“ทะเลอารัล” (Aral Sea) ทะเลปิดที่เคยมีขนาดใหญ่เป็นลำดับที่ 4 ของโลก ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากมาย จากผืนน้ำทะเลที่อุดมสมบูรณ์กลายเป็นผืนทะเลทรายที่แห้งแล้ง ซึ่งเป็นผลมาจากความผิดพลาดของสหภาพโซเวียต

ในอดีต ทะเลอารัลเป็นทะเลปิดน้ำเค็มในภูมิภาคเอเชียกลางที่มีพื้นที่กว่า 68,900 ตารางกิโลเมตร ตั้งอยู่ระหว่างประเทศคาซัคสถานและอุซเบกิสถาน

ทะเลอารัลมีชื่อเรียกอีกชื่อว่า “ทะเลแห่งเกาะ” เนื่องจากคำว่า อารัล (Aral) แปลว่า เกาะ แต่เดิมอุตสาหกรรมประมงในบริเวณทะเลอารัลมีความเจริญรุ่งเรือง เคยมีการจ้างงานกว่า 40,000 ตำแหน่ง และจับปลาได้มากถึง 1 ใน 6 ของปลาทั้งหมดที่จับได้ในสหภาพโซเวียต

แม่น้ำสองสายซึ่งหล่อเลี้ยงทะเลอารัลเอาไว้ ได้แก่แม่น้ำอามูดาร์ยา (Amu Darya) ทางตอนใต้ และแม่น้ำซีร์ดาร์ยา (Syr Darya) ทางตะวันออกเฉียงเหนือที่รับน้ำมาจากเทือกเขาปามีร์ทางตะวันตกเฉียงใต้ของทาจิกิสถานและเทือกเขาเทียนซาน ชายแดนระหว่างจีนและคีร์กีซสถาน

แต่ด้วยนโยบายของสหภาพโซเวียตที่ต้องการปลูกฝ้าย หรือ “ทองคำสีขาว” สินค้าส่งออกที่สำคัญของประเทศ รวมไปถึงข้าว, ข้าวสาลี, และผลผลิตทางการเกษตรอื่นๆ อีกมากมายในพื้นที่เอเชียกลาง จึงได้ทำโครงการสร้างคลองชลประทานเพื่อผันน้ำจากแม่น้ำอามูดาร์ยาและซีร์ดาร์ยาไปหล่อเลี้ยงพื้นที่เพาะปลูก

การก่อสร้างคลองชลประทานของโซเวียตประสบความสำเร็จในการนำน้ำไปปลูกฝ้าย จนทำให้เพิ่มผลผลิตฝ้ายได้เกือบสองเท่า แต่คลองหลายสายถูกสร้างไม่ดี น้ำที่ส่งไปตามคลองจึงรั่วซึมและระเหยออกไปอย่างรวดเร็ว ประกอบกับการใช้น้ำปริมาณมากจากแม่น้ำทั้งสองสาย จึงทำให้ปริมาณในแม่น้ำที่ไหลสู่ทะเลอารัลลดน้อยลงเรื่อยๆ และเริ่มส่งผลกระทบต่อขนาดของทะเลอารัล

ทะเลอารัลเริ่มเหือดแห้งลงเรื่อยๆ ตั้งแต่ปี 1960 และส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่ออุตสาหกรรมประมง ซึ่งเคยเป็นอุตสาหกรรมที่สร้างงานและรายได้หลักให้กับผู้คนในพื้นที่ เพราะความเค็มของน้ำทะเลที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากการขาดน้ำจืดที่เคยไหลสู่ทะเล ส่งผลให้สัตว์น้ำ พืช และสิ่งมีชีวิตบริเวณใกล้เคียงทยอยล้มตายและสูญหายไปจากทะเล

พื้นดินที่แห้งเหือดของทะเลอารัลยังปกคลุมไปด้วยเกลือและสารพิษตกค้างที่มาจากยาฆ่าแมลงที่ใช้ในการเกษตรกรรม เนื่องจากการปลูกพืชในสมัยก่อนจะเป็นการปลูกพืชเชิงเดี่ยว ซึ่งปลูกพืชชนิดเดียวแบบซ้ำ ๆ ในที่เดิม โดยไม่มีการปลูกพืชหมุนเวียน จึงต้องใช้ยาฆ่าแมลงปริมาณมาก น้ำที่ชะล้างสารเคมีจากแหล่งเพาะปลูกก็ได้ไหลมารวมอยู่ที่ทะเลอารัล

และจากพื้นดินเค็มจัดจนไม่สามารถจะทำการเกษตรและไม่สามารถเป็นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิต ประกอบกับสารพิษตกค้าง ได้ส่งผลกระทบต่อปัญหาสุขภาพของผู้คนที่อยู่อาศัยบริเวณโดยรอบทะเลอารัลเป็นอย่างมาก

หากรัฐบาลกลางของโซเวียตที่เครมลินกลับมุ่งสนใจที่ผลผลิตฝ้ายทั้งปริมาณและราคา จนไม่ยอมรับรู้หรือใส่ใจกับปัญหานี้ แม้ว่าชาวบ้านจะปักไม้บนพื้นทะเลเดิมเพื่อเป็นร่องรอยการหายไปของทะเล แต่ก็ไม่มีผลทำให้รัฐบาลโซเวียตเข้ามาจัดการปัญหาแต่อย่างใด

ต่อมาในช่วงทศวรรษ 1980 แม่น้ำสายใหญ่ทั้งสองสาย คือ แม่น้ำอามูดาร์ยาและซีร์ดาร์ยาในช่วงฤดูร้อน แทบจะแห้งเหือดก่อนที่จะไหลลงสู่ทะเลสาบ จนทำให้ทะเลอารัลที่เคยเป็นผืนน้ำก้อนเดียวกันถูกแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ ทะเลอารัลเหนือ, ทะเลอารัลใต้ส่วนตะวันออก, และทะเลอารัลใต้ส่วนตะวันตก

สถานการณ์ของทะเลอารัลย่ำแย่ลงไปเรื่อยๆ โดยในปี 2004 ทะเลอารัลลดขนาดลงเหลือเพียง 25% ของทะเลอารัลในอดีต และในปี 2007 ทะเลอารัลลดขนาดลงเหลือเพียง 10% ซึ่งทำให้ค่าความเค็มในน้ำเพิ่มขึ้นถึง 5 เท่า

พื้นที่ทะเลอารัลกลายเป็นทะเลทรายอารัลคัม ทะเลทรายแห่งใหม่ของโลกที่เต็มไปด้วยมลพิษซึ่งเกิดขึ้นจากฝีมือมนุษย์ ชุมชนในพื้นที่ต้องเผชิญกับพายุทรายและฝุ่นเป็นเวลายาวนานถึง 3 เดือน โดยที่พวกเขาได้แต่รอคอยการฟื้นฟูทะเลแห่งนี้ให้กลับคืนมา

ความพยายามในการฟื้นฟูทะเลอารัลอย่างเป็นรูปธรรมได้เกิดขึ้นหลังจากสหภาพโซเวียตล่มสลายในปี 1991 และประเทศในเอเชียกลางทั้ง 5 ประเทศ คือ คาซัคสถาน อุซเบกิสถาน เติร์กเมนิสถาน คีร์กีซสถาน และทาจิกิสถาน ได้ร่วมกันตั้งคณะกรรมการระหว่างประเทศเพื่อร่วมมือกันบริหารจัดการน้ำของเอเชียกลาง หรือ Interstate Commission for water Coordination of Central Asia และได้จัดตั้งกองทุนระหว่างประเทศเพื่อฟื้นฟูทะเลอารัล หรือ International Fund for Saving Aral Sea : IFSA ในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 1992

และในเดือนตุลาคม ปี 2003 รัฐบาลคาซัคสถานได้สร้าง “เขื่อนโกคาราล” (Dike Kokaral) เพื่อกั้นทะเลอารัลทางเหนือ โดยได้รับความช่วยเหลือด้านเงินกู้จากธนาคารโลกจำนวน 86 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และสร้างเสร็จเมื่อเดือนสิงหาคม ปี 2005 จากการสร้างเขื่อนดังกล่าวส่งผลให้ระดับน้ำทะเลอารัลเหนือสูงขึ้น ความเค็มของน้ำลดลง และจำนวนปลาต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้น

ขณะที่ทะเลอารัลใต้ยังคงถูกละเลยจากรัฐบาลอุซเบกิสถาน เพราะแม้ว่าธนาคารโลกจะดำเนินโครงการฟื้นฟูทะเลอารัลใต้ ​​แต่ก็ประสบความสำเร็จน้อยกว่า เพราะอุปสรรคหลัก คือ อุซเบกิสถานยังคงต้องการน้ำจากแม่น้ำอามูดาร์ยาในใช้ในการปลูกฝ้าย มากกว่าการส่งน้ำไปที่ทะเลอารัล

หากทั้งสองประเทศยังมีความพยายามพื้นที่บริเวณทะเลอารัลและพื้นที่โดยรอบด้วยหลายวิธีด้วยกัน ไม่ว่าจะการปรับปรุงคุณภาพของคลองทดน้ำให้ดีขึ้น หรือการทดน้ำจากแม่น้ำโวลก้า, อ็อบ, ไอร์ติช, และทะเลแคสเปียนที่อยู่ใกล้เคียง เพื่อทำให้ระดับน้ำเพิ่มขึ้น รวมไปถึงการพัฒนาผืนดินโดยการปลูกพืชที่ช่วยลดความเค็มในดิน ซึ่งส่งผลให้ระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้น

นี่คือผลกระทบจากความผิดพลาดของสหภาพโซเวียตที่เข้าไปเปลี่ยนแปลงวิถีแห่งธรรมชาติเพื่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ โดยมิได้ตระหนักถึงผลกระทบในอนาคตที่ร้ายแรงยิ่งกว่าเม็ดเงินที่ได้มา ซึ่งการกระทำของโซเวียตทำให้เราตระหนักได้ว่า มนุษย์และธรรมชาติต้องอยู่อาศัยอย่างเกื้อกูล มิใช่ไปสูบเลือดสูบเนื้อจากธรรมชาติจนเป็นการทำลายล้างโลกใบนี้

คุณคิดว่า ทำไมสหภาพโซเวียตทิ้งปัญหานี้เอาไว้โดยไม่ได้แก้ไข และทะเลอารัลจะสามารถถูกฟื้นฟูให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้หรือไม่?

#TWCHistory #TWCUzbekistan #TWCKazakhstan #TWC_Rama