ปัจจุบันเกาหลีเหนือแทบจะเป็นประเทศเดียวที่ยังใช้ระบบเศรษฐกิจแบบคอมมิวนิสต์

บทความนี้ผมจะอธิบายว่าระบบเศรษฐกิจดังกล่าวเป็นอย่างไร ก่อให้เกิดอะไรขึ้น และในตอนท้ายของบทความจะพูดถึง “โสเภณี” หรือธุรกิจบริการทางเพศที่มีอยู่ในเกาหลีเหนือด้วย

หากคุณได้มาเปียงยาง (เมืองหลวงของเกาหลีเหนือ) คุณจะพบว่าสิ่งก่อสร้างที่นี่ทุกอย่างช่างใหญ่โต สวยงาม จนคล้ายอยู่ในแดนเทพนิยาย

และตามถนนหนทางของเปียงยาง มักมีกลุ่มคนโบกธง ทำดนตรี ร้องเพลงปลุกใจให้ประชาชนทำงานหนักยิ่งขึ้นไปอีก

สองเรื่องนี้แม้มาจากคนละมุมมอง แต่ทั้งสองเรื่องนี้แหละคือหัวใจสำคัญของระบอบคอมมิวนิสต์

เกาหลีเหนือไม่มีภาคเอกชน นั่นแปลว่าผู้ใหญ่วัยทำงานทุกคนล้วนเป็น “ข้าราชการ”

ระบบเศรษฐกิจแบบคอมมิวนิสต์กำหนดให้คนทั้งหมดอยู่ภายใต้องค์กรเดียว ร่วมรังสรรค์สิ่งยิ่งใหญ่ สร้างอะไรได้ก็นำมาแบ่งปันกัน

ในลักษณะนี้ทุกคนจะเข้าถึงแหล่งทรัพยากรของประเทศอย่างเท่าเทียม มีความมั่งคัง ปราศจากความยากลำบาก (เทียบกับระบบทุนนิยมที่เอื้อให้กลุ่มคนร่ำรวยสะสมสมบัติจนรวยขึ้นๆ กดขี่กลุ่มคนด้อยโอกาสให้จนลงๆ)

ที่เกาหลีเหนือไม่มีกษัตริย์ แต่มี “พระราชวัง” มากมาย

ประเด็นคืออะไรที่เป็นสมบัติสาธารณะจะถูกสร้างให้ใหญ่โตสวยงาม และถูกเรียกเป็นพระราชวังของประชาชน

ดังนี้ประชาชนคนหนึ่งไม่จำเป็นต้องมีสมบัติส่วนตัวมากนัก เพราะเขาสามารถเข้าไปใช้บริการสมบัติสาธารณะอันยิ่งใหญ่ เป็นเจ้าของพระราชวังทั้งนั้นร่วมกับคนอื่น นี่ไม่นับสวัสดิการการแพทย์ การศึกษา ที่อยู่อาศัย การเดินทาง และของถูกของฟรีอื่นๆอีกมากมาย

อะไรนะ? เจ้าพวกทุนนิยมกระฎุมพีบอกว่าการขาดการแข่งขันและแรงจูงใจในการเพิ่มทรัพย์สินส่วนตัว จะทำให้ผู้คนทำงานอย่างไร้ประสิทธิภาพเหรอ? หึหึ ระบบคอมมิวนิสต์ได้เตรียมวิธีการอันชาญฉลาดในการป้องกันปัญหานั้นไว้แล้ว

นั่นคือวงดนตรีปลุกใจให้ทุกคนทำงานหนักขึ้นไงล่ะ! เอ้า ทำงานเข้าไป ฮุยเลฮุย! เอ้า! ฮุยเลฮุย!

ตั้งแต่อดีตเกาหลีเหนือมีวิธีกระจายทรัพยากรอยู่สามอย่าง ได้แก่

1. กระจายด้วย “ของขวัญจากท่านผู้นำ” ของขวัญนั้นเป็นได้ตั้งแต่ แอปเปิล, ยาสีฟัน ไปจนถึงทีวี ล้วนเป็นความเมตตาปรารถนาดีที่ท่านผู้นำประทานให้เรื่อยๆ

2. กระจายด้วย “ระบบคูปอง” คือรัฐบาลกลางจะปันทรัพยากรให้หน่วยปกครองท้องถิ่นนำไปเก็บไว้ หน่วยปกครองท้องถิ่นจะแจกคูปองให้ประชาชนนำมาแลกของต่างๆ ตามที่มีในคลัง

ในทางปฏิบัติ ผู้มีอำนาจในหน่วยปกครองท้องถิ่น สามารถเพิ่มจำนวนคูปองให้กับคนที่สร้างผลงานโดดเด่น หรือให้มีสิทธิ “เลือกของก่อน”

ลองจินตนาการว่ามีทีวีห้าสิบเครื่องไปถึงเมืองของคุณ แต่ประชาชนร้อยครอบครัวอยากได้ทีวีกันทุกคน ดังนี้ก็ต้องมีบางคนได้ บางคนยอมรอลอตต่อไป

ระบบคูปองนี้เคยถูกใช้กับการกระจายทรัพยากรส่วนใหญ่ของประเทศ แต่เนื่องจากมันเปิดช่องโหว่ให้หน่วยปกครองมีอำนาจมากเกินไป ดังนั้นจึงค่อยๆ ถูกเลิกใช้ในยุค 90s และเปลี่ยนเป็นการกระจายแบบที่ 3. หรือ “เงินตรา”

ปัจจุบันชาวเกาหลีเหนือจะได้รับเงินเดือนจากรัฐบาลตามระดับชั้น และผลงานของตน พวกเขาสามารถนำเงินเหล่านั้นไปจับจ่ายใช้สอยในร้านค้า และห้างสรรพสินค้าของรัฐบาล

ของส่วนใหญ่ผลิตจากโรงงานรัฐบาลไม่กี่แห่ง จึงมีแบบให้เลือกไม่มาก แต่รัฐบาลแก้ปัญหานั้นโดยนำเข้าของจากจีนและประเทศอื่นๆ เพิ่มขึ้น

ในลักษณะนี้ชาวเกาหลีเหนือจึงมีความสุขด้วยสวัสดิการการแพทย์ฟรี, การศึกษาฟรี, สามารถเข้าถึงสมบัติสาธารณะใหญ่โต, ได้รับการทรัพย์สินจากท่านผู้นำ ทั้งยังมีเงินตราไปจับจ่ายใช้สอยสิ่งต่างๆ ตามที่ชอบด้วย

ระบบเศรษฐกิจดังกล่าวน่าจะทำให้เกาหลีเหนือร่ำรวยมาก
…แปลกที่แม้เปียงยางมีสิ่งก่อสร้างใหญ่ๆ มากมาย แต่หากออกนอกเมืองเพียงเล็กน้อยก็จะพบว่า จริงๆ แล้วเปียงยางเป็นเมืองเล็ก ล้อมรอบด้วยป่า

…ถนนใหญ่แทบไม่มีรถ …ฟุตบาทกว้างแทบไม่มีคนเดิน …พระราชวังใหญ่โตทั้งหลาย แทบไม่มีคนใช้

และพอออกนอกเปียงยางแล้ว …ก็ไม่มีอะไรอย่างเปียงยางอีก

ระบบเศรษฐกิจคอมมิวนิสต์ แม้ยอดเยี่ยมในทางทฤษฎี แต่ไม่อาจสร้างความมั่งคั่งได้เสมอเหมือนระบบทุนนิยม ที่เน้นให้คนแข่งขันกันพัฒนาด้วยแรงบันดาลใจจากความโลภ ความเห็นแก่ตัว มากกว่าเสียงดนตรีปลุกใจให้รักระบอบ

เรื่องนี้ทำให้ประเทศคอมมิวนิสต์หลายประเทศรวมทั้งจีน และรัสเซีย หันไปใช้ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมแทน ยังเหลือเพียงเกาหลีเหนือที่รักษาอุดมการณ์ไว้ได้

“ระบบทุนนิยมเหมือนปีศาจที่ยกย่องคนรวย เหยียบย่ำคนจน ต่อให้ประเทศเราไม่ร่ำรวยเหมือนพวกทุนนิยม แต่ทุกคนยังมีสิทธิเท่าเทียมกัน ไม่มีใครถูกเหยียบย่ำ เราต้องป้องกันตัวไม่ให้แนวคิดทุนนิยมเข้ามาทำลายสิ่งนี้!”

…ดังนั้นเกาหลีเหนือจึงปิดประเทศ ไม่ให้ประชาชนรับรู้ข่าวสารจากภายนอกอีก…

…และสร้างเปียงยางจนใหญ่โตสวยงาม เพื่อประกาศให้ตนเอง และโลกรู้ว่า ระบบคอมมิวนิสต์สามารถทำให้ประเทศมั่งคั่งได้อย่างไร

ปัญหาคือต่อให้ปิดประเทศแค่ไหน ก็จะมีข่าวสารเล็ดลอดเข้ามาอยู่ดี รัฐบาลจึงจำเป็นต้องใช้ผู้ภักดีจำนวนมากมาช่วยสอดส่องไม่ให้ประชาชนคิดกบฏ

ผู้ภักดีเหล่านี้ย่อมต้องได้ทรัพยากรมากเป็นพิเศษ

เกาหลีเหนือมีสวัสดิการการแพทย์การศึกษาฟรีให้แก่ประชาชนทุกคนก็จริง แต่สวัสดิการเหล่านั้นแบ่งคุณภาพเป็นสามระดับ

ยิ่งประชาชนสามารถพิสูจน์ตนเองว่า “ภักดี” ต่อระบอบมากเท่าใด ก็จะยิ่งเข้าถึงสวัสดิการชั้นที่ดีขึ้น สามารถมาอาศัยอยู่ในเมืองที่ดีขึ้น โดยมีเปียงยางเป็นเมืองที่ดีที่สุด สำหรับประชาชนกลุ่มที่ “ภักดี” ที่สุด

เพื่อป้องกันไม่ให้แนวคิดภายนอกเข้ามาสร้างระบบชนชั้นในประเทศ จึงต้องสร้างระบบชนชั้นอีกแบบมาป้องกัน…

ยุค 90s เกาหลีเหนือเกิดทุพภิกขภัยครั้งใหญ่ ประชาชนอดอยากล้มตายนับล้าน และพวกเขาไม่เคยฟื้นตัวจากสิ่งนั้น

ที่นี่แม้กระทั่งการถ่ายรูปความยากจนออกไปก็เป็นเรื่องผิดกฎหมาย แต่ความยากจนก็มีอยู่ทุกหนทุกแห่ง…

…และนี่คือที่มาของซ่อง…

ตามคำให้การของผู้หลบหนีออกจากประเทศ มีหญิงเกาหลีเหนือมากมายต้องออกขายบริการทางเพศ เพื่อดิ้นรนจากการอดตาย

โสเภณีเกาหลีเหนือมีสองแบบ

1. “โสเภณีสถานีรถไฟ” พวกนี้เป็นโสเภณีชั้นสูงสุด มักใช้สถานีรถไฟเป็นย่านโคมแดง เมื่อตกลงราคากับลูกค้าได้แล้วก็จะพากันไปมีเซ็กส์ที่บ้าน โสเภณีพวกนี้มักเป็นหญิงสาวอายุไม่ถึงสามสิบ

2. “โสเภณีตลาดมืด” เนื่องจากทรัพยากรที่รัฐบาลกระจายมามักไม่เพียงพอ ชาวเกาเหลีเหนือจึงเปิดตลาดมืดมากมายค้าขายกันเอง โสเภณีตลาดมืดก็คือแม่ค้าที่ขายของอยู่นั่นแหละ เพียงแต่ขายเซ็กส์ด้วยเป็นรายได้เสริม

พวกนี้มักมีอายุ 30-40 ปี เป็นแม่บ้านแต่งงานแล้ว แต่ออกหากินเพื่อความอยู่รอด พวกเธอมักเรียกค่าจ้างถูกกว่าโสเภณีสถานีรถไฟมาก และหลายกรณีต้องยอมมีเซ็กส์กับผู้มีอิทธิพลที่ดูแลตลาดมืด เพื่อแลกสิทธิในการเข้าไปขายของ

โทษของการถูกจับได้ว่าซื้อขายบริการทางเพศ คือการเข้าคุกแรงงานอย่างน้อยสองปี แต่สิ่งนี้ยังทำกันแพร่หลายทั้งในหมู่เจ้าหน้าที่ และประชาชน

มองอีกแง่หนึ่งธุรกิจเซ็กส์อาจถือเป็น “ภาคเอกชน” ที่ใหญ่ที่สุดที่แฝงตัวอยู่ในประเทศนี้ก็ได้

ที่เปียงยางมีโรงแรมแห่งหนึ่งชื่อ รยูกย็อง มันถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1987 โดยหวังจะให้เป็นโรงแรมที่สูงที่สุดในโลก แต่เพราะใช้วัสดุไม่ดีในการสร้าง มันจึงไม่เคยใช้งานจริงได้เลย

เนื่องจากมันเป็นโปรเจคที่รัฐบาลทำไม่สำเร็จ จึงไม่มีชาวเกาหลีเหนือคนไหนกล้าพูดถึงโรงแรมนี้ แม้ว่ามันจะตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางกรุงก็ตาม

ปัจจุบันรัฐบาลเอาโรงแรมมาติดกระจกให้สวยๆ ใช้ยิงไฟตอนกลางคืนให้เหมือนกับเป็นอนุสาวรีย์ขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง โดยที่ไม่ทราบว่าจะสามารถแก้ไขโครงสร้างภายใน ให้เข้าใช้ได้หรือไม่ เมื่อใด

…บางทีประเทศเกาหลีเหนือก็อาจเป็นเหมือนโรงแรมแห่งนี้นั่นเอง