เชื่อว่าหลายท่านอาจไม่คุ้นชื่อเมืองเมิร์ฟ เมืองโบราณที่ตั้งอยู่บนเส้นทางสายไหมนี้มากนัก แต่รู้หรือไม่ว่า เมืองแห่งนี้เป็นเมืองที่สำคัญของโลกแห่งหนึ่งหรืออาจเทียบได้กับ “นครนิวยอร์กแห่งโลกยุคกลาง” เลยทีเดียว!

เมิร์ฟเป็นเมืองโบราณที่ดำรงอยู่มาตั้งแต่ยุคอารยธรรมเปอร์เซียโบราณ หรือเมื่อราว 2,500–3,000 ปีก่อน โดยมีหลักฐานการตั้งถิ่นฐานตั้งแต่ช่วงก่อนคริสตกาล และรุ่งเรืองต่อเนื่องในยุคจักรวรรดิอะคีเมนิด(Achaemenid Empire) หรือยุค “จักรวรรดิเปอร์เซียแรก” จนถึงยุคอิสลาม หรือที่แปลว่าเมืองแห่งนี้เคยดำรงอยู่อย่างต่อเนื่อง ราว 2,000–2,500 ปีเลยทีเดียว

เมืองแห่งนี้ตั้งอยู่บนเส้นทางสายไหมซึ่งปัจจุบันคือประเทศเติร์กเมนิสถาน ด้วยทำเลที่ตั้งอันอุดมสมบูรณ์ใกล้แหล่งน้ำและเส้นทางการค้าที่ตัดผ่าน เมิร์ฟจึงเติบโตเป็นศูนย์กลางการค้า วิทยาการ และศาสนาที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชียกลาง

คาดการณ์ว่าในช่วงพีคที่สุด เมืองโบราณแห่งนี้มีประชากรมากกว่า 500,000 คน ซึ่งนับว่าสูงมากเมื่อเทียบกับมาตรฐานประชากรของโลกยุคกลาง และทำให้เมิร์ฟกลายเป็น “เมืองที่มีประชากรมากที่สุดในโลก” ณ เวลานั้น ตามคำบันทึกของนักภูมิศาสตร์อาหรับอย่าง ยากุต อัล-ฮามาวี (Yaqut al-Hamawi) ในคริสต์ศตวรรษที่ 12

ถ้าเทียบกับยุคปัจจุบัน จำนวนประชากรระดับครึ่งล้านนี้ใกล้เคียงกับเมืองขนาดกลางถึงใหญ่ เช่น เมืองแฟรงก์เฟิร์ตของเยอรมนี ซึ่งทำให้เราเห็นภาพได้ชัดว่า เมิร์ฟในยุคกลางไม่ใช่เพียงเมืองสำคัญในภูมิภาคเอเชียกลาง แต่คือ อีกหนึ่งมหานครโลกในยุคกลางเลยก็ว่าได้

การที่เมิร์ฟสามารถรองรับประชากรจำนวนมหาศาลเช่นนี้ได้ โดยไม่มีเทคโนโลยีสมัยใหม่ ทั้งในด้านโครงสร้างพื้นฐาน การเกษตร น้ำ และการจัดการเมือง เป็นสิ่งที่น่าทึ่งอย่างมาก แต่ก็สามารถสะท้อนถึงภูมิปัญญาและความก้าวหน้าของโลกตะวันออกในยุคนั้นได้ว่า นวัตกรรมและภูมิปัญญาของมนุษย์ในยุคนั้นเริ่มก้าวหน้ามากกว่าที่เราจะจินตนาการได้

ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 11–12 เมิร์ฟเป็นหนึ่งในเมืองที่ดึงดูดนักดาราศาสตร์จากทั่วโลกมุสลิม โดยเฉพาะในยุคของ อิหม่าม อัล-ซามานี (al-Samani) และผู้ปกครองจากราชวงศ์เซลจูก เมืองนี้กลายเป็นศูนย์กลางของนักวิชาการที่ศึกษาการเคลื่อนที่ของดวงดาว ปฏิทิน และการหาทิศทางกิบลัต (ทิศไปมักกะฮ์) ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญทางศาสนาและการผนวกความรู้ด้านภูมิศาสตร์

ในเมืองเมิร์ฟมีการตั้งห้องสมุดและโรงเรียนขึ้นมากมาย โดยเฉพาะในยุคราชวงศ์เซลจูก ซึ่งสนับสนุนให้นักวิชาการจากทั่วโลกมุสลิมเดินทางมาทำการศึกษา แปล และถ่ายทอดองค์ความรู้ เช่นเดียวกับบทบาทของบ้านแห่งปัญญา (House of Wisdom) ที่แบกแดดในโลกอิสลามตะวันตก

ทว่าชะตากรรมของเมืองที่เคยรุ่งเรืองที่สุดก็ต้องเสื่อมลงอย่างรวดเร็ว และ น่าหดหู่อย่างยิ่ง เมื่อกองทัพมองโกลของเจงกีสข่านบุกเข้าทำลายเมืองในปี 1221 ในช่วงเวลานั้น เมิร์ฟอยู่ภายใต้การปกครองของราชวงศ์ควาราซเมียน (Khwarazmian dynasty) ซึ่งทำผิดพลาดร้ายแรงทางการทูตโดยสังหารคณะทูตของเจงกีสข่านที่ส่งมาเพื่อเจรจาทางการค้า การกระทำดังกล่าวถูกตีความว่าเป็นการประกาศสงครามโดยตรง ทำให้เจงกีสข่านระดมกองทัพขนาดมหึมาเข้ารุกรานดินแดนของควาราซเมียนอย่างราบคาบ

เมื่อกองทัพมองโกลเคลื่อนพลมาถึงเมิร์ฟในปี 1221 ชาวเมืองพยายามเจรจาขอยอมจำนนเพื่อรักษาชีวิต แต่เจงกีสข่านซึ่งมีเป้าหมายในการ “ลงโทษเพื่อสร้างความหวาดกลัว” จึงเลือกที่จะทำลายเมืองทั้งเมืองและสังหารผู้คนอย่างไม่ปราณี นักประวัติศาสตร์ชาวอาหรับ อิบนุ อัล-อะซีร (Ibn al-Athir) ได้บรรยายไว้ว่า

“เมื่อเจงกีสข่านประทับนั่งบนบัลลังก์ทองคำ และมีรับสั่งให้นำเหล่าทหารที่ถูกจับกุมมาเข้าเฝ้า เมื่อพวกเขาถูกนำตัวมาอยู่ต่อหน้า ก็ถูกประหารชีวิตทันที ท่ามกลางสายตาผู้คนที่มองดูและร่ำไห้

เมื่อถึงคราวของชาวบ้านทั่วไป พวกเขาแยกชาย หญิง เด็ก และทรัพย์สินออกจากกัน วันนั้นกลายเป็นวันที่ผู้คนเต็มไปด้วยเสียงกรีดร้อง ร่ำไห้ และคร่ำครวญอย่างน่าสะเทือนใจ

จากนั้น พวกเขาจับเหล่าคนมั่งคั่งมาเฆี่ยนตีและทรมานด้วยวิธีการอันโหดเหี้ยมหลากหลาย เพื่อเค้นหาทรัพย์สมบัติให้ได้มากที่สุด… แล้วจึงจุดไฟเผาทั้งเมือง รวมถึงเผาหลุมศพของสุลต่านซานญาร์ (Sultan Sanjar) และขุดหลุมฝังศพของเขาเพื่อค้นหาทรัพย์สิน

พวกเขากล่าวว่า “ผู้คนเหล่านี้ต่อต้านเรา” แล้วก็สังหารทุกคนอย่างไร้ปรานี จากนั้นเจงกีสข่านมีรับสั่งให้ทำการนับศพ และพบว่ามีศพอยู่ประมาณ 700,000 ร่าง”

แม้เมืองจะยังไม่ได้ร้างไปโดยสิ้นเชิง แต่การทำลายเมืองของมองโกลครั้งนั้นถือเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่เมืองแห่งนี้ล่มสลายลง เนื่องจากหลังจากเหตุการณ์อันน่าสะพรึงในปี 1221 เมิร์ฟก็ไม่เคยกลับคืนสู่ความสงบสุขหรือความรุ่งเรืองแบบเดิมได้อีกเลย

บัดนี้เมืองที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นศูนย์กลางแห่งวิทยาการและวัฒนธรรม กลับถูกทิ้งให้กลายเป็นซากปรักหักพัง แม้จะมีความพยายามฟื้นฟูเมืองในบางยุคบางสมัย แต่เมิร์ฟก็ยังคงตกอยู่ภายใต้ชะตากรรมของการถูกยึดครอง ปล้นสะดม และทำลายซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยบรรดากองทัพจากภายนอก เช่น พวกติมูร์ (Timurids) ที่ใช้เมืองนี้เป็นเส้นทางเดินทัพ หรือแม้แต่กลุ่มกองกำลังชนเผ่าในเอเชียกลางอย่างชาวอุซเบก ที่มักปล้นชิงทรัพย์สินของชาวเมืองที่พยายามกลับเข้ามาตั้งรกรากใหม่

เมื่อเวลาผ่านไป เส้นทางสายไหมทางบกเริ่มเสื่อมความนิยมลง เมื่อมหาอำนาจตะวันตกเริ่มพัฒนา เส้นทางการค้าทางทะเล ที่สามารถลัดจากยุโรปไปยังเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกได้รวดเร็วกว่า สะดวกกว่า และปลอดภัยกว่า การค้นพบทวีปใหม่และการเดินเรือรอบแหลมกู๊ดโฮปทำให้การขนส่งสินค้าผ่านเอเชียกลางกลายเป็นสิ่งล้าสมัย เมืองเมิร์ฟจึงค่อยๆ สูญเสียบทบาทในฐานะจุดศูนย์กลางของการค้าระหว่างตะวันออกกับตะวันตก และกลายเป็นเพียงเมืองจุดพักคาราวานเล็กๆ ที่ไร้ความสำคัญไปในที่สุด

จุดจบที่แท้จริงของเมิร์ฟมาถึงในปี 1788 เมื่อกองทัพของ อิหม่ามชาห์แห่งบุคฮารา บุกทำลายเมืองและจุดไฟเผาระบบชลประทานอันซับซ้อนที่เคยหล่อเลี้ยงผู้คนมาเป็นพันปี การทำลายล้างครั้งนั้นทำให้เมืองไม่สามารถดำรงชีวิตหรือทำการเกษตรได้อีกต่อไป นับแต่นั้นมาเมิร์ฟก็กลายเป็นนครร้างโดยสมบูรณ์

ทุกวันนี้เมิร์ฟคือ “นครร้างในทะเลทราย” ที่ตั้งอยู่กลางเติร์กเมนิสถาน เป็นหนึ่งในแหล่งมรดกโลกของยูเนสโก ที่บอกเล่าเรื่องราวของมนุษยชาติในด้านที่ทั้งรุ่งเรืองที่สุด และโหดร้ายที่สุดในคราวเดียวกัน เป็นเครื่องเตือนใจว่า แม้เมืองจะเคยยิ่งใหญ่เพียงใด ร่ำรวยเพียงใด หรือเต็มไปด้วยปราชญ์ผู้ทรงภูมิปัญญาเพียงใด แต่ทุกอย่างสิ่งทุกอย่างไม่มีสิ่งใดยั่งยืนถาวรตลอดไป

#TWCHistory #TWCTurkmenistan #TWC_Salmon