ฐานรากของพม่ายุคใหม่ “กลุ่ม 30 สหาย” และการแทรกแซงของญี่ปุ่น
การจะเข้าใจปัญหาของพม่าได้นั้น เราต้องเข้าใจที่มาที่ไปของมันก่อน
พม่าเป็นดินแดนที่รบพุ่งอยู่ตลอดเวลา นอกจากพม่ารบไทยที่เราคุ้นภาพกันดี เพื่อนบ้านของเรายังมีการต่อสู้ภายในอยู่ไม่ขาด
และวันนี้เราจะไปดูเรื่องราวเริ่มต้นของขบวนการกู้ชาติพม่าที่จะเปลี่ยนประเทศไปตลอดกาล โดยความช่วยเหลือของพันธมิตรที่ไม่น่าเชื่อ
…นั่นคือญี่ปุ่น…
ราว 100 ปีก่อน พม่าตกเป็นประเทศอาณานิคมของอังกฤษ แม้จะเศรษฐกิจจะดีขึ้นมาก มีการปลูกข้าว ขุดคลอง และพัฒนาสภาพบ้านเมืองต่างๆ แต่อังกฤษก็สร้างปัญหาภายในไว้มากพอกัน
ตัวอย่างเช่น อังกฤษนำประชาชนจากเขตอาณานิคมอื่นๆ เช่น อินเดีย บังกลาเทศ มาทำมาหากินในพม่า นั่นเป็นการแย่งงานคนท้องถิ่น นอกจากนี้อังกฤษยังขุดทรัพยากรไปมากมาย ยังใช้นโยบายแบ่งแยกและปกครอง ทำให้คนพื้นเมืองแต่ละเผ่าเกลียดกันจนกลายเป็นปัญหาในภายหลัง ทั้งหมดนี้ทำให้คนพม่าเกลียดอังกฤษมาก
นยุคแรกๆ นั้นปัญญาชนชาวพม่าเริ่มรับแนวคิดชาตินิยมจากตะวันตก ทำให้เกิดความคิดจะต่อสู้เรียกร้องเอกราช โดยชูแนวคิดชาตินิยมเป็นแกนหลัก
กลุ่มชาตินิยมกลุ่มแรกมีชื่อว่า “สมาคมชาวพุทธหนุ่ม” (YMBA) ในปี 1906 พวกเขาได้แรงบันดาลใจจากการเห็นพระสงฆ์ที่ขาดองค์อุปถัมภ์เพราะสถาบันกษัตริย์โดนล้ม จึงลุกขึ้นมาประท้วงรัฐบาลอังกฤษ
YMBA ดำเนินการได้สักพัก สมาชิกบางส่วนก็ก่อตั้งกลุ่มใหม่นาม “สมาคมสภาสามัญแห่งพม่า” (GCBA) ช่วงปี 1920 เพื่อเน้นการเคลื่อนไหวทางการเมืองทุกแบบ ไม่ใช่แค่เรื่องศาสนาเท่านั้น ซึ่ง GCBA นี้ เชื่อกันว่าเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดกลุ่ม “เราชาวพม่า” (We Burmans Association หรือ Dobama Asiayone) ในเดือนพฤษภาคม ปี 1930
สมาชิกกลุ่มเราชาวพม่า ส่วนมากเป็นนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยย่างกุ้ง พวกเขาเรียกตัวเองว่า “ตะขิ่น” แปลว่า “เจ้านาย” ซึ่งเป็นคำที่คนทั่วๆ ไปเรียกฝรั่งอังกฤษ ซึ่งต่างกับคนพม่าอื่นๆ ที่แทนตัวว่า“อู” หรือ “หม่อง”
อนึ่งถ้าแปลตรงตัว “อู” แปลว่า “น้าชาย” แต่เอามาเรียกลำลองเหมือน “พี่” เพื่อแสดงความเคารพ เช่น ชายชื่อ นุ ก็เป็น อู นุ ส่วน “หม่อง” นั้นแปลตรงตัวว่า “น้องชาย” นำมาเรียกเหมือนคำว่า “นาย” ไว้เรียกใครก็ได้ (คนไทยบางส่วนจึงเรียกคนพม่าว่า “หม่อง” แทนชื่อตัวไป)
ดังนั้น การที่สมาชิกกลุ่มเราชาวพม่ายกตัวเองเป็น “ตะขิ่น” หรือ เจ้านาย จึงเปรียบว่า พวกเขาถือตัวเป็นนายตัวเอง ไม่จำเป็นต้องนับถือคนอังกฤษให้เหนือกว่าตนอีกต่อไป
กลุ่มเราชาวพม่ามีคำขวัญประจำกลุ่มว่า “พม่าคือประเทศของเรา วรรณกรรมพม่าคือวรรณกรรมของเรา ภาษาพม่าเป็นภาษาของเรา รักประเทศของเรา ยกระดับวรรณกรรมของเรา เคารพภาษาของเรา”
ต่อมาตะขิ่นจำนวน 7 นาย นำโดยชายชื่อ “อองซาน” ซึ่งมีความสามารถโดดเด่น ได้ร่วมก่อตั้ง “พรรคคอมมิวนิสต์พม่า” (CPB) ในเดือนสิงหาคม ปี 1939 เพียงไม่กี่วันก่อนจะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 พรรคนี้เป็นพรรคการเมืองแรกในพม่า มีเป้าหมายคือล้มการปกครองของอังกฤษ
ทั้งนี้พรรคคอมมิวนิสต์พม่าไม่ใช่ส่วนหนึ่งของกลุ่มเราชาวพม่า เพียงแค่มีสมาชิกสำคัญเป็นผู้นำ ตะขิ่นอื่นๆ ใช่ว่าจะนิยมคอมมิวนิสต์หมด และส่วนใหญ่ก็มิได้นิยมสงคราม แต่เมื่อคิดว่าหลีกเลี่ยงการพึ่งพากำลังจากภายนอกไม่ได้ พวกเขาจึงพยายามหาพันธมิตร
…นี่เอง คือจุดเริ่มต้นของคณะ 30 สหาย หรือที่มีคนไทยแปลมาสวยๆ ว่า “คณะตรีทศมิตร”
เรื่องราวของคณะ 30 สหาย กลับเริ่มจากชาวญี่ปุ่นคนหนึ่ง ชื่อ สุซุกิ เคอิจิ
สุซุกิ เป็นสายลับญี่ปุ่นที่มีหน้าที่ขัดขวางกิจกรรมต่างๆ ของทหารฝั่งสัมพันธมิตรในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ช่วงยุค 30s เขาได้มาประจำการที่กรุงเทพฯ เพื่อหาทางแทรกแซงพม่า เป้าหมายสำคัญคือสกัดมิให้ฝ่ายพันธมิตรลำเลียงเสบียงอาวุธไปมาระหว่างอินเดียและจีนโดยง่าย
สุซุกิใช้สร้างเครือข่ายข่าวกรองขึ้นมา ซึ่งต่อมาจะกลายเป็นหน่วยสายลับ “มินามิ คิคัง” หรือ “หน่วยใต้” (มินามิ แปลว่า ใต้ ส่วน คิคัง แปลว่า หน่วย – หมายถึงพม่าที่อยู่ทางใต้ของญี่ปุ่น) เขาได้ติดต่อองค์กรพม่าหลายแห่ง หลักๆ คือพวกตะขิ่นแห่งกลุ่มเราชาวพม่า ที่มีเป้าหมายร่วมกันคือกำจัดอำนาจของอังกฤษในดินแดนนี้
อองซานนั้นตอนแรกมีใจนิยมคอมมิวนิสต์ อยากได้กำลังกองทัพแดงมาช่วยปลดแอกพม่า แต่เคยเดินไปทางไปจีนในปี 1939 เพื่อขอสวามิภักดิ์พรรคคอมมิวนิสต์จีน กลับไม่ได้รับการตอบสนอง แถมยังพบว่าตนต้องติดอยู่ที่เมืองเซียะเหมินนับเดือนเพราะจีนอยู่ในภาวะสงคราม
บางคำให้การบอกว่าอองซานก็ได้สุซุกินี่แหละมาช่วยพาออกไปโตเกียว และให้การสนับสนุนความเป็นอยู่หลายด้าน โดยเฉพาะการศึกษาด้านการเมือง เป็นการซื้อใจอองซานไม่น้อย
ในปี 1940 สุซุกิ ปลอมตัวเดินทางไปพม่าในฐานะนักข่าวของ โยมิอุริ ชิมบุน หนังสือพิมพ์เก่าแก่ของญี่ปุ่น เพื่อร่วมงานกับพวกตะขิ่น แม้จริงๆ จักรวรรดิญี่ปุ่นไม่ได้สนใจความเป็นอยู่หรือเอกราชของพม่า เพียงแค่ต้องการตัดกำลังฝั่งตรงข้ามเท่านั้น แต่ตัวสุซุกิพยายามวิ่งเต้นให้เกิดข้อเสนอให้พวกตะขิ่นมาสวามิภักดิ์ญี่ปุ่นแลกกับการช่วยกู้เอกราช
…หลายคนเชื่อว่าเขา “เป็นห่วงด้วยใจจริง” ต่อกรณีที่ชาติในเอเชียโดนยุโรปยึดครอง…
…และเชื่อว่าอองซานสำนึกบุญคุณของสุซุกิจึงยอมสวามิภักดิ์ญี่ปุ่น แทนจีนอย่างที่ตั้งใจไว้แต่แรก…
ช่วงเดือนเมษายน 1941 ทางการญี่ปุ่นอนุญาตให้ สุซุกิพาอองซาน และตะขิ่นรวม 30 นาย ไปฝึกทหารที่เกาะไหหลำ (ตอนนั้นยังเป็นของญี่ปุ่น) ก่อนย้ายไปเกาะฟอร์โมซา (หรือไต้หวัน ซึ่งตอนนั้นญี่ปุ่นยึดไว้เช่นกัน) เมื่อสงครามทวีความรุนแรงขึ้น
ระหว่างฝึก ตะขิ่นสามสิบนายก็ได้ตั้งนามแฝงของตัวเองขึ้นมาทั้งภาษาญี่ปุ่นและพม่า โดยในภาษาพม่า จะขึ้นต้นด้วยคำว่า “โบ่” ที่แปลว่า “ผู้การ”
เช่น อองซาน ซึ่งขณะนั้นตะขิ่นคนอื่นได้ยกให้เป็นผู้นำกลุ่มเพราะนับถือความสามารถนั้น มีชื่อแฝงว่า “โอโมดะ มอนจิ” และ “โบ่ เทซา” แปลว่า “ผู้การอัคคี”
ภายหลังการฝึกเสร็จสิ้นช่วงปลายปี 1941 ตะขิ่นทั้ง 30 นายและกำลังพลญี่ปุ่นจำนวนหนึ่งก็เดินทางกลับประเทศพม่า โดยผ่านทางเวียดนามและไทย
เมื่อพวกเขามาถึง กรุงเทพฯ เหล่าตะขิ่นได้แวะพักยังบ้านของนายแพทย์ชาวพม่า (ว่ากันว่าอยู่ซอยสวนพลู)
ณ ที่แห่งนั้น พวกเขากรีดเลือดใส่ถ้วยเงิน ก่อนดื่มเพื่อสาบานความจงรักภักดีต่อกัน ตามประเพณีโบราณของพม่า นาม ทเว ทอก (Thway Thauk)
พวกตะขิ่นสัญญาว่าจะร่วมมือกันกอบกู้พม่าจากเงื้อมมือของอังกฤษ เรียกตัวเองเป็น “กลุ่ม 30 สหาย” (Thirty Comrades) และก่อตั้งกองทัพกู้ชาติพม่า (Burma Independence Army หรือ BIA) ขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกัน
เมื่อแรกสุด BIA มีกำลังพลเพียง 300 เศษ เป็นทหารพม่า 227 นาย และทหารญี่ปุ่นอีก 74 นาย แต่เมื่อพวกเขามาตั้งหลักในพม่า ก็ใช้ยี่ห้อ “ญี่ปุ่น” เกลี้ยกล่อมให้คนมาสวามิภักดิ์ได้เป็นอันมาก เพราะคนเชื่อว่ากองทัพญี่ปุ่นมีความสามารถจะล้มอังกฤษได้
พวกเขาร่วมรบกับกองทัพญี่ปุ่นและไทย (ตอนนั้นประกาศตัวเป็นฝั่งอักษะแล้ว) ขับไล่ทัพอังกฤษ ซึ่งประกอบด้วยกองทัพอินเดียและพม่าบางส่วน โดยบุกตีเมืองย่างกุ้งแตกในเดือนมีนาคม 1942 และบุกต่ออย่างไม่หยุดยั้ง จนสามารถขับไล่อังกฤษและชาติพันธมิตรให้ถอยไปตั้งหลักยังอินเดียในเดือนเมษายนปีเดียวกัน
การรบครั้งนี้ มีประชาชนพม่าได้รับผลกระทบมากมาย มีผู้อพยพไปอินเดียถึง 500,000 คน โดยคาดว่าเสียชีวิตระหว่างทางประมาณ 10,000 – 50,000 คน แถมคนที่ไปถึงอินเดียจำนวน 70 – 80% ก็ป่วยเป็นโรคมาลาเรีย อหิวาต์ และอื่นๆ มีความเป็นอยู่ลำบากมาก
สงครามกู้เอกราชสิ้นสุดลงในเดือนพฤษภาคม อองซานได้รับยศนายพล กลายเป็น “นายพลอองซาน” อย่างที่เราเรียกกันในปัจจุบัน ทว่าหลังจากนั้น ญี่ปุ่นกลับยึดอำนาจไว้เองไม่ได้ให้เอกราชกับพม่าเสียที ซึ่งทำให้ กลุ่ม 30 สหายไม่สบายใจ และเจรจากับสุซุกิเพื่อขอแนวทางแก้ไข
…และแล้ว สุซุกิ ก็ได้แนะนำในสิ่งที่เหลือเชื่อผิดวิสัยทหารญี่ปุ่นผู้รักชาติ
…นั่นคือให้พวกตะขิ่นลุกฮือขึ้นต่อต้านทัพญี่ปุ่นแล้วตั้งรัฐบาลขึ้นมาเองเลย! สุซุกิจะร่วมมือด้วย!
ไม่มีใครรู้ว่าทำไมสุซุกิถึงมีความคิด “ทรยศ” ประเทศตัวเองแบบนั้น แม้อองซานเองก็ยังอึนๆ กับสิ่งนี้อยู่ …นักวิชาการวิเคราะห์กันภายหลังว่า อาจเพราะสุซุกิต้องการรวบอำนาจเป็นของตัวเองผ่าน BIA โดยไม่เกี่ยวกับกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่น …บ้างก็ว่าสุซุกิมีความสงสารชาวพม่าจริง และฝันเห็นตัวเองเป็นวีรบุรุษกู้ชาติพม่า
อย่างไรก็ตาม ปฏิบัติการดังกล่าวไม่เคยเกิดขึ้น กองทัพญี่ปุ่นระแคะระคาย จึงเรียกตัวสุซุกิกลับโตเกียว เหลือเพียงอองซานเป็นผู้นำหลักของ BIA (BIA แม้มีกำลังมาก แต่ไม่ใช่กองทัพหลักที่ปกครองพม่า กองทัพที่ปกครองพม่าในตอนนั้นคือกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่น)
ในช่วงนั้นอองซานได้นำ BIA ปะทะกับชนกลุ่มน้อยที่เชื่อว่ายังภักดีต่ออังกฤษ (เพราะอังกฤษเคยดูแลดีตามนโยบายแบ่งแยกแล้วปกครอง) มีกรณีที่พวกเขาบุกทำลายหมู่บ้านกะเหรี่ยง ฆ่าผู้อยู่อาศัยทุกคนไม่เว้นผู้หญิงและเด็ก โดยใช้ดาบปลายปืนสังหารเช่นเดียวกับที่พวกญี่ปุ่นนิยม นับว่าเป็นการกระทำที่โหดร้าย
นักวิชาการฝ่ายหนึ่งมองว่ามันเป็นการล้างแค้นพวกที่อองซานเห็นว่ามาขัดขวางการกู้ชาติของพม่า แต่นักวิชาการอีกฝ่ายหนึ่งมองว่า ตอนนั้นสถานการณ์วุ่นวาย หากใครต้องสงสัยว่าจะเป็นสายของอังกฤษ ก็ต้องเชือดไก่ให้ลิงดู คนจะได้ไม่ทำเป็นเยี่ยงอย่าง
แน่นอนว่าไม่ใช่แค่รัฐกะเหรี่ยงที่โดนแบบนี้ เพราะรัฐใดก็ตามที่อังกฤษยังมีกำลังอยู่ เช่น ยะไข่ ก็จะโดนญี่ปุ่นและ BIA บุกตีเช่นกัน
…ซึ่งมันจะเป็นหนึ่งในชนวนที่ทำให้เกิดสงครามยืดเยื้อระหว่างชนเผ่าต่างๆ ในพม่ามาจนถึงปัจจุบัน
1 สิงหาคม 1943 รัฐบาลญี่ปุ่นยอมมอบเอกราชแก่พม่า โดยมีข้อบังคับว่า ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของญี่ปุ่นตลอดที่ยังมีสงคราม และพม่าต้องเป็นศัตรูกับฝ่ายสัมพันธมิตร โดยญี่ปุ่นจะตั้งผู้นำประเทศเอง ได้แก่ดอกเตอร์ บะ ม่อ ซึ่งเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีคนแรกของพม่าในช่วงการปกครองของอังกฤษ
บะ ม่อ มีบิดาเป็นชาวม้ง ซึ่งเคยเป็นผู้ช่วยราชครูประจำราชวงศ์คองบอง (ราชวงศ์สุดท้ายของพม่าก่อนโดนอังกฤษโค่น) เขาได้รับการศึกษาสูง เรียนจบวุฒิกฎหมายจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ที่อังกฤษ แต่กระนั้นเขาก็สนับสนุนให้พม่าแยกตัวออกมาจากประเทศเจ้าอาณานิคม
บะ ม่อ รับหน้าที่เป็นรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการและสาธารณสุข ก่อนจะได้รับเลือกเป็นตัวแทนของพรรคคนจน (Poor Man’s Party) ไปชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในปี 1937
แม้เขาจะได้เป็นนายกฯ แต่กลับลอบสนับสนุนขบวนการชาตินิยม Freedom Bloc ทำให้โดนจับขังคุกไปในปี 1940 จนกระทั่งได้รับการปลดปล่อยเมื่อ BIA และกองทัพญี่ปุ่นยกมาปลดแอกนั่นแหละ
เชื่อว่าการที่ญี่ปุ่นตั้ง บะ ม่อ เป็นผู้นำประเทศ แทนที่จะเป็น อองซาน เป็นเพราะยังไม่ไว้ใจพวกตะขิ่น 100%
แม้นายพลอองซานจะได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีกลาโหม คุมกำลังทหารทั้งหมด และคนอื่นๆ ในคณะ 30 สหายก็ได้รับตำแหน่งสำคัญในรัฐบาล แต่พวกเขาก็ยังไม่พอใจที่ญี่ปุ่นทำตัวกลับกลอก เลยวางแผนจะขับญี่ปุ่นให้พ้นจากประเทศเสีย
อองซานเริ่มกลับมายึดอุดมการณ์คอมมิวนิสต์ใหม่ เขาเจรจากับผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์สายแข็งที่เคยร่วมก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์พม่ามากับเขา รวมกับผู้นำสายสังคมนิยมหลายคน ก่อตั้งเป็น “องค์กรต้านฟาสซิสต์” (AFO) ในเดือนสิงหาคม 1944 ซึ่งต่อมาก็เปลี่ยนชื่อเป็น สันนิบาตต่อต้านฟาสซิสต์เพื่อเสรีชน (AFPFL) ซึ่งฟาสซิสต์ในที่นี้ หมายถึงพวกญี่ปุ่นนั่นเอง
นายพลอองซานดำเนินการต่อต้านญี่ปุ่นอย่างลับๆ อารมณ์เดียวกันกับเสรีไทย เขาลอบติดต่อฝ่ายสัมพันธมิตร และประสานงานกับพรรคการเมืองต่างๆ ในพม่า แอบสะสมเสบียงอาวุธไว้ รอคอยเวลาอันเหมาะสม…
ปลายเดือนมีนาคมปี 1945 ฝ่ายสัมพันธมิตรได้กรีฑาทัพบุกกรุงย่างกุ้ง ญี่ปุ่นจึงสั่งให้อองซานนำทัพพม่าออกรับมือ แต่ อองซาน เห็นว่าอย่างไรญี่ปุ่นและฝ่ายอักษะต้องแพ้สงครามแน่แล้ว จึงแปรพักตร์ ประกาศตัวเป็นศัตรูกับญี่ปุ่นอย่างเปิดเผย และปลุกระดมประชาชนให้ลุกฮือต่อต้านญี่ปุ่นทั่วประเทศ
อองซานเจรจาเข้าร่วมฝั่งสัมพันธมิตรอย่างเป็นทางการในชื่อ “กองกำลังพม่ารักชาติ” (PBF) เขารบได้เพียงสองเดือนก็ตีพวกญี่ปุ่นล่าถอยออกจากพม่าไปจนหมด
สงครามโลกครั้งที่ 2 จบลงอย่างเป็นทางการในวันที่ 12 กันยายน 1945 ด้วยความพ่ายแพ้ของญี่ปุ่น
อังกฤษกลับเข้ามาปกครองพม่าเป็นเมืองขึ้นเหมือนเดิม และสั่งปลดอาวุธพวก PBF จนหมด ทำให้อองซานแอบวางแผนสร้างอีกกองกำลังไว้ต้านอังกฤษในนาม “องค์กรประชาชนอาสา (PVO)” ซึ่งขึ้นตรงกับตัวอองซานเอง
จากนั้นนายพลอองซานก็ยอมเสียสละ วางแผนให้ตัวเองถูกอังกฤษจับ เพื่อเป็นการปลุกระดมให้ประชาชนทั่วประเทศลุกฮือขึ้นต้านผู้ปกครอง (ตอนนั้นชาวพม่ารักอองซานมาก) แต่ยังไม่ทันจะเกิดความรุนแรง อังกฤษก็ยอมเจรจาเรื่องเอกราช และยอมตั้งนายพลอองซานขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 5 ของอาณานิคมพม่าในวันที่ 28 กันยายน 1946
…พม่าใกล้จะได้เอกราชจริงๆ เต็มที…
…ทุกอย่างดูจะผ่านไปด้วยดี
…แต่ก็เช่นในอดีตที่ผ่านมา ความสงบของพม่าเป็นเพียงของชั่วคราว
…เรื่องราวมันเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้นเอง…
0 Comment