แอดได้มีโอกาสลองอ่าน “อโยธยาเอยาวดี” การ์ตูนอิงประวัติศาสตร์แนว BL หรือ Boy’s Love ของคุณ Amulin (ผู้เขียนเดียวกันกับ “บุษบาเสี่ยงตรีน”) ซึ่งเนื้อหาเป็นการตีความความสัมพันธ์ระหว่างสมเด็จพระนเรศวรกับมังะยอชวา หรือพระมหาอุปราชแห่งหงสาวดี ให้แตกต่างจากภาพจำในพงศาวดาร
อารมณ์คล้ายๆ ผู้ชนะสิบทิศของยาขอบ ที่นำข้อความจากพงศาวดารเพียงไม่กี่บรรทัดมาแต่งเป็นเรื่องเป็นราวอันเป็นเอกลักษณ์ได้ และคุณ Amulin ก็ทำเช่นนั้นได้ดีและลึกซึ้ง
***ต้องขอเน้นย้ำว่า งานชิ้นนี้เป็นเรื่องราวที่แต่งขึ้น ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ เป็นเพียงแต่จินตนาการของผู้แต่ง กรุณาใช้วิจารณญาณในการอ่าน***
หากสิ่งน่าสนใจ คือ การ์ตูนเรื่องนี้ได้สร้างกระแส “น้ำหอมกุหลาบมอญฟีเวอร์” จนทำให้น้ำหอมกลิ่นนี้แทบขาดตลาด เพราะเนื้อหาของการ์ตูนได้กล่าวถึงกุหลาบมอญ ซึ่งเป็นดอกไม้ที่สมเด็จพระนเรศวรฯ ทรงโปรด เมื่อครั้งเสด็จไปเป็นองค์ประกันที่นั่น… จึงทำให้เมื่อพระองค์ทรงส่งกองทัพไปตีเมืองมอญ ทวายและตะนาวศรี พร้อมกวาดต้อนชาวมอญ และกุหลาบไม้ดอกเข้ามาในกรุงศรีอยุธยา (การ์ตูนนำกุหลาบมอญมาเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างพระนเรศและมังกะยอชวาได้ดี)
กลับกัน ในโลกตะวันตก กุหลาบมอญเป็นที่รู้จักในชื่อ “กุหลาบดามัสก์” (Damask Rose) หากแต่่ต้นกำเนิดของมันไม่ได้อยู่ที่กรุงดามัสกัสตามชื่อของมันกลับ เพราะกุหลาบสายพันธุ์นี้มีต้นกำเนิดในประเทศอิหร่าน
แต่ที่มาของชื่อกุหลาบดามัสก์ คือ ในยุคกลางที่ชาวคริสต์และชาวมุสลิมทำสงครามครูเสดเพื่ออุดมการณ์ทางศาสนาอย่างเข้มข้น เมืองดามัสกัสถือเป็นพื้นที่ที่เพาะปลูกและจำหน่ายกุหลาบสายพันธุ์นี้อย่างแพร่หลาย จนกลายเป็นของขึ้นชื่อของเมืองดามัสกัส เช่นเดียวกับ เหล็กดามัสกัส (Damask Steel) ที่นำเข้าจากอินเดีย, และผ้าดามัสกัส (Damask Weaving) ซึ่งต้นกำเนิดมาจากจีน
ต่อมาในช่วงสงครามครูเสดครั้งที่ 2 โรแบร์ เดอ บรี เจ้าชายฝรั่งเศสซึ่งเข้าร่วมสงครามในการปิดล้อมดามัสกัสเมื่อปี 1148 ก็ชื่นชอบกุหลาบดามัสก์และนำกุหลาบมาปลูกที่ยุโรปจนแพร่หลาย
หากพื้นที่ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องกุหลาบมากที่สุด ก็คือ หุบเขากุหลาบ (Rose Valley) เมืองคาซานลัค ประเทศบัลแกเรีย ซึ่งพวกเขาเริ่มปลูกกุหลาบชนิดนี้ตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 เพื่อนำมาสกัดเป็นน้ำมันกุหลาบ ซึ่งการสกัดจะต้องใช้เทคนิคเฉพาะซึ่งคิดค้นและเริ่มต้นทำโดยชาวคาซานลัค
และด้วยความที่มันทำยาก คือ ต้องคัดดอกกุหลาบแต่ละกลีบโดยการใช้มือเด็ดและตอนเช้าเท่านั้น เพื่อรักษาคุณภาพความหอมของกุหลาบ และปริมาณกลีบกุหลาบที่สามารถสกัดออกมาเป็นน้ำมันได้นั้นต้องใช้ปริมาณที่เยอะมาก เพราะถ้าเราอยากได้น้ำมันกุหลาบเพียงแค่ 1 มิลลิกรัม จะต้องใช้กลีบกุหลาบถึง 50,000 กลีบ ด้วยสาเหตุนี้ น้ำมันกุหลาบจึงมีราคาแพงลิบลิ่ว
ดังนั้น การผลิตน้ำมันดอกกุหลาบจึงกลายเป็นสิ่งสำคัญในชีวิตประจำวันของคนในแถบนั้น และมีอิทธิพลต่อวิถีชีวิต วัฒนธรรม ประเพณี และตัวตนของพวกเขาจนถึงปัจจุบัน โดยในปี 1903 เมืองคาซานลักได้เริ่มจัดงานเฉลิมฉลองเกี่ยวกับกุหลาบเป็นครั้งแรก งานนี้ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ชาวสวนจะสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตที่ใช้เวลาปลูกมาทั้งปีได้ และนำผลผลิตไปสกัดเป็นน้ำมันกุหลาบ ซึ่งสามารถสร้างรายได้มหาศาลให้แก่พวกเขา
เทศกาลยังคงจัดต่อเนื่องจนถึงปี 2025 ซึ่งชาวคาซานลัคยังคงจัดงานเฉลิมฉลองสุดยิ่งใหญ่อย่าง “เทศกาลกุหลาบ” (Rose Festival) เป็นปีที่ 122 เพื่อเฉลิมฉลองความเจริญงอกงามและขอบคุณดินฟ้าอากาศที่อำนวยให้พวกเขาปลูกกุหลาบดามักส์ ซึ่งเทศกาลนี้ได้เชิญชวนให้นักท่องเที่ยวมาเข้าร่วมและท่องเที่ยวประเทศบัลแกเรียเป็นจำนวนมาก
อยากให้ทุกท่านทราบว่า ตอนนี้ The Wild Chronicles กำลังจัดทัวร์ “เทศกาลกุหลาบ” (Rose Festival) เพื่อพาท่านได้เข้าร่วมเทศกาลกุหลาบ ณ เมืองคาซานลัค พร้อมเที่ยวสถานที่ไฮไลท์ของประเทศโรมาเนียและบัลแกเรียได้อย่างเต็มอิ่มจุใจ
หากท่านใดสนใจขอโปรแกรม สามารถติดต่อได้ทาง inbox หรือแอด LINE OA ได้ที่ @thewildchronicles (พิมพ์ @ ด้านหน้า) และพิมพ์ว่า “สนใจทัวร์บัลแกเรีย” ได้เลยครับ
#TWCHistory #TWCBulgaria #อโยธยาเอยาวดี #TWC_Rama
0 Comment