ในยุโรปยุคกลาง ศาสนจักรถือเป็นศูนย์กลางทางการเมืองและศาสนาที่มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งยวด แต่ไม่ใช่ทุกคนที่ศรัทธาแบบเดียวกับกรุงโรม…

เพราะที่แคว้นอ็อกซิตาเนีย ทางตอนใต้ของฝรั่งเศส ซึ่งถูกปกครองโดยขุนนาง มีชุมชนลัทธินอกรีตหนึ่งนามว่า “คาธาร์” ลุกขึ้นมาเชื่อว่า โลกของเราคือโลกแห่งวัตถุและเป็นสิ่งสิ่งชั่วร้าย พร้อมเชื่อว่า “จิตวิญญาณ” คือสิ่งบริสุทธิ์ และต้องชำระล้างจิตใจให้บริสุทธิ์

มากไปกว่านั้น… พวกเขายังเชื่อว่า โลกมีพระเจ้าสององค์ คือ พระเจ้าแห่งโลกวัตถุ และพระเจ้าแห่งโลกจิตวิญญาณ ซึ่งชาวคาธาร์เชื่อว่าพระเจ้าแห่งโลกจิตวิญญาณคือพระเจ้าที่แท้…ที่ควรนับถือ ซึ่งขัดกับความเชื่อของศาสนาคริสต์ที่ไม่ว่ายังไง พระเจ้าก็ต้องมีเพียงหนึ่งเดียว!

ศาสนจักรจึงสั่งให้เหล่านักรบทำ “สงครามครูเสด” เพื่อฆ่าฟันพวกเขาอย่างไม่ปรานี แม้แต่ชาวบ้านที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ก็ไม่รอด นี่คือหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ที่โหดร้ายแต่ถูกหลงลืม

เรื่องราวของพวกเขา ท่านสามารถอ่านได้ท่านสามารถอ่านบทความด้านล่างได้เลยครับ
—————
◾คาธาร์คืออะไร?
◾ความเชื่อของลัทธิคาธาร์
◾รากเง้าของลัทธิคาธาร์
◾สงครามครูเสดแอลบิเจนเซียน
◾การสอบสวนทางศาสนาและคณะโดมินิกัน
◾มรดกของลัทธิคาธาร์
—————

***คาธาร์คืออะไร?***

1. คุณเคยตั้งคำถามหรือไม่? เหตุใดพระเจ้าในพันธสัญญาเก่าจึงดูโกรธเกรี้ยว เคร่งครัด และบางครั้งก็ไร้เหตุผล พระองค์ทรงนำพามนุษย์ไปสู่ความทุกข์ยาก ทรงกำหนดกฎเกณฑ์อันเคร่งครัด และลงโทษผู้ฝ่าฝืนอย่างรุนแรง

2. ขณะที่พระเจ้าในพันธสัญญาใหม่กลับแตกต่างโดยสิ้นเชิง พระองค์ทรงเมตตา ทรงรักมนุษย์ และทรงส่งพระบุตรมาเพื่อไถ่บาปของโลก

หากนี่คือพระเจ้าองค์เดียวกัน เหตุใดจึงมีความแตกต่างเช่นนี้? หรือแท้จริงแล้ว พระเจ้าที่เรารู้จักอาจไม่ได้มีเพียงองค์เดียวกันนะ?

3. แนวคิดนี้มิใช่เรื่องใหม่ เพราะในช่วงยุคกลาง ชาวยุโรปบางส่วนได้นับถือ “ลัทธิคาธาร์” (Catharism) โดยเชื่อว่า “พระเจ้า” ในพันธสัญญาเก่าและพันธสัญญาใหม่เป็นคนละองค์กัน!

โดยคำว่า “คาทาร์” มาจากคำภาษาละตินยุคกลางคือ “คาทารี” แปลว่าผู้บริสุทธิ์ ความเชื่อนี้นับถือกันมากในยุคคริสต์ศตวรรษที่ 12-14 ในดินแดนฝรั่งเศสใต้ (อ็อกซิตาเนีย), อิตาลีเหนือ, สเปนตะวันออกเฉียงเหนือ (คาตาลัน) แม้เหมือนจะอยู่กระจายหลายประเทศ แต่จริงๆ ทั้งหมดที่ว่ามันคือเขตของชาวคาตาลัน-อ็อกซิตัน ซึ่งเป็นเผ่าญาติๆ กัน

—————
***ความเชื่อของลัทธิคาธาร์***

4. พวกเขามีความเชื่อว่า พระเจ้ามีสององค์ คือพระเจ้าแห่งความดี และพระเจ้าแห่งความเลว และโลกนี้คือสมรภูมิของพระเจ้าทั้งสอง โดยพวกคาธาร์เอาความเชื่อเรื่องพระเจ้าสององค์ไปปนกับศาสนาคริสต์ พวกเขาจึงตีความว่าพระเจ้าในคัมภีร์ไบเบิลพันธสัญญาเดิม หรือที่พวกเขาเรียกว่า “เดมีเอิร์จ” (Demiurge) ซึ่งมีความฮาร์ดคอร์ ฆ่ายิวและเผ่าอื่นๆ ราวผักปลานั้นคือพระเจ้าแห่งความเลว เป็นผู้สร้างโลกวัตถุอันไม่สมบูรณ์ เต็มไปด้วยความทุกข์

ส่วนพระเจ้าในคัมภีร์ไบเบิลพันธสัญญาใหม่ซึ่งมีเมตตาต่อสรรพสัตว์นั้นเป็นพระเจ้าแห่งความดี เป็นผู้สร้างวิญญานอันบริสุทธิ์

5. คาธาร์เชื่อว่าความชั่วต่างๆ เช่น ความหื่นกระหาย อยากฆ่าฟัน ความมักมากในกามคุณนั้นล้วนมาจากร่างกายซึ่งเป็นของเลว และเนื่องจากวิญญาณอันดีงามถูกกักขังอยู่ในร่างเลว จึงได้รับอิทธิพลชั่วร้าย ทำให้ต้องเวียนว่ายตายเกิดไม่อาจกลับไปหาพระเจ้าแห่งความดีได้

วิธีเดียวที่จะทำให้วิญญาณหลุดพ้นจากบาปคือการผ่านพิธีกรรมที่เรียก “คอนโซลาเมนตัม” ซึ่งเป็นพิธีเรียบง่าย มีขั้นตอนเช่นการขออภัยบาป การสวดมนต์ และอ่านคัมภีร์ไบเบิลพันธสัญญาใหม่เวอร์ชันคาธาร์ ผู้ผ่านพิธีนี้จะถูกเรียกว่า บงออมเมอะส์ (คนดี) หรือ พาร์เฟต์ (ผู้สมบูรณ์)

6. พาร์เฟต์เปรียบเสมือนนักบวชของคาธาร์ เมื่อเป็นพาร์เฟต์แล้วจะต้องไม่แต่งภรรยา (เพราะการมีเซ็กส์เพื่อสืบพันธุ์เป็นความสกปรกทางร่างกาย) และกินแต่ผัก (เพราะเนื้อสัตว์ถูกมองว่าเป็นของสกปรกเช่นกัน) จะต้องเดินทางสอนศาสนาคาธาร์ไปเรื่อยๆ

คนๆ หนึ่งจะทำพิธีคอนโซลาเมนตัมเพียงครั้งเดียวในชีวิต ผู้ที่ยังไม่พร้อมทำจะเป็นเพียงแต่ “ผู้เชื่อ” สามารถมีลูกเมียได้ตามปกติ จนเมื่อป่วยใกล้ตายจึงให้ประกอบพิธีนี้ และหลังทำพิธีแล้วคนป่วยมักอดอาหารจนตายเอง เพื่อตัดขาดความต้องการทางกาย ให้วิญญาณมีความบริสุทธิ์สูงสุด จะได้ไปสวรรค์ได้ง่าย แต่หากป่วยแล้วกลับหายดี คนๆนั้นก็จะออกเผยแพร่ศาสนาตามหน้าที่พาร์เฟ่ต์

7. พื้นฐานความคิดว่า “ร่างกาย และระบบต่างๆในโลกวัตถุเป็นของชั่วร้าย” ทำให้พวกคาธาร์แตกต่างจากศาสนจักรคาทอลิกอย่างสุดขั้ว มีประเด็นหลักๆ เช่น

(1) พวกคาธาร์คิดว่าการมีเซ็กส์เพื่อสืบพันธุ์นั้นเป็นระบบของโลกวัตถุ ดังนั้นจึงเป็นของไม่ดี ขณะที่คาทอลิกเห็นว่าการมีเซ็กส์ควรจะทำเพื่อการสืบพันธุ์เท่านั้นมิใช่ทำเล่น การตีความดังกล่าวนำสู่ข้อสรุปแปลกๆของทั้งสองความเชื่อ คือ คาธาร์คิดว่าการตุ๋ยนั้นบาปน้อยกว่าการมีเซ็กส์เพื่อสืบพันธุ์ ขณะที่คาทอลิกยุคกลางเชื่อว่าการสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองนั้นบาปกว่าการข่มขืน

(2) พวกคาธาร์เชื่อว่าการแบ่งชายหญิงเป็นเรื่องทางโลก วิญญาณอันบริสุทธิ์นั้นเมื่อเกิดใหม่ก็เปลี่ยนเพศเป็นปกติ ดังนั้นจึงให้เกียรติสตรีเท่าเทียมบุรุษ ขณะที่คาทอลิกนับถือผู้ชายเป็นใหญ่กว่าผู้หญิง

(3) ชาวคาธาร์ไม่ยอมรับพิธีกรรมของคริสตจักรคาทอลิก เช่น ศีลล้างบาปและศีลมหาสนิท เนื่องจากพวกเขาเห็นว่าพิธีกรรมเหล่านี้เกี่ยวข้องกับโลกวัตถุที่พวกเขาปฏิเสธ

(4) พวกคาธาร์เกลียดชังระบบที่ค้ำจุนโลกวัตถุ เกลียดระบบศักดินา การเมือง และการตั้งองค์กรศาสนา ดังนั้นจึงไม่ยอมรับการทำสัตย์สาบานแบบอัศวิน หรือการที่นักบวชตั้งตัวเป็นใหญ่ ขณะที่คาทอลิกยุคกลางเชื่อว่าพระเจ้าแต่งตั้งมนุษย์บางคนเป็นกษัตริย์มาปกครองมนุษย์คนอื่น ระบบไพร่ศักดินาจึงเป็นของธรรมชาติ

8. การที่พวกคาธาร์ต่อต้านการปกครองของศาสนจักรเท่ากับต่อต้านพระเจ้าด้วย ทำให้ลัทธิคาธาร์กลายเป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อความรอดของวิญญาณ อันตรายยิ่งกว่ามุสลิมที่อยู่ห่างไกลออกไป เนื่องจากทำร้ายร่างกายของพระคริสต์จากภายใน คาธาร์เป็นลัทธิมาร ต้องกำจัดให้สิ้น

นำไปสู่การปราบปรามอย่างรุนแรงในช่วงสงครามครูเสดอัลบิเจนเซียน (Albigensian Crusade) และการสืบสวนของศาลศาสนา (Inquisition) ซึ่งท้ายที่สุดทำให้ชุมชนคาธาร์สูญหายไปจากประวัติศาสตร์ และทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ศาสนา และวัฒนธรรมอย่างใหญ่หลวงในยุโรป

—————
***รากเง้าของคาธาร์***

9. หากย้อนกลับไปว่า ลัทธิคาธาร์มาจากไหน ต้องย้อนกลับไปไกลถึงช่วงแรกของศาสนาคริสต์ โดยรากฐานของความเชื่อของโลกวัตถุและโลกวิญญาณมาจากลัทธิไญยนิยม หรือ ลัทธินอสติก (gnosticism) ซึ่งเชื่อว่ามนุษย์ควรสละโลกวัตถุ เพื่อมุ่งเน้นเรื่องจิตวิญญาณ โดยคำว่า ไญยนิยม แปลมาจากภาษาอังกฤษ Gnosticism ตัวจีไม่ออกเสียง รับมาจากภาษากรีก gnostikos แปลว่าให้เกิดการเรียนรู้ทางปัญญา

ต้นกำเนิดของโนสติกยังคงเป็นที่ถกเถียงกัน บางทฤษฎีเสนอว่าโนสติกเป็นขบวนการที่เกิดขึ้นภายในศาสนาคริสต์ยุคแรก ในขณะที่บางแนวคิดเชื่อว่าโนสติกเกิดขึ้นโดยอิสระ โดยได้รับอิทธิพลจากศาสนายูดายเฮลเลนิสติก (ศาสนายิวที่ได้รับอิทธิพลจากกรีก) ศาสนาโซโรอัสเตอร์ และปรัชญาเพลโต จนเมื่อเกิดการสังคายนาไนเซียขึ้นเมื่อปี 381 ลัทธินอสติกก็ค่อยๆ หายไป

11. ต่อมา ศาสนามาณีกี ศาสนาเกิดใหม่ในจักรวรรดิแซสซานิด (เปอร์เซีย) ช่วงศตวรรษที่ 3 อันมีศาสดานามว่า “มณี” ก็ได้เสนอแนวคิดเรื่องโลกแห่งวัตถุและโลกแห่งจิตวิญญาณ โดยผสมผสานความเชื่อระหว่างศาสนาคริสต์ ศาสนาพุทธ และศาสนาโซโรแอสเตอร์ หากศาสนานี้ก็ถูกศาสนาอื่นๆ เบียดบังจนหายไปในหน้าประวัติศาสตร์อีกเช่นกัน

12. รวมไปถึงในช่วงศตวรรษที่ 9 ณ จักรวรรดิบัลแกเรีย ได้มีลัทธินอกรีตขึ้นมาอีก คือ “ลัทธิโบโกมี” (Bogomilism) ซึ่งเทศนาสั่งสอนให้คนมองหาวิถีทางจิตวิญญาณที่มีความเรียบง่ายและหลีกหนีจากโลกแห่งวัตถุ พร้อมความเชื่่อเรื่องพระเจ้าสององค์ จนถูกศาสนจักรคาทอลิกและออร์โธดอกซ์ประกาศให้เป็นลัทธินอกรีต แล้วถูกปราบปรามอย่างจริงจังในช่วงศตวรรษที่ 11-12

13. หากลัทธินอกรีตทั้งหลายในยุโรปก็ไม่อาจหมดไปได้เสีย อีกทั้งเมื่อพระสันตะปาปาเออร์บันที่ 2 ทรงประกาศสงครามครูเสด ซึ่งทำให้มีการฟื้นฟูเส้นทางผู้แสวงบุญจากยุโรป ลัทธินอกรีตในแดนดินตะวันออกก็ได้แพร่กระจายเข้ามาในดินแดนฝรั่งเศสตอนใต้ หรือ แคว้นลองก์ด็อค (Languedoc) (ต่อมาถูกเรียกว่า “อ็อกซิตาเนีย”)

14. ลัทธิรอกรีตนี้พัฒนาจนกลายเป็น “ลัทธิคาธาร์” โดยมีศูนย์กลางการเผยแพร่ลัทธิคาธาร์ในเมืองอัลบี (Albi) จึงทำให้กลุ่มคาธาร์ในฝรั่งเศสถึงเรียกว่าพวกอัลบิเจนเซียนตามชื่อเมืองอัลบี

หากก่อนหน้าที่สงครามครุเสดแอลบิเจนเซียนจะเริ่มต้น พื้นที่ทางตอนใต้ของฝรั่งเศสที่เรียกว่า “อ็อกซิตาเนีย” หรือ “ลองก์ด็อค” มีภาษาและวัฒนธรรมที่เรียกได้ว่า แตกต่างจากฝรั่งเศสตอนบนมากๆ แถมมีความใกล้ชิดกับฝั่งคาตาลันเสียมากกว่า อีกทั้งในช่วงยุคกลาง ราชสำนักฝรั่งเศสยังไม่มีอำนาจเข้าไปดูแลจัดการแว่นแคว้นทางตอนใต้ได้เลย จนทำให้พื้นที่นี้เป็นเขตอิทธิพลของเคานต์ตี้แห่งตูลูซ และเคานต์ตี้แห่งบาร์เซโลนา
—————
***สงครามครูเสดแอลบิเจนเซียน***

15. ลัทธิคาธาร์ได้รับการสนับสนุนจากขุนนางท้องถิ่น รวมถึงประชาชนจำนวนมากที่เบื่อหน่ายกับการทุจริตของศาสนจักร และชื่นชมความเคร่งครัดของคาธาร์ที่เชื่อในความบริสุทธิ์ จิตวิญญาณ และการปฏิเสธโลกวัตถุ

แต่ภายใต้ระบบศักดินาแบบเก่า พระเจ้าฟิลิปที่ 2 แห่งฝรั่งเศสได้เริ่มปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ให้เข้มแข็งขึ้น โดยเน้นการรวมศูนย์อำนาจ และหันมาให้ความสำคัญกับ “ดินแดน” มากกว่า “เชื้อชาติ” ทำให้ขุนนางในอ็อกซิตาเนียรู้สึกถูกคุกคามและจึงสนับสนุนคาธาร์ในฐานะเครื่องมือต่อต้านทั้งกษัตริย์และศาสนจักร

16. ความพยายามของศาสนจักรในการส่งนักบุญและนักเทศน์ เช่น นักบุญโดมินิก ให้เข้ามาเปลี่ยนใจผู้คนล้มเหลว จนกระทั่งปี 1209 พระสันตะปาปาอินโนเซนต์ที่ 3 จึงประกาศ “สงครามครูเสดแอลบิเจนเซียน” เพื่อทำลายลัทธิคาธาร์

สงครามเริ่มด้วยความโหดเหี้ยม เช่น การสังหารหมู่ที่เบซีเยร์ ที่มีผู้เสียชีวิตกว่า 20,000 คน โดยไม่แยกศาสนา ต่อมาพวกครูเสดบุกยึดเมืองสำคัญต่างๆ เอาไว้ได้ หากตูลูซ ศูนย์กลางของแคว้นล็องก์ด็อกไม่ยอมจำนน ทำให้สงครามต่อสู้ยืดเยื้อกว่า 20 ปี กระทั่งฝ่ายฝรั่งเศสและศาสนจักรได้ปราบปรามกลุ่มคาธาร์จนราบคาบในปี 1229 คาดว่า สงครามครั้งนี้ ทำให้ประชากรประมาณ 200,000 – 1,000,000 คน ต้องถูกสังหาร

17. หลังสงครามครูเสดอัลบิเจนเซียนจบลง ศาสนจักรได้ตั้ง “ศาลศาสนา” (Inquisition) ในแคว้นล็องก์ด็อก เพื่อล้างบางผู้ที่ยังหลงเหลือในลัทธิคาธาร์ ไม่ว่าจะด้วยการสวมกางเขนเหลืองเพื่อแสดงการชดใช้ ไปจนถึงการทรมาน เผาทั้งเป็น หรือขุดศพขึ้นมาเผาหากถูกพบว่าเป็นนอกรีตแม้จะตายไปแล้ว

ชาวคาธาร์บางส่วนพยายามดำรงความเชื่อลับๆ จนถึงกลางศตวรรษที่ 14 แต่หลังจากราชอาณาจักรฝรั่งเศสสามารถปกครองพื้นที่แห่งนี้อย่างถาวร ลัทธิคาธาร์ก็ได้สิ้นสุดลง
—————
***มรดกของลัทธิคาธาร์***

18. แม้ลัทธิคาธาร์จะถูกกวาดล้างไปในศตวรรษที่ 14 แต่มรดกของพวกเขายังคงหลงเหลือและได้รับการรื้อฟื้นขึ้นใหม่ในแง่ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และจิตวิญญาณ อาทิเช่น

✝️ ไม้กางเขนคาธาร์ (Croix Cathare) ลักษณะคล้ายไม้กางเขนแบบไขว้ 8 แฉก (บางแบบ 12 แฉก) และตกแต่งด้วยจุดกลมตรงปลาย ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นสัญลักษณ์ของอ็อกซิตาเนีย พบได้ทั่วไปบนป้ายเมือง โลโก้สินค้า ร้านค้า และสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม โดยไม้กางเขนนี้ถูกตีความใหม่ว่าเป็น “เครื่องหมายแห่งสันติภาพ ความบริสุทธิ์ และเสรีภาพทางจิตวิญญาณ”

🏰 หรือ เส้นทางปราสาทคาธาร์ (La Route des Cathares) เส้นทางท่องเที่ยวสำคัญของฝรั่งเศสตอนใต้ ซึ่งรวมปราสาทบนยอดเขาหลายแห่งที่เคยเป็นที่หลบซ่อนของชาวคาธาร์ เช่น
-ปราสาทชาโตว์ คอมทัล (Chateau Comtal) ณ เมืองการ์กาซอน
-ปราสาทลาทัวร์ส (Châteaux de Lastours)
-พิพิธภัณฑ์การชําระล้างจิตใจแห่งมาซาเมต์” (Musee du Catharisme de Mazamet) ณ เมืองมาซาเมต์
-รูปปั้นอัศวินคาธาร์ (Cathar Knight Statue at Aire de Pech-Loubat) ณ เมืองนาร์บอนน์

19. ลัทธิคาธาร์อาจจบลงด้วยเปลวไฟ แรงสาปแช่ง และคำพิพากษาจากศาสนจักร แต่คำถามที่พวกเขาตั้งไว้… ยังสะท้อนก้องอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์ยุโรปจวบจนปัจจุบัน

พวกเขาคือกลุ่มคนที่กล้าท้าทายอำนาจ กล้าเชื่อในพระเจ้าแบบที่ไม่เหมือนใคร กล้าบอกว่าโลกที่เราอยู่ เต็มไปด้วยการกดขี่ ความโลภ และความเจ็บปวด ซึ่งอาจไม่ใช่โลกของพระเจ้าผู้ทรงดีงาม

แม้พวกเขากลายเป็น “พวกนอกรีต” สำหรับศาสนจักร แต่สำหรับชาวอ็อกซิตาเนียบางคนในวันนี้ คาธาร์ คือ สัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์ จิตวิญญาณเสรี และการไม่ยอมจำนนต่ออำนาจที่ไม่ชอบธรรม ทำให้พวกเขานำเรื่องราวของคาธาร์มาเป็นอัตลักษณ์ของตน

20. สุดท้ายนี้ เราขอฝากทัวร์ “ยุโรปที่ไม่อยู่บนแผนที่” คาตาโลเนีย-อ็อกซิตาเนีย 🏰⛰️ ด้วยนะครับ โดยการเดินทางครั้งนี้เป็นเส้นทางพิเศษที่ตั้งใจพาท่านไปค้นหาผืนแผ่นดินที่สูญหายและเรื่องราวอันยิ่งใหญ่บนแผ่นดินยุโรปอย่างลึกซึ้งผ่านเส้นทางการเดินทางที่พาท่านไปเจาะลึกเรื่องราวประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมของสองดินแดนที่เลือนหายไปจากผืนแผนที่

ทริปใหม่สุดพิเศษแบบนี้! ออกเดินทาง 5-13 ธันวาคม 2025 โดยทริปนี้เดินทางร่วมกับ “คุณปั๊บ” เจ้าของเพจ The Wild Chronicles ซึ่งจะพาท่านไปกับพบความรู้ที่แปลกใหม่ ในสถานที่ที่ซ่อน “ความไม่ธรรมดา” เอาไว้มากมาย

หากท่านใดสนใจร่วมเดินทางและสำรองที่นั่ง ติดต่อหมายเลข 082-894-8444, 089-927-6446 หรืออินบ็อกซ์ทางเพจ FB TWC และ Line OA TWC ได้ที่ https://lin.ee/fNEO1jr และพิมพ์ว่า “สนใจทัวร์สเปน” ได้เลยครับ

#TWCHistory #TWCFrance #TWC_Rama