ในช่วงสีจิ้นผิงขึ้นเป็นเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนใหม่ๆ ประมาณปี 2012 นั้น มีชายคนหนึ่งชื่อป๋อซีไหลเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงในพรรคคอมมิวนิสต์ ถึงขั้นมีคำกล่าวที่ว่า “หากสีไม่ได้เป็นผู้นำ ก็คงเป็นป๋อซีไหลนี่แหละ”

แต่ไปๆ มาๆ ก่อนสีเข้ารับตำแหน่ง เขาก็ถูกริบยศและตำแหน่งทั้งหมด และถูกจำคุกในอีก 1 ปีถัดมา กลายเป็น “ดาวดับ” ในทันทีจากกรณีอื้อฉาว ท่ามกลางข้อครหาว่าเป็นการ “กวาดล้าง” ภายในพรรคเพราะมีคนคิดชิงอำนาจสี

บทความนี้จะพาไปดูประวัติของชายคนนี้ ตั้งแต่บุญพาวาสนาส่งเกือบได้ไปอยู่ ณ จุดสูงสุดของอำนาจ จนถึงวันที่ขัดแย้งกับ “ท่านผู้นำ” จนหมดอนาคตกันครับ

ชีวิตวัยเยาว์ที่ผันผวน

“ป๋อซีไหล” เกิดเมื่อปี 1949 เป็นบุตรของผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่มีชื่อเสียงนาม “ป๋ออี้โป” ซึ่งมีตำแหน่งสูง

ป๋ออี้โปเคยเป็นถึง 1 ใน 8 ผู้อาวุโส (Great Eminent Officials) ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่ร่วมรบกับเหมาเจ๋อตงมาก่อน และเคยเป็นรัฐมนตรีคลังในช่วงตั้งประเทศใหม่ๆ

แต่ป๋ออี้โปกลับเสียตำแหน่งในปี 1965 หลังขัดแย้งกับผู้นำคนอื่นในเรื่องนโยบายเปิดรับชาติตะวันตก ส่วนแม่ป๋อซีไหลถูกพวกเรดการ์ดพาตัวไปและเสียชีวิตในที่สุด …ถ้าไม่ใช่ฆ่าตัวตายก็คือถูกเรดการ์ดทำร้ายจนตาย

ในช่วงการปฏิวัติวัฒนธรรม ป๋อซีไหลวัย 17 ปียังเรียนอยู่ในโรงเรียนมัธยมที่มีชื่อเสียงในกรุงปักกิ่ง เขาถูกตีตราว่าเป็น “พวกต้านการปฏิวัติ” ตามพ่อ

ป๋อซีไหลถูกจับเข้าคุกนานถึง 5 ปี จนเมื่อเหมาเสียชีวิตจึงได้รับการปล่อยตัว เขาทำงานในโรงงานซ่อมฮาร์ดแวร์ในปักกิ่ง

จากนั้นป๋อซีไหลเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยปักกิ่ง และได้มีโอกาสเข้าร่วมพรรคคอมมิวนิสต์จีนอีกครั้งในปี 1980

…ดูตามนี้แล้ว ดราม่าในวัยเด็กของเขาไม่ต่างจากสีจิ้นผิงนัก…

นายกฯ เล็กไกลปืนเที่ยง

ตระกูลป๋อเริ่มมีอิทธิพลทางการเมืองอีกครั้ง เพราะป๋ออี้โปพ่อของเขาได้กลับมาได้เป็นรองนายกรัฐมนตรี และมีบทบาทในการปฏิรูปเศรษฐกิจในสมัยเติ้งเสี่ยวผิง

ป๋ออี้โปช่วยกรุยทางให้แก่เจียงเจ๋อหมินในการสืบทอดตำแหน่งเลขาธิการพรรค ซึ่งทำให้เขาและลูกชายเติบโตในหน้าที่การงานตามไปด้วย

ป๋อซีไหลได้รับแต่งตั้งเป็นรองเลขาธิการพรรคประจำเทศบาลจิน (ปัจจุบันคือเขตจินโจว เมืองต้าเหลียน มณฑลเหลียวหนิง)

ต่อมาได้เลื่อนตำแหน่งจนเป็นเลขาธิการพรรคในเขตจินโจวซึ่งเป็นแหล่งเศรษฐกิจสำคัญแห่งหนึ่งของประเทศ จนได้เป็นนายกเทศมนตรีเมืองต้าเหลียนในปี 1993 รวมเวลาไต่เต้า 13 ปี

ผลงานในฐานะนายกเทศมนตรีต้าเหลียนได้แก่ การพัฒนาเมืองให้กลายเป็นมหานครที่มีความทันสมัยจนได้ฉายาเป็น “ฮ่องกงแห่งภาคเหนือ” จากการสร้างทางด่วนขนาดใหญ่, ทำโครงการโครงสร้างพื้นฐานและงานสิ่งแวดล้อมต่างๆ

ทว่าถึงเขาจะทำให้ดินแดนในปกครองเจริญรุ่งเรืองขึ้นเป็นอันมาก แต่ก็ถูกวิจารณ์อยู่เหมือนกัน เพราะถูกมองว่าให้ความสำคัญกับความสวยงามมากเกินไป และมีการย้ายประชากรออกไปอยู่นอกเมืองเพื่อเวนคืนพื้นที่อยู่อาศัยมาก่อสร้าง

ในปี 1997 พ่อเขาพยายามวิ่งเต้นรณรงค์ให้เขาได้รับเลื่อนขั้นเป็นคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์ซึ่งเป็นตำแหน่งสำคัญ

ครอบครัวช่วยกันรณรงค์โปรโมตความสำเร็จของป๋อซีไหลในตำแหน่งนายกเทศมนตรีต้าเหลียนไปทั่วประเทศ ถึงขั้นจ้างนักประพันธ์เขียนรายงานว่าเขาเป็น “รัฐบุรุษเหมือนกับเฮนรี คิสซิงเจอร์, ใส่ใจสิ่งแวดล้อมเหมือนอัล กอร์ และมีคนรักมากมายพอๆ กับเจ้าหญิงไดอานา”

…แต่สุดท้ายป๋อซีไหลก็ไม่ได้รับตำแหน่งสำคัญ เชื่อว่ามีสาเหตุจากการต่อต้านการเล่นญาติในพรรค และเขาถูกเหม็นขี้หน้าเนื่องจากถูกมองว่าเป็น “เด็กเส้น” ตั้งแต่สมัยอยู่ต้าเหลียนแล้ว (ตรงนี้ก็เหมือนสีอีกแล้ว)

ขยับเป็นผู้ว่าการมณฑล

แต่ดูเหมือนว่าฟ้าเป็นใจ เมื่อผู้ว่าการมณฑลเหลียวหนิงต้องพ้นจากตำแหน่งเนื่องจากถูกกล่าวหาว่าคอร์รัปชัน

เจียงเจ๋อหมินซึ่งเป็นประธานาธิบดีจีนในขณะนั้นนึกถึงบุญคุณที่ตระกูลป๋อที่ช่วยเหลือตนให้กระชับอำนาจได้สำเร็จ จึงช่วยสนับสนุนป๋อซีไหลให้ได้เป็นผู้ว่าการมณฑลเต็มตัวในปี 2003 และต่อมายังได้เป็นสมาชิกคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนด้วย

เกือบตลอดชีวิตการเมืองของป๋อซีไหลนั้นสวามิภักดิ์อยู่กับกลุ่มของเจียงเจ๋อหมินซึ่งมีอุดมการณ์เน้นการค้าเสรี, สนับสนุนการส่งออก, และเน้นพัฒนาเศรษฐกิจของเมืองแถบชายฝั่ง

สมาชิกส่วนใหญ่ของกลุ่มนี้มักประกอบด้วยเหล่า “เจ้าชายน้อย” หรือลูกของอดีตผู้นำพรรคระดับสูง และกลุ่มนักธุรกิจและผู้นำของเมืองแถบชายฝั่ง

ตรงข้ามกับกลุ่มอำนาจของหูจิ่นเทา ซึ่งประกอบด้วยผู้นำชนบท, ปัญญาชนสายสังคมนิยม, และผู้ที่ไต่เต้าขึ้นมาจากสันนิบาตเยาวชนคอมมิวนิสต์ หรือพูดง่ายๆ ว่ารากหญ้ากว่า

สำหรับสีจิ้นผิงเดิมอยู่ในกลุ่มเจียงเจ๋อหมิน อย่างไรก็ตามมีท่าทีที่สามารถคุยได้กับทุกฝ่าย และการที่เข้าได้ขึ้นสู่อำนาจนั้น เชื่อว่ามาจากการตกลงแบ่งอำนาจกันระหว่าง 2 กลุ่ม

ป๋อเป็นผู้ว่าการมณฑลเหลียวหนิงอยู่ 1 ปี ระหว่างนั้นเขาดำเนินนโยบายพลิกฟื้นเศรษฐกิจที่สำคัญ ทำให้เศรษฐกิจท้องถิ่นที่เคยชะลอตัว (หลังรัฐบาลหันไปให้ความสนใจกับการปฏิรูปเศรษฐกิจในแถบชายฝั่งตะวันออกมากกว่า) ให้กลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง

นอกจากนั้นยังส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศทำให้มีเงินไหลเข้ามาเพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่าในปีเดียว

นอกจากนี้ยังมีข้อกล่าวหาเรื่องอื่นๆ อีก ที่ร้ายแรงก็เห็นจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับฝ่าหลุนกง

ฝ่าหลุนกงเป็นกลุ่มความเชื่อที่สอนเรื่องการปฏิบัติสมาธิและการออกกำลังกายรูปแบบหนึ่ง ซึ่งพรรคคอมมิวนิสต์จีนก็เคยให้การสนับสนุน แต่ต่อมากลับสั่งห้ามและกวาดล้างอย่างรุนแรง เพราะระแวงที่กลุ่มนี้มีขนาดใหญ่โตมาก (สมาชิกประมาณ 70 ล้านคน), หัวหน้ามีความเป็นอิสระไม่ถูกควบคุมจากรัฐบาล, และสอนเรื่องทางจิตวิญญาณ

สำหรับวิธีการกวาดล้างนั้นก็มีตั้งแต่การจับกุมดำเนินคดี, การโฆษณาชวนเชื่อป้ายสี, การเซ็นเซอร์ข่าว, การจับกุมตามอำเภอใจ, การทรมานและวิสามัญฆาตกรรม รวมทั้งการฆ่าเพื่อเอาอวัยวะ

ตัวป๋อซีไหลถูกกล่าวหาว่าอยู่เบื้องหลังการปราบปรามพวกฝ่าหลุนกงอย่างป่าเถื่อนในเมืองต้าเหลียน มีการทรมานและฆ่าสมาชิกกลุ่มเพื่อเอาอวัยวะไปปลูกถ่าย

(ศาลสเปนยังเคยตัดสินว่าเขามีความผิดฐานฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ด้วย จากที่สมาชิกฝ่าหลุนกงในต่างประเทศฟ้องคดี แต่เป็นคำพิพากษาเชิงสัญลักษณ์มากกว่า)

แจ้งเกิดในตำแหน่ง รมต. พาณิชย์

เมื่อหูจิ่นเทาเป็นเลขาธิการพรรคคนถัดมาในปี 2002 ป๋อก็ได้เข้าสู่การเมืองระดับชาติโดยได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีพาณิชย์ และยังได้รับตำแหน่งในคณะกรรมการกลางของพรรค (ซึ่งเป็นสถาบันการเมืองที่มีอำนาจสูงสุด)

การเลื่อนขั้นจากข้าราชการท้องถิ่นไปเป็นนักการเมืองระดับชาติทำให้ได้รับความสนใจจากสื่ออย่างมากทั้งในและต่างประเทศ

มีการมองว่าเขาเป็น “ดาวรุ่งทางการเมือง” ด้วยปัจจัยที่อายุไม่มาก, มีบุคลิกใจกว้าง, มีแนวคิดประชานิยม, นอกจากนั้นยังหน้าตาดีจนได้รับความนิยมในหมู่นักข่าวหญิง เคยมีสื่อชมว่าเขามีเสน่ห์เหมือนกับจอห์น เอฟ. เคนเนดี อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ

สมัยเป็นรัฐมนตรีป๋อรับแขกและผู้แทนต่างประเทศอยู่บ่อยครั้ง เขาพูดภาษาอังกฤษคล่องแคล่วน่าประทับใจ และด้วยทัศนะแบบ “นอบน้อมประนีประนอมแต่ไม่ยอมถอย” ทำให้เจรจาสำเร็จเป็นอันมาก

เช่นเมื่อครั้งที่เดินทางไปเยือนสหรัฐ เขาได้เจรจากับรัฐมนตรีพาณิชย์อเมริกัน สามารถลงนามข้อตกลงทั้งในด้านทรัพย์สินทางปัญญา, ภาคบริการ, ผลิตภัณฑ์เกษตร, ความปลอดภัยด้านอาหาร, และการคุ้มครองผู้บริโภคเป็นผลสำเร็จ

ด้านภายในประเทศ ป๋อซีไหลได้ปรับนโยบายให้รัฐสนใจทั้งการลงทุนจากต่างประเทศและในประเทศ พยายามลดการพึ่งพาบริษัทต่างชาติ และให้การคุ้มครองบริษัทจีนจากการแข่งขันจากต่างประเทศ แสดงถึงความสามารถเป็นอย่างดี

“เลื่อนตำแหน่ง” ไปที่ฉงชิ่ง

ในปี 2007 ป๋อซีไหลถูกส่งไปเป็นเลขาธิการพรรคประจำฉงชิ่ง ซึ่งเป็นเทศบาลใหญ่ แต่ก็พูดยากว่านับเป็นผลดีหรือผลเสียกันแน่ เพราะในด้านหนึ่งแม้ตำแหน่งนี้เป็นตำแหน่งใหญ่ที่มีอำนาจ เป็นสมาชิกโปลิตบูโร (คณะกรรมการบริหารพรรค) แต่ฉงชิ่งในเวลานั้นเต็มไปด้วยปัญหาหนัก เช่นปัญหาว่างงาน, ปัญหาสิ่งแวดล้อมจากการสร้างเขื่อนสามผา, และปัญหาด้านสาธารณสุข

มีกระแสว่าจริงๆ ป๋อต้องการเป็นรองนายกรัฐมนตรีมากกว่า แต่ก็ไม่ได้เป็นเพราะมีแรงเสียดทานจากนายกรัฐมนตรีเหวินเจียเป่าที่ให้เหตุผลว่าป๋อเป็นพวกชอบโฆษณาตัวเอง และเคยมีคดีความเรื่องฝ่าหลุนกงในต่างประเทศ เป็นภาพลักษณ์ที่ไม่ดี

แม้ในตอนแรกป๋อไม่ได้รู้สึกดีมากนักกับตำแหน่งใหม่นี้ แต่ไม่ช้านานเขาก็มุ่งมั่นใช้ตำแหน่งเป็นบันไดเพื่อกลับไปทวงตำแหน่งในเวทีระดับชาติอีกครั้ง

เขาริเริ่ม “ฉงชิ่งโมเดล” ซึ่งเป็นนโยบายเพื่อแก้ไขปัญหาหลังการปฏิรูปเศรษฐกิจจีน เพราะเห็นว่าเศรษฐกิจแบบตลาดที่ปฏิรูปมาตั้งแต่ยุคเติ้งเสี่ยวผิงทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำมาก

การนี้นับว่ากล้าหาญ และทำให้เขาได้ชื่อว่าเป็น “ฝ่ายซ้ายใหม่” สามารถเรียกการสนับสนุนจากผู้นิยมแนวคิดเหมาเจ๋อตงและผู้นิยมประชาธิปไตยสังคมนิยมเป็นอันมาก

นโยบายดังกล่าว เช่น การเพิ่มฝ่ายความมั่นคงและตำรวจในเมือง เพื่อจัดการกับองค์กรอาชญากรรมต่างๆ ทำให้มีผู้ถูกจับกุมกว่า 5,700 คน ในระหว่างปี 2009 ถึง 2011

อย่างไรก็ตามนักวิจารณ์ระบุว่าเขาอ้างการกวาดล้างคอร์รัปชันทำลายคู่แข่งทางการเมือง และยังทำลายหลักนิติธรรม โดยเชื่อว่ามีการจับคน 1,000 คนไปใช้แรงงานแบบตามอำเภอใจ

เขาริเริ่มขบวนการ “วัฒนธรรมแดง” เพื่อส่งเสริมหลักศีลธรรมแบบสมัยเหมา เช่น มีการส่งข้อความบางตอนจากผลงานของเหมาเข้าโทรศัพท์มือถือของประชาชน หรือมีการส่งเสริมให้เยาวชนไปฝึกทำงานในชนบท

ในด้านหนึ่งโครงการนี้ทำให้พวกฝ่ายซ้าย, คนจน, และผู้สูงอายุชื่นชอบมาก แต่ฝ่ายปัญญาชนกับนักปฏิรูปมองว่านี่เป็นการถอยหลังสู่ยุคมืดของเหมาเจ๋อตงอีกครั้ง…

ส่วนในด้านเศรษฐกิจ ป๋อซีไหลเปิดรับเงินลงทุนจากต่างชาติมาก มีโครงการสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ อุดหนุนที่อยู่อาศัยแก่คนยากจน, คนตกงาน, บัณฑิตจบใหม่

นอกจากนี้ยังมีข่าวว่าเขานั่งเจรจากับคนงานที่นัดหยุดงานประท้วง และอนุญาตให้ตั้งสหภาพแรงงานได้ ทำให้เขาได้รับการยกย่องมาก นับเป็นนักการเมืองน้อยคนที่มาทำแบบนี้ในประเทศที่มีการปราบปรามการประท้วงอย่างหนัก

ป๋อซีไหลยังลดภาษีเงินได้นิติบุคคลเพื่อดึงดูดการเปลี่ยนแปลงไปสู่เศรษฐกิจอุตสาหกรรม และเน้นการส่งเสริมการบริโภคภายในแทนการส่งเสริมการส่งออก

…ทั้งหมดนี้ทำให้ฉงชิ่งเจริญรุ่งเรืองขึ้นเป็นอันมาก มีจีดีพีโตเร็วกว่าค่าเฉลี่ยระดับประเทศไปไกล

ผลงานของป๋อที่ฉงชิ่งนี้ทำให้เขามีชื่อเสียงโด่งดังยิ่งกว่าเก่า กระทั่งนิตยสารไทม์ถึงกับยกให้เขาเป็นหนึ่งใน “100 ผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในโลกในปี 2010” และสื่อบางแห่งถึงกับคาดหมายว่าเขาอาจจะได้เป็นผู้นำสูงสุดของจีนต่อจากหูจิ่นเทา

แต่แน่นอนว่ามันยิ่งทำให้ผู้นำระดับสูงในพรรคยิ่งจับตามองด้วยความไม่ไว้ใจ และน่าสังเกตด้วยว่าในช่วงนั้น หูจิ่นเทาไม่เคยเดินทางไปเยือนฉงชิ่งเลย

อย่างไรก็ตาม ป๋อซีไหลก็ถูกวิจารณ์ไม่น้อย โดยนักวิจารณ์ระบุว่าตัวเลขจีดีพีที่โตขึ้นนั้นมาจากข้อเท็จจริงที่ว่าฉงชิ่งได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลกลางอย่างมาก เพราะมีสิ่งก่อสร้างต่างๆ ซึ่งจำเป็นบ้างไม่จำเป็นบ้างผุดขึ้นมากมาย ทำให้งบประมาณร่อยหรอ และการเติบโตดูสูงกว่าจริ

นอกจากนั้นเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาหรือข้าราชการ ต่างบอกว่าถูกป๋อเฆี่ยนตีให้ต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำ ไม่มีวันหยุด

มีรายงานว่าเขาเคยเรียกประชุมกลางดึก, ประจานคนที่ไม่เห็นด้วยกับเขา, หรือเคยทุบตีลูกน้องที่ทำงานไม่สำเร็จ ทำให้พวกข้าราชการลูกน้องเขาป่วยเป็นโรคทางจิตกันมาก บางคนถึงกับฆ่าตัวตายก็มี

ดาวดับ

วันที่ 14 พ.ย. 2011 นีล เฮย์วูด นักธุรกิจชาวอังกฤษ เสียชีวิตในโรงแรมแห่งหนึ่งในฉงชิ่ง ทีแรกทางการประกาศว่าเขาดื่มสุราเกินขนาด แต่หลายเดือนต่อมากลับมีการพบว่าจริงๆ แล้วอาจเป็นการฆาตกรรม และป๋อซีไหลอาจมีเอี่ยว!

ทั้งนี้เฮย์วูดทำหน้าที่เป็นโซ่ทองคล้องประสานบริษัทตะวันตกกับนักการเมืองจีน เขามีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดกับตระกูลป๋อ โดยเคยช่วยให้ลูกชายป๋อซีไหลเข้าโรงเรียนฮาร์โรว์ในอังกฤษ รวมทั้งจัดการโยกเงินปริมาณมากออกไปนอกประเทศให้ป๋อด้วย

มีการพบหลักฐานว่าช่วง 1 เดือนก่อนเสียชีวิต เฮย์วูดได้เรียกร้องเงินค่านายหน้าเพิ่มขึ้น และเมื่อตกลงกันไม่ได้ เขาก็ขู่ว่าจะเปิดโปงการทุจริตเหล่านี้ ทำให้ภรรยาป๋อซีไหลตัดสินใจวางยาพิษเขา นั่นทำให้เธอถูกจับขึ้นศาล

ด้านหวังลี่จุนเพื่อนของป๋อซีไหลที่เป็นผู้บัญชาการตำรวจ ได้พยายามเตือนเขาเรื่องที่ภรรยาไปวางยาพิษนี้มาตลอด

ทีแรกป๋อระบุว่าจะปล่อยการสืบสวนให้เป็นไปตามกระบวนการ แต่ต่อมาก็กลับลำขัดขวางเต็มที่ พร้อมทั้งยังลดขั้นหวังลี่จุนด้วย ไม่สนใจว่าหวังลี่จุนเคยช่วยเป็นมือเป็นเท้าให้เขามาตลอด

ในเดือน ก.พ. 2012 มีเหตุการณ์ที่หวังกลัวภัยป๋อจึงพยายามขอลี้ภัยไปยังสหรัฐแต่ไม่ได้รับอนุญาต

ต่อมาทางการปักกิ่งควบคุมตัวเขาและออกแถลงการณ์ว่าเขาป่วยด้วยปัญหาสุขภาพจิต ต่อมาหวังถูกทางการจีนสั่งจำคุกด้วย โดยมีข้อหารับสินบน แปรพักตร์กับใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ

วันที่ 15 มี.ค. 2012 ป๋อถูกปลดจากตำแหน่งเลขาธิการพรรคประจำฉงชิ่ง

ด้านนายกรัฐมนตรีเหวินเจียเป่ากล่าวว่า ความสำเร็จที่เกิดขึ้นที่ฉงชิ่งนั้นยอดเยี่ยมก็จริง แต่ถือเป็นผลงานของนักการเมืองคนก่อนๆ ด้วย ไม่ใช่แค่ป๋อคนเดียว ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่าเป็นการปูทางให้ป๋อต้องรับผิดชอบต่อกรณีอื้อฉาวที่เกิดขึ้น

วันที่ 10 เม.ย. 2012 ป๋อถูกระงับตำแหน่งคณะกรรมการกลางพรรคและโปลิตบูโร และเมื่อภรรยาของป๋อถูกตั้งข้อสงสัยในการสอบสวนการเสียชีวิตของเฮย์วูด และถูกตัดสินประหารชีวิตแต่รอลงอาญา

ในเดือน ส.ค. 2012 ก็นับว่านั่นเป็น “โทษประหารชีวิตทางการเมือง” ของป๋อแล้ว …ภายใน 1 ปี เขาถูกขับออกจากพรรค และถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิต

มีการมองว่าการปลดป๋อซีไหลทำให้เกิดผลกระทบทางการเมืองครั้งใหญ่พอๆ กับเมื่อครั้งการประท้วงที่จัตุรัสเทียนอันเหมินปี 1989 และสะท้อนถึงคลื่นใต้น้ำในพรรคคอมมิวนิสต์

ในอินเทอร์เน็ตยังมีการเผยแพร่ข่าวลือถึงขั้นว่าอาจเกิดรัฐประหารจากฝ่ายนิยมป๋อ จนทางการต้องพยายามสื่อสารอย่างระมัดระวังเพื่อขอให้ประชาชนมีความภักดีต่อพรรค เช่น ขอไม่ให้เผยแพร่ข่าวลือบนอินเทอร์เน็ต, ให้ติดตามข่าวจากรัฐบาลเท่านั้น, หรือเน้นย้ำว่าการตัดสินใจของพรรคแบบนี้เป็นผลดีต่อประเทศ เป็นต้น

ศึกชิงเก้าอี้ผู้นำจีนรุ่น 5: สีจิ้นผิง vs. ป๋อซีไหล?

เมื่อสีจิ้นผิงเถลิงอำนาจใหม่ๆ ในปี 2012 นั้น มีการสั่งกวาดล้างภายในพรรคคอมมิวนิสต์ด้วยข้ออ้าง “ปราบคอร์รัปชัน“ โดยมีผู้ถูกกวาดล้างทุกระดับกว่า 1.5 ล้านคน (ไม่ได้อ่านผิดนะครับ 1,500,000 คน)

ในปี 2017 ข้าราชการระดับสูงของจีนรายหนึ่งอ้างว่า มีผู้นำพรรคระดับสูงหลายคนเคยพยายามยึดอำนาจจากสีจิ้นผิง ซึ่งเป็นผู้ที่มีรายชื่อถูกกวาดล้างไปก่อนหน้านี้ มีทั้งหัวหน้าฝ่ายความมั่นคง, สมาชิกโปลิตบูโร, นายทหารระดับสูง, รวมทั้งป๋อซีไหลในกลุ่มนี้ด้วย

ในตอนที่กำลังมีการมองหาผู้สืบทอดหูจิ่นเทานั้น มีการคาดหมายว่าตัวเก็งที่น่าจะได้เป็นผู้นำรุ่นที่ 5 ประกอบด้วย สีจิ้นผิง, หลี่เค่อเฉียง กับ ป๋อซีไหล

การ “กวาดล้าง” ป๋อซีไหลนี้แตกต่างจากกรณี “สองเฉิน” ซึ่งเป็นการกวาดล้างในต้นสมัยของเจียงเจ๋อหมินและหูจิ่นเทา ตรงที่กรณีแรกเกิดขึ้นในช่วงปลายสมัยหูจิ่นเทา (ยังไม่เริ่มสมัยสีจิ้นผิง)

แน่นอนว่าหูจิ่นเทาไม่ชอบหน้าป๋อซีไหลมานานแล้ว และเป็นไปได้อาจต้องการเสริมฐานะของสีจิ้นผิงให้มั่นคงก่อนรับตำแหน่ง

ทั้งนี้นับว่าเป็นเรื่องย้อนแย้งนัก ที่ป๋อซีไหลพยายามส่งเสริมวัฒนธรรมแบบสมัยเหมาที่เน้นผู้นำเข้มแข็งและการปราบคอร์รัปชัน แต่ถูกสั่งกวาดล้างด้วยเหตุผลเดียวกัน ส่วนสีจิ้นผิงทุกวันนี้ยิ่งมีคนมองว่าทำตัวเหมือนเหมาเจ๋อตงเข้าไปทุกที

นักวิเคราะห์การเมืองจีนต่างมองว่า การปลดป๋อซีไหลนับเป็นภัยคุกคามครั้งใหญ่สุดต่อเอกภาพภายในพรรคคอมมิวนิสต์จีน นับแต่การขับอดีตเลขาธิการพรรคจ้าวจื่อหยาง ซึ่งไปสนับสนุนนักศึกษาที่เทียนอันเหมินเมื่อปี 1989

สิ่งที่ป๋อทำ คือ พยายามทวงคืนอำนาจรัฐบาลกลางจากพื้นที่รอบนอก และหาเสียงสนับสนุนของประชาชนโดยมักตอกย้ำว่ามีคอร์รัปชันอยู่ภายในพรรคมาก ทำให้บรรดาสมาชิกพรรคระดับสูงรู้สึกไม่สบายใจ เกรงว่าประชาชนจะไม่ภักดีต่อพรรค

นอกจากนั้นเขายังสร้างสายสัมพันธ์กับกองทัพในพื้นที่ จนในช่วงปราบเขาใหม่ๆ นั้นเกิดกระแสข่าวว่ากองทัพแถวนั้นจะเข้ามาช่วยป๋อด้วยซ้ำ

การกวาดล้างเขาอาจเป็นการย้อนกลับไปสู่ยุคผู้นำเข้มแข็ง เพราะเป็นการส่งเสริมความเชื่อที่ว่าถ้าปล่อยให้อำนาจรอบนอกขึ้นมาท้าทายอำนาจรัฐบาลกลางแล้วก็จะเหมือนการเชื้อเชิญผู้ท้าทายอันไม่พึงประสงค์

ซึ่งอาจมองได้ว่ากรณีป๋อซีไหลอาจเป็นจุดพลิกผันอีกครั้งหนึ่งของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ที่ทำให้พรรคต้องยกระดับความพยายามปกป้องเอกภาพภายในพรรค

อนึ่งก่อนหน้านี้พรรคคอมมิวนิสต์ได้พึ่งพาการใช้บารมีของผู้มีอำนาจในการเปลี่ยนถ่ายอำนาจอย่างสันติมาตลอด เช่นการที่เติ้งเสี่ยวผิงเคยผลักดันเจียงเจ๋อหมิน และวางตัวหูจิ่นเทาต่อไว้

อย่างไรก็ตามการขาดผู้นำเข้มแข็งในช่วง 2012 ทำให้พรรคมีปัญหาในการเปลี่ยนผ่าน

จากเหตุการณ์นี้อาจทำให้พรรคหันไปใช้การตัดสินใจแบบให้ผู้นำคนเดียวเป็นคนผลักดัน แทนการให้มีมติเอกฉันท์ของทุกฝ่าย

บทส่งท้าย

การแย่งชิงอำนาจในการเปลี่ยนตัวผู้นำจีนมาเป็นรุ่นที่ 5 เมื่อปี 2012 สะท้อนให้เห็นปัญหาที่หมักหมมอยู่ในประเทศที่ใช้ระบอบเผด็จการได้เป็นอย่างดี

ปัญหาผู้นำต่างคอร์รัปชัน, การแย่งชิงอำนาจอย่างเลือดเย็นไม่สนวิธีการ, การปกปิดข้อมูลจนไม่รู้ว่าอะไรเท็จอะไรจริง, และข้ออ้างปราบคอร์รัปชัน จริงๆ แล้วก็เป็นเพียงฉากหน้าในการกำจัดคู่แข่งของตน (เพราะเมื่อถึงคราวคนของตัวเองทำบ้างก็แกล้งหลับตาทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น)

มาถึงตอนนี้สีจิ้นผิงย้อนกลับไปใช้วิธีการสร้างลัทธิบูชาตัวบุคคล สร้างภาพผู้นำที่เข้มแข็งเด็ดขาด ใจซื่อมือสะอาด และพยายามสร้างผลงานด้านเศรษฐกิจให้เป็นที่ประจักษ์แก่ประชาชน

…ก็คงต้องดูกันว่าวิธีการแบบเดินตามรอยยุคเหมาของสีจิ้นผิงนั้นจะเป็นทางออกของปัญหาที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนเผชิญอยู่ในปัจจุบันหรือไม่ หรือจะเป็นการ “ถอยหลังลงคลอง” แบบที่มีผู้วิจารณ์ไว้