิกลียงจากฝรั่งเศส จบลงด้วยสกอร์ 5-4 (รวมผลสองนัด 7-6) ถือเป็นแมตช์การแข่งขันที่สนุกและเร้าใจเป็นอย่างยิ่ง
แม้โอลิมปิกลียงจะเป็นฝ่ายปราชัย แต่พวกเขาก็ต่อสู้อย่างสมศักดิ์ศรี พร้อมเผชิญหน้ากับหนึ่งในทีมที่แข็งแกร่งที่สุดจากอังกฤษเท่านั้น (เพียงแต่ไม่ใช่ช่วงนี้) แถมยังนำเอา “จิตวิญญาณของเมืองแห่งประวัติศาสตร์” ไปแสดงกลางสนามโอลด์ แทรฟฟอร์ด
เพราะหลายคนอาจรู้จักโอลิมปิกลียง ในฐานะทีมฟุตบอลฝรั่งเศสที่สร้างนักเตะชื่อดังอย่างคาริม เบนเซม่า หรือ ลากาแซ็ตต์ แต่ลึกลงไปกว่านั้น “ลียง” คือหนึ่งในเมืองที่เก่าแก่และทรงอิทธิพลที่สุดของฝรั่งเศส
มาร่วมกันรู้จัก “ลียง” เมืองประวัติศาสตร์ที่เป็นมากกว่าทีมฟุตบอลกันครับ
_______________________________
1. ลียง (Lyon) เมืองใหญ่อันดับสามของฝรั่งเศส รองจากกรุงปารีสและมาร์กเซย เมืองแห่งนี้มีรากเหง้าทางประวัติศาสตร์ยาวนานมากกว่า 2,000 ปี โดยย้อนกลับไปถึงยุคจักรวรรดิโรมัน เมืองนี้ถูกก่อตั้งขึ้นเมื่อ 43 ปี ก่อนคริสต์กาล โดยขุนพลโรมันนามว่า ลูซิอุส มูนาทีอุส แพลนคุส (Lucius Munatius Plancus)
2. เมืองนี้มีชื่อดั้งเดิมว่า ลูดฌูนุม (Lugdunum)ง หมายถึง “ป้อมปราการของเทพลูโก” เทพแห่งแสงสว่างในความเชื่อของชาวเคลท์ ก่อนที่ต่อมาจะกลายมาเป็นศูนย์กลางอำนาจของจักรวรรดิโรมันในแคว้นกอล โดยลูดฌูนุมเป็นเมืองหลวงของแคว้นโกลนาร์โบนองส์ (Gallia Narbonensis) และกลายเป็นศูนย์กลางทางศาสนา การปกครอง และการทหารของโรมันในดินแดนกอลทั้งหมด
3. ด้วยที่ตั้งซึ่งอยู่ระหว่างแม่น้ำสองสายสำคัญแม่น้ำโรน (Rhône) และ แม่น้ำซอน (Saône) ทำให้การเดินทางน้ำทำได้สะดวก ลียงจึงกลายเป็นจุดยุทธศาสตร์ทางการค้า เชื่อมระหว่างตอนเหนือและตอนใต้ของฝรั่งเศส และเชื่อมทะเลเมดิเตอร์เรเนียนกับพื้นที่ภายในทวีปยุโรป
4. ศตวรรษที่ 2–3 ลียงเข้าสู่ยุคคริสต์ศาสนารุ่งเรือง จนกลายเป็นหนึ่งในศูนย์กลางของคริสต์ศาสนายุคแรกบนผืนแผ่นดินฝรั่งเศส โดยนักบุญปอธีนุส (Saint Pothinus) ได้รับแต่งตั้งให้เป็นบิชอปคนแรกของเมือง และภายหลังนักบุญอิเรเนอุส (Saint Irenaeus) ก็เข้ามาสืบสานงานต่อ พร้อมวางรากฐานด้านคำสอนและแนวคิดของคริสต์ศาสนาฝ่ายตะวันตก
อย่างไรก็ตามในปี 177 ซึ่งเป็นช่วงที่จักรพรรดิ มาร์คุส เอาเรลิอุส จักรพรรดิผู้ทรงคุณธรรมองค์สุดท้ายปกครองจักรวรรดิโรมัน ลียงได้เกิดเหตุการณ์สำคัญที่กลายเป็นบาดแผลทางศาสนา คือ การปราบปรามผู้มีความเชื่อคริสต์ศาสนา
5. ผู้มีความเชื่อในพระคริสต์จำนวนมากถูกจับกุมและทรมานอย่างโหดเหี้ยม บางคนถูกบังคับให้ต่อสู้กับสัตว์ในสนามประลอง บางคนถูกประหารชีวิต หนึ่งในผู้ที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของเหตุการณ์ครั้งนี้คือ นักบุญบลองดินา (Saint Blandina) ทาสหญิงผู้แม้จะอ่อนแอทางร่างกาย แต่กลับยืนหยัดต่อการทรมานอย่างไม่ยอมแพ้
ท่านถูกจับโยนใส่สัตว์ป่าและถูกทรมานซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ไม่เคยปฏิเสธศรัทธาในพระเจ้า จนสุดท้าย ท่านถูกประหารและกลายเป็นตำนานแห่งศรัทธาในโลกคริสต์ศาสนา เหตุการณ์ครั้งนั้นถูกบันทึกไว้โดยนักบุญอิเรเนอุส และถือเป็นหนึ่งในการเบียดเบียนคริสเตียนที่รุนแรงที่สุดในแคว้นกอล
6. หลังจากจักรวรรดิโรมันล่มสลาย เมืองลียงไม่ได้เสื่อมถอยเหมือนเมืองอื่นในยุโรป แต่กลับยิ่งมีบทบาทสำคัญมากขึ้น โดยกลายเป็น ศูนย์กลางของคริสตจักรคาทอลิกในฝรั่งเศสตอนใต้
โดยบิชอปแห่งลียง (หรืออาร์ชบิชอป) ไม่ได้มีอำนาจแค่ทางศาสนา แต่ยังมีอิทธิพลในด้านการเมือง และมักเป็นผู้ไกล่เกลี่ยความขัดแย้งระหว่างเจ้าผู้ครองแคว้นต่าง ๆ ที่แย่งชิงอำนาจกันในยุคกลางหนึ่งในบทบาทสำคัญที่สุดของลียงในยุคนี้ คือการเป็น เจ้าภาพจัดการประชุม “สภาโรมัน” (Council of Lyon) ถึงสองครั้ง
7. แม้ลียงจะมีบทบาทโดดเด่นในศาสนจักรยุโรปมาตลอดหลายศตวรรษ แต่เมื่อเข้าสู่ช่วงศตวรรษที่ 16 – 17 เมืองก็ต้องเผชิญกับความปั่นป่วนครั้งใหญ่จากความขัดแย้งทางศาสนาระหว่างชาวคาทอลิกกับโปรเตสแตนต์ที่เรียกว่า “อูเกอโนต์” (Huguenots)
ลียงเคยถูกฝ่ายโปรเตสแตนต์เข้ายึดครองในบางช่วง ก่อนที่กองกำลังคาทอลิกจะเข้ามาทวงคืนอำนาจอย่างเด็ดขาด ความขัดแย้งครั้งนี้ส่งผลให้เกิดความเสียหายทั้งทางวัฒนธรรม เศรษฐกิจ และชีวิตของผู้คนในเมือง
8. แม้จะต้องเผชิญเหตุการณ์รุนแรง แต่ลียงกลับสามารถฟื้นฟูเศรษฐกิจของตนได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในด้านอุตสาหกรรมผ้าไหม เพราะพ่อค้าชาวอิตาเลียนจากฟลอเรนซ์และเจนัวหลั่งไหลเข้ามาตั้งรกรากในลียง นำความรู้ เทคนิคการทอผ้า และเครือข่ายการค้าระดับนานาชาติเข้ามาด้วย ส่งผลให้ลียงค่อย ๆ พัฒนาเป็นศูนย์กลางการค้าผ้าไหมที่ใหญ่ที่สุดในฝรั่งเศส และเป็นหนึ่งในเมืองที่รุ่งเรืองที่สุดในยุโรปช่วงเวลานั้น
9. เมื่อเข้าสู่ศตวรรษที่ 19 ลียงยังคงรักษาสถานะของตนในฐานะศูนย์กลางการผลิตผ้าไหมของฝรั่งเศส โดยมีช่างฝีมือจำนวนมากทำงานอยู่ในโรงทอผ้าที่กระจายตัวทั่วเมือง แต่เบื้องหลังความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจนั้น กลับเต็มไปด้วยความตึงเครียดระหว่างชนชั้น ช่างทอผ้าไหมซึ่งรู้จักกันในชื่อว่า “ช่างคานูต์” (Canuts) ต้องทำงานหนักภายใต้สภาพแวดล้อมที่กดขี่ ได้ค่าจ้างต่ำ และไม่มีสิทธิในการต่อรองใด ๆ
10. ในปี 1831 ช่างคานูต์ลุกขึ้นประท้วงเรียกร้อง “ค่าจ้างที่ยุติธรรมสำหรับแรงงานที่ทำอย่างซื่อสัตย์” นี่คือคำขวัญของพวกเขา และถือเป็น หนึ่งในการลุกฮือของแรงงานครั้งแรก ๆ ในยุโรป แม้การลุกฮือครั้งแรกจะถูกปราบปรามอย่างรุนแรง แต่ช่างคานูต์ก็ไม่ยอมแพ้ พวกเขาก่อการอีกครั้งท่ามกลางบรรยากาศการปฏิวัติในฝรั่งเศสที่กำลังก่อตัว
“กบฏช่างคานูต์” จึงไม่เพียงเป็นการเรียกร้องสิทธิของแรงงานเท่านั้น แต่ยังกลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับแนวคิดสังคมนิยมและขบวนการแรงงานที่จะเติบโตขึ้นในฝรั่งเศสและยุโรป
11. ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อฝรั่งเศสตกอยู่ภายใต้การยึดครองของเยอรมนี เมืองลียงกลายเป็นหนึ่งในฐานที่มั่นสำคัญของ “ขบวนการต่อต้าน” (La Résistance) ที่ลุกขึ้นสู้กับอำนาจของเยอรมันและรัฐบาลวิชี รัฐบาลหุ่นเชิดที่ให้ความร่วมมือกับฝ่ายเยอรมัน
ลียงมีทำเลทางยุทธศาสตร์ที่ดีในการต่อต้าน เนื่องจากอยู่กึ่งกลางระหว่างพื้นที่ที่ถูกยึดครองโดยเยอรมันกับเขตเสรีทางตอนใต้ อีกทั้งมีเครือข่ายขนส่งที่เชื่อมต่อกันทั่วประเทศ ทำให้เมืองนี้กลายเป็นจุดรวมพลของฝ่ายต่อต้านจากหลายกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นนักเรียน ปัญญาชน นักบวช หรือแม้แต่แรงงานและอดีตทหาร
12. หนึ่งในบุคคลสำคัญของขบวนการต่อต้านในลียงคือ ฌอง มูแล็ง (Jean Moulin) ข้าราชการระดับสูงที่ได้รับมอบหมายจากนายพลชาร์ล เดอ โกล ให้รวมกลุ่มต่อต้านทั่วประเทศให้เป็นหนึ่งเดียว เขาใช้ลียงเป็นฐานปฏิบัติการหลัก และได้วางโครงสร้างต้านพวกเยอรมันที่แข็งแกร่งจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต
จากบทบาทที่กล้าหาญนี้ ลียงจึงได้รับสมญาว่า “เมืองหลวงแห่งการต่อต้าน” (Capitale de la Résistance)
13. ปัจจุบันลียง ยังคงรักษาความสำคัญในฐานะเมืองใหญ่ของฝรั่งเศสอย่างมั่นคง ปัจจุบัน ลียงเป็นเมืองใหญ่อันดับสามของประเทศ และเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจที่มีความหลากหลายและแข็งแกร่ง
นอกจากนี้ ลียงยังได้รับการยกย่องว่าเป็น “เมืองหลวงแห่งอาหารของฝรั่งเศส” (Capital of Gastronomy) ด้วยจำนวนร้านอาหารมากกว่า 4,000 แห่ง และเป็นบ้านเกิดของเชฟชื่อดังอย่าง ปอล โบคูส (Paul Bocuse)
14. นอกจากความสำคัญทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมแล้ว ลียงยังเป็นที่ตั้งของสโมสรฟุตบอลชื่อดังอย่าง “โอลิมปิก ลียง” (Olympique Lyonnais) สโมสรนี้ก่อตั้งขึ้นในปี 1950 และกลายเป็นหนึ่งในทีมฟุตบอลที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในฝรั่งเศส
15. ในช่วงต้นยุค 2000 โอลิมปิก ลียงสร้างประวัติศาสตร์ด้วยการคว้าแชมป์ลีกเอิงติดต่อกันถึง 7 สมัย ซึ่งเป็นสถิติที่ยังไม่มีทีมใดทำลายได้ อีกทั้งสโมสรยังเป็นแหล่งผลิตนักเตะชั้นนำของฝรั่งเศส เช่น คาริม เบนเซม่า, อเล็กซองด์ ลากาแซ็ตต์ และ ฮุสเซ็ม อาอูอาร์
16. แม้ปัจจุบันสถานการณ์การเงินของลียงจะไม่สู้ดีนัก แต่พวกเขายังคงเป็นทีมที่แข็งแกร่งในเวทียุโรป จนฤดูกาลนี้ พวกเขาผ่านเข้ารอบยูโรป้าลีกรอบ 8 ทีมสุดท้าย แต่ต้องหยุดเส้นทางนี้ลง เพราะต้องมาแพ้ให้กับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดเมื่อคืนนี้อย่างลุ้นระทึก แม้เวลาจะผ่านมากว่า 2,000 ปี แต่ลียงยังคงยืนหยัดอย่างสง่างามในฐานะหนึ่งในเมืองสำคัญที่สุดของฝรั่งเศสปัจจุบัน เมืองนี้มีประชากรมากกว่า 2.3 ล้านคน เมื่อรวมพื้นที่ปริมณฑล ถือเป็นเขตมหานครใหญ่อันดับสองของประเทศรองจากปารีส
ลียงจึงไม่ได้เป็นเพียงเมืองที่เต็มไปด้วยอดีตอันยิ่งใหญ่ แต่ยังคงเปล่งประกายในปัจจุบันในฐานะศูนย์กลางเศรษฐกิจ การศึกษา วัฒนธรรม อาหาร และนวัตกรรมไม่ว่าจะบนเวทีประวัติศาสตร์ หรือสนามฟุตบอล
#TWCHistory #TWCFrance #TWC_Salmon
0 Comment