“ผู้คนที่อยู่ห่างไกลจากอำนาจ มองเห็นอำนาจเป็นของลึกลับ …เป็นของในนิยาย” สีจิ้นผิงเคยกล่าวครั้งหนึ่ง “แต่ข้าพเจ้าไม่ได้เห็นเช่นนั้น ข้าพเจ้าไม่ได้เห็นแค่ดอกไม้, เกียรติยศ, หรือเสียงปรบมือซึ่งเป็นเพียงเปลือกนอก (ของอำนาจ) หากยังเห็นคุกขังนักโทษ และการที่ผู้คนสามารถเปลี่ยนแปลงอารมณ์และทัศนคติได้ตลอดเวลา”
สุดท้ายสีจิ้นผิงสรุปว่า “ข้าพเจ้ามีความเข้าใจการเมืองอย่างลึกซึ้งยิ่ง…”
ผู้นำคนปัจจุบันของจีนอย่างสีจิ้นผิงนั้นไม่ได้ขึ้นมาเป็นใหญ่เพราะโชคช่วย…
ในวัยเด็กเขาเคยตกต่ำ… เคยตกเป็นเหยื่อของการปฏิวัติวัฒนธรรม เคยถูกกดขี่ข่มเหงโดยพรรคคอมมิวนิสต์ และเคยถูกตราหน้าว่าเป็น “ลูกของคนทรยศ” มาก่อน
สีจิ้นผิงมีชื่อเสียงจากการความ “ลุ่มลึก” สามารถใช้ทั้งความอ่อนและแข็ง ทำให้เป้าหมายบรรลุ
แท้จริงแล้วชีวิตของเขาผ่านการเคี่ยวกรำมาเป็นอันมาก
ชีวิตวัยเยาว์
อาจกล่าวได้ว่าสีจิ้นผิงมีวัยเด็กเป็น “ลูกคุณหนู” เขาเกิดในปี 1953 ขณะที่สีจงชุนบิดาของเขากำลังเป็นดาวรุ่งในพรรคคอมมิวนิสต์จีน โดยเคยเป็นทั้งหัวหน้าฝ่ายโฆษณาชวนเชื่อ และรองนายกรัฐมนตรี เขามีชีวิตสุขสบาย ได้เข้าเรียนในโรงเรียนที่ดีที่สุด
…ทั้งหมดนี้เป็นไปจนกระทั่ง เขามีอายุ 10 ปี…
ตอนนั้นจีนเกิดการปฏิวัติวัฒนธรรม มีการปลดสีจงชุนออกจากตำแหน่ง ต่อมาพวกเรดการ์ดบุกเข้าบ้านสีจิ้นผิง คุกคามจนพี่สาวของเขาฆ่าตัวตาย …พวกนั้นลากสีจงชุนพ่อเขาไปพาเหรดประจาน หาว่าไม่จงรักภักดีต่อพรรค ส่วนแม่นั้นก็ถูกบังคับให้ด่าว่าพ่อต่อหน้าที่สาธารณะ ก่อนที่จะมีการส่งพ่อไปใช้แรงงานและขังคุก
…จากนั้นชีวิตของเด็กชายสีจิ้นผิงก็ดิ่งลงสู่ห้วงเหว…
สีต้องเผชิญกับความยากลำบากจากการถูกตีตราว่าเป็น “ลูกชายของคนทรยศ” รวมถึงโดนกีดกันออกจากการเข้าร่วมกับขบวนการเรดการ์ด
เขาต้องออกจากโรงเรียน และถูกส่งไปใช้แรงงาน ณ หมู่บ้านเหลียงเจียเหอในมลฑลส่านซี ทว่าหมู่บ้านเล็กๆ ซึ่งเคยเป็นฐานที่มั่นเก่าของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งนี้ เปรียบเสมือนจุดเริ่มต้นของ “บุรุษที่จะเปลี่ยนโฉมหน้าจีนไปตลอดกาล”
ในช่วงแรกที่สีจิ้นผิงเดินทางมาถึงเหลียงเจียเหอ หมู่บ้านแห่งนี้เป็นเพียงชุมชนไกลปืนเที่ยงที่มีผู้อยู่อาศัยเพียง 360 คน ชาวบ้านอาศัยขุดถ้ำเป็นบ้าน สีอาศัยอยู่กับครอบครัวชาวนาเป็นเวลากว่า 3 ปี แม้จะเคยเป็นลูกคุณหนูมาก่อน แต่ด้วยนิสัยหมั่นศึกษาและติดดิน ส่งผลให้เขาสามารถเข้ากับชาวบ้านได้อย่างไม่ยากเย็น
ชีวิตลำบากในหมู่บ้านเหลียงเจียเหอนี้ได้หล่อหลอมให้สีมีความแข็งแกร่ง เขาใช้เวลาส่วนใหญ่อ่านหนังสือหาความรู้ด้วยตนเอง และช่วยพวกเกษตรกรทำการสร้างเขื่อน, เพาะปลูก, ดูแลปศุสัตว์ ฯลฯ จนสามารถซื้อใจเหล่าชาวบ้าน รวมถึงตัวแทนท้องถิ่นของพรรค
สีได้บันทึกว่าเมื่อวันที่เขาต้องออกจากหมู่บ้านนั้น “มีชาวบ้านจำนวนมากมารอส่งถึงหน้าที่พัก จนข้าพเจ้าต้องหลั่งน้ำตาด้วยความตื้นตันใจนับเป็นการร้องไห้ครั้งที่ 2 ตลอดระยะเวลา 7 ปี”
เดินหน้าต่อสู้ แม้ไม่ได้รับการยอมรับ
แม้จะได้รับการสนับสนุนการสนับสนุนจากชาวบ้านอย่างล้นหลาม ทว่าเส้นทางการเมืองของสีจิ้นผิงยังมีความยากลำบาก เขาต้องส่งใบสมัครถึงแปดรอบจึงจะได้รับการบรรจุเป็นเยาวชนพรรคคอมมิวนิสต์จีนในปี 1972 หลังจากนั้นต้องสมัครอีก 10 ครั้งจึงจะได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ แสดงถึงความมุ่งมั่นแม้จะถูกกีดกันอย่างหนัก เพราะรังเกียจว่าเป็น “ลูกของคนทรยศ”
การกลับมาของสีจงชุน
อย่างไรก็ตามบุคคลที่ผลักดันให้สีจิ้นผิงก้าวสู่เส้นทางการเมืองกลับเป็น สีจงชุน ผู้ได้รับอภัยโทษหลังการเสียชีวิตของเหมาเจ๋อตงในปี 1976
ตอนนั้นสีจงชุนยังถูกแต่งตั้งเป็นผู้ว่าการมลฑลกวางตุ้งในปี 1978 ส่งผลให้ชื่อเสียงของตระกูลสี ได้รับการยอมรับอีกครั้ง
หลังพ้นโทษ สีจงชุนมักจะนำสีจิ้นผิง ซึ่งกำลังศึกษาสาขาวิศวกรรมเคมี ณ มหาวิทยาลัยชิงหัว ออกงานทุกครั้งด้วยตลอด
ความก้าวหน้า ที่ถูกสบประมาท
ในปี 1979 สีจิ้นผิงได้เข้ารับตำแหน่งแรกในการเมืองในสนามใหญ่คือตำแหน่งเลขานุการประจำสำนักงานคณะรัฐมนตรีและสำนักงานคณะกรรมธิการทหารส่วนกลาง ซึ่งอยู่ใต้การดูแลของเกิ่งเปียว อดีตผู้ใต้บังคับบัญชาของสีจงชุน ต่อมาเขาสามารถไต่เต้าสู่ตำแหน่งรองเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนประจำอำเภอเจิ้งติ้ง ของมลฑลเหอเป่ย ได้ในเวลาเพียง 4 ปี ก่อนจะถูกรับเลือกเป็นเลขาธิการพรรคประจำอำเภอในปี 1985 แสดงให้เห็นถึงการเติบโตทางการเมืองอย่างรวดเร็ว จากนักศึกษาหนุ่มสู่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของเขตในเวลาเพียง 6 ปีเท่านั้น
กระทั่งในปี 1997 สีจิ้นผิงในวัย 44 ปี กลายเป็นกรรมการสำรองของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนชุดที่ 15 โดยได้รับคะแนนต่ำที่สุดในหมู่สมาชิกทั้งหมด เนื่องจากถูกมองว่า “เด็กเส้น” แม้เขาจะปฏิบัติหน้าที่อย่างสุดความสามารถมาโดยตลอด (ความเป็นเด็กเส้นนี้ก็มีความซับซ้อน คือจริงๆ ดาวรุ่งพรรคคอมมิวนิสต์ก็เป็นเชื้อสายกลุ่มอีลิทกันมากอยู่แล้ว แต่สีจงชุนตอนนั้นเกษียณแล้ว ก่อนเกษียณมีปัญหากับผู้บริหารพรรคบ้าง) ส่งผลให้สีจิ้นผิงจำเป็นต้องก้มหน้าก้มตารับคำดูแคลน แล้วมองหาโอกาสที่จะเฉิดฉายต่อไป
แผนดึงดูดการลงทุนจากไต้หวัน
ขณะดำรงตำแหน่งผู้ว่าการมณฑลฝูเจี้ยน (ปี 1992-2002) สีได้สร้างผลงานสำคัญคือ การรับมือกับวิกฤตที่การลงทุนในจากกลุ่มธุรกิจไต้หวันลดลงอย่างน่าใจหาย
ตอนนั้นเขาใช้แผนดึงดูดนักลงทุนด้วยการจัดพื้นที่จัดเก็บภาษีพิเศษ และใช้ส่งเสริมการท่องเที่ยว พร้อมเดินหน้าพัฒนาความสัมพันธ์กับรัฐบาลพรรคก๊กมินตั๋งรวมถึงเน้นย้ำทางเลือกแบบ “หนึ่งประเทศ, สองระบบ” (One Country, Two Systems) เหมือนที่ใช้กับฮ่องกงมาเป็นตัวเจรจาต่อรอง จนสามารถพาฝูเจี้ยนผ่านพ้นวิกฤตได้สำเร็จ นับเป็นตัวอย่างของการใช้พลังอ่อนสยบแข็ง (อย่างไรก็ตามความสัมพันธ์ดังกล่าว เริ่มถดถอยลงหลังพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า (DPP) เข้ามาบริหารไต้หวัน)
วิกฤตสร้างโอกาส
หลังจากรับตำแหน่งเป็นผู้ว่าการมณฑลถึง 3 มณฑลในห้วงเวลาเกือบ 10 ปี โอกาสสำคัญก็ได้ปรากฏขึ้นต่อหน้าในปี 2007 เมื่อคณะผู้บริหารระดับสูงของเมืองเซี่ยงไฮ้ ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ลำดับต้นๆ ของจีนถูกสั่งให้ยุติการปฏิบัติหน้าที่จากคดีทุจริต นั่นทำให้เสือซ่อนเล็บอย่างสีรีบคว้าโอกาสเข้ามาดูแลเมืองสำคัญอย่างเซี่ยงไฮ้แทน
ด้วยประสบการณ์บริหารราชการมาเป็นเวลายาวนาน ทำให้เขาสามารถผลักดันนโยบายด้านเศรษฐกิจพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนจนกลายเป็นที่นิยม เปิดทางให้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งระดับสูงของพรรค
ภารกิจปฏิรูปภาพลักษณ์ประเทศ… สู่ตำแหน่งรองประธานาธิบดี
สีจิ้นผิง ได้รับการแต่งตั้งเป็นรองประธานาธิบดี ในเวลาเพียงหนึ่งปีต่อมา (2008) โดยมีภารกิจสำคัญคือการปฏิรูปประเทศให้เป็นที่ยอมรับมากยิ่งขึ้นในระดับสากล ผ่านการเยือนประเทศต่างๆ
ด้วยบุคลิกที่สุขุม แต่ลึกซึ้ง ส่งผลให้เขาได้รับความไว้วางใจในการเป็นตัวแทนเพื่อเจรจาด้านต่างๆ
สีกลายเป็นที่จับตาของนานาชาติ เมื่อเขาเป็นตัวแทนจีนเข้าหารือกับประธานาธิบดีบารัค โอบามา ในปี 2012 ในประเด็นต่างๆ ตั้งแต่ปัญหาช่องแคบไต้หวัน ไปจนถึงผลประโยชน์นอกประเทศในภูมิภาคต่างๆ
การรวบอำนาจ
ปี 2012 นี้เองที่สีจิ้นผิงถูกเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งเป็น “เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีน” จากทั้งกลุ่มอำนาจของอดีตประธานาธิบดี “หูจิ่นเทา” และกลุ่มอำนาจของอดีตประธานาธิบดี “เจียงเจ๋อหมิน” เนื่องจากกลุ่มอำนาจทั้งสองมองว่าเขาเป็นสมาชิกที่ไร้พิษสง และไม่มีขั้วอำนาจสนับสนุน จึงน่าจะเป็นตัวประสานผลประโยชน์ได้
แน่นอนว่าการตัดสินใจดังกล่าวถือเป็นความผิดครั้งใหญ่ที่จะนำความพินาศมาสู่กลุ่มอำนาจทั้งสอง โดยหลังจากสีจิ้นผิงรับตำแหน่งไม่นาน เขาก็ดำเนินนโยบายปฏิรูปประเทศตามแนวทางที่ตนเองวางไว้ เริ่มจากการ “กวาดล้างคอร์รัปชัน” โดยประกาศล้างบางนักการเมืองทุจริตแบบเด็ดขาดด้วยการใช้กฎต่อต้านการโกงของพรรค แบบไม่ต้องผ่านกระบวนการทางกฎหมายปกติ
ส่งผลให้เครือข่ายของอดีตประธานาธิบดีทั้งสอง รวมถึงกลุ่มผู้สนับสนุนทั้งในและนอกพรรคต่างถูกกวาดล้างอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด จนได้รับการยกย่องจากประชาชนจำนวนมาก พร้อมยังได้ใจเหล่าสมาชิกพรรคที่ไม่ได้สังกัดขั้วอำนาจเดิม ซึ่งพวกนี้กลายมาเป็นฐานกำลังของสี
ความสำเร็จดังกล่าวเปรียบเสมือน “การยิงปืนนัดเดียว ได้นกสองตัว” เนื่องจากสีจิ้นผิงสามารถจัดการกับหอกข้างแคร่งแบบถอนรากถอนโคน พร้อมกับกระชับอำนาจการบริการมาไว้ในมือตนเอง โดยที่ภาคประชาชนยังยกให้เขาเป็น “ความหวังของชาติ”
ทว่า… นี่เป็นเพียง “ปฐมบทเส้นทางอำนาจ” ของสีจิ้นผิง หลังจากนั้นเขาได้ทำการเปลี่ยนแปลงประเทศจีนมากมาย แม้ทางหนึ่งจะทำให้เศรษฐกิจจีนก้าวหน้าอย่างใหญ่หลวง แต่ในอีกทางก็เปิดแนวปะทะกับชาติตะวันตกหลายแนว นอกจากนั้นการรวบอำนาจสู่ตนเอง, การยืดสมัยปกครองของตน, และการจัดระเบียบกับปิดกั้นการแสดงออกของประชาชนยังทำให้ได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์มาก
ประธานาธิบดี สีจิ้นผิง ถือเป็นผู้นำทางการเมืองที่มีเส้นทางชีวิตผกผัน จากลูกชายของผู้บริหารพรรค สู่ลูกคนทรยศที่ถูกขับไล่ ก่อนจะสามารถฝ่าฟันกลับมาในเส้นทางของสนามการเมือง ผ่านการเรียนรู้และการวางแผนการอย่างแยบยล ความสำเร็จดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเพราะ โอกาส, บารมีครอบครัว, หรือโชคชะตา แต่เป็นการเรียนรู้, การวางแผนการอย่างดี, และความโหดในการกำจัดศัตรู แสดงถึงความลึกซึ้งรอบด้านของสีจิ้นผิง ผู้นำกำลังอิทธิพลต่อโลกของเราอย่างมาก
…อนาคตที่เกิดจากการแต่งแต้มของชายคนนี้จะเป็นอย่างไรนั้น เป็นสิ่งที่ต้องติดตาม…
0 Comment