“ผี” คำโดด ๆ ในตระกูลภาษาไท-กะไดเป็นคำเรียกสิ่งเหนือธรรมชาติ ที่มีความหมายแฝงในมิติทั้งทาง ศาสนา ความเชื่อ และค่านิยมของสังคม
ในวงการศาสตร์มืดของไทยนั้น คำว่า “ผี” ถูกใช้เรียกจิตวิญญาณที่ไม่ใช่ของมนุษย์ รวมไปถึงเจ้าป่า เจ้าเขา เทวดา อารักษ์ขาทั้งหลาย ซึ่งมีความหมายรวม หมายถึงกายที่มองไม่เห็น
ทางศาสนามีคำเรียกผี อีกเช่นกันว่า “อทิสสมานกาย” แปลว่ามนุษย์ที่ยังไม่ไปเกิดนั้นเอง
แล้วอย่างนี้ ในสังคมไทยผีกับคนมีโอกาสพบเห็นกันได้หรือไม่? หากอยู่ในกรุงเทพมหานครที่มีคนพลุกพล่านล่ะจะมีอันตรายจากผีง่ายๆ ไหม? แล้วกรุงเทพฯ นี้มีผีอยู่จุดไหนบ้าง? รวมถึงมีวิธีการเอาตัวรอดจากผีสามารถทำได้อย่างไร?
บทความนี้ได้เรียบเรียงจากการสัมภาษณ์สุดพิเศษของอาจารย์มิน อาจารย์ธนบดี ทิพกรณ์ นักไสยเวทเจ้าประจำของ The Wild Chronicles โดยมีข้อมูลที่น่าสนใจดังนี้ครับ
ผีกับเมือง
“เมือง” คือพื้นที่รวมคนหลากหลายทางเชื้อชาติ ศาสนา และสังคมที่แตกต่างกัน ผีที่อยู่ในเมืองต้องเป็นผีที่เกี่ยวข้องกับคนโดยทางใดทางหนึ่ง
แม้ผีจะอยู่กันเป็นชุมชนเหมือนคน แต่ก็ยากที่เราจะเห็นผีแบบตัวเป็น ๆ เพราะผีที่จะปรากฏตัวให้เราเห็นได้นั้น จะต้องมีเลเวลสูงจึงจะมีพลังงานมากจนสามารถปรากฏตัวได้ ยกเว้นบุคคลที่ดวงกำลังตก เดินทางเข้าไปรบกวนในพื้นที่เขาหรือผู้มีพลังงานด้านลบที่มีคนเจ็บเป็นจำนวนมาก มักเป็นแหล่งดึงดูดผีชั้นดี เพราะที่สาธารณะ อย่างเช่นตลาดสด โรงแรม หรือแม้แต่โรงพยาบาล มีความหมายถึงสถานที่เปิดฟรี ทุกคนสามารถเข้าได้ตามทำนอง “คนเข้าได้ ผีก็เข้าได้”
กรุงเทพมีผีอยู่เยอะไหม? แล้วอยู่จุดไหน?
ถ้าเทียบกับบริเวณนอกเมืองแล้ว กรุงเทพฯถือเป็นบริเวณมีผีน้อย เพราะเกิดปรากฏการณ์ “คนไล่ผี” แต่บริเวณที่มักพบได้เป็นส่วนใหญ่ คือเขตชานเมืองหรือตามจุดเกิดเหตุที่มีคนตายเป็นจำนวนมาก ยกตัวอย่างเช่น ทางสาม และสี่แพร่ง
สถานที่ฮิตอย่างเช่นวัดดอนนั้น เป็นที่ขึ้นชื่อเรื่องมีสุสานอยู่เป็นจำนวนมาก แม้แต่เดิมจะเคยมีความเฮี้ยนอยู่ แต่ในปัจจุบันปรากฏว่า “คน” ได้เข้ามายึดพื้นที่ในบริเวณดังกล่าวเป็นที่อยู่อาศัย กระทั่งเราสามารถเห็นคนตากผ้าถุงเหนือสุสานเป็นภาพชินตา ทำให้ความน่ากลัวเริ่มลดทอนลงไปเกิดเป็นเคส “คนไล่ที่ผี” จนหายเฮี้ยน
อันตรายจากผีเป็นอย่างไร?
บางสถานที่ในกรุงเทพฯอาจไม่ได้น่ากลัว และไม่มีผีอยู่ แต่บางที่ก็มีหลายแห่งยังมีผีชุกชุม การทำความรู้จักกับอันตรายในทางนี้ เป็นสิ่งที่รู้ไว้ไม่เสียหาย เหมือนคำกล่าวว่า “รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง” ซึ่งอันตรายจากที่สิ่งที่มองไม่เห็นนั้น อาจารย์มินระบุว่าสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มคือ อันตรายจากผีทั่วไป และอันตรายจากคุณไสย
อันตรายจากผีทั่วไปแบ่งออกเป็นอีก 2 ประเภทด้วยกัน คือ
ประเภทที่ 1 อันตรายจากการเข้าไปในสถานที่ที่มีผีหวงที่ เช่นผีที่สิงสู่ห้อง ๆ หนึ่งในโรงแรมที่ตนเองเคยฆ่าตัวตาย เมื่อมีคนมาพักในโรงแรมนั้นก็จะทำการหลอกหลอนเพราะรำคาญ
ประเภทที่ 2 อันตรายจากการเผลอลบหลู่ผี ในโลกของผีคำว่า “ความไม่รู้ เท่ากับ ไม่ผิด” นั้นใช้ไม่ได้เพราะจะมีผีบางประเภทที่ถือสาการให้เกียรติตนเป็นอย่างมาก การปฏิบัติตนในสถานที่หนึ่ง ๆ จึงเป็นสิ่งสำคัญ
งานศพถือเป็นอีกหนึ่งพิธีที่มีความละเอียดอ่อน จำเป็นต้องเคารพสถานที่ เพราะในโลกวิญญาณนั้น มักถือเอาคนตายเป็นเจ้าภาพงานศพ ความน่ากลัวที่เกิดส่วนใหญ่เป็นอาถรรพ์จากผู้ตายที่รู้สึกว่าไม่ได้รับการเคารพ
ตามความเชื่อของคนจีนนั้น หลังจากเข้าร่วมพิธีจะต้องทำการพรมน้ำกิ่งทับทิมก่อนเข้าบ้าน เพื่อไม่อนุญาตให้วิญญาณทั้งหลายสามารถเข้ามาในบ้านได้
อันตรายจากการทำคุณไสย และสิ่งลี้ลับอื่น ๆ
ภัยจากสิ่งเหนือธรรมชาติแบ่งกว้างๆเป็น 2 ประเภท คือคุณไสย และคุณผี ภัยจากผีทั่วไปไม่ได้ซับซ้อน แต่จากคุณไสยนั้นกลับตรงกันข้าม…
คุณไสยหมายถึงวิชาไสยเวทที่ใช้ทำร้ายคนอื่น
คนทำคุณไสยได้ต้องเก่งมาก ปัจจุบันเหลือน้อย ยากจะพบเจอแต่มีฤทธิ์รุนแรง…อย่างการเสกหนังควายเข้าท้องต้องใช้หนังควายทั้งผืนเพื่อสลักยันต์ จากนั้นเขียนชื่อที่ต้องการทำร้ายลงไป จึงตั้งของเซ่นไหว้ พับหนังควายแล้วเสกคาถาส่งไปให้คนที่จะโดนคุณไสย แม้ทำได้ยากแต่สามารถเห็นผลทันที
คุณผีหมายถึงไสยศาสตร์ที่ใช้พลังจากผีเป็นแรงหลัก สามารถส่งต่อจากอาจารย์ถึงลูกศิษย์ได้ โดยผีที่เอาไปใช้จะมีความเชี่ยวชาญในการทำร้ายคน การเลี้ยงผีที่ไม่เป็นอันตรายเห็นได้โดยทั่วไป คือกุมารทองโดยเลี้ยงจากการเซ่นไหว้ในวันโกนวันพระ
ถ้าจะเลี้ยงให้แรงก็สามารถทำได้แต่นักไสยเวทไม่แนะนำเพราะเฮี้ยนมาก คนเลี้ยงต้องมีอำนาจจิตสูง, มีของป้องกันตนเอง, หรือมีสิทธิในการเลี้ยงดูสืบทอดเท่านั้น
นอกจากการเลี้ยงกุมารทอง วิชาทำหุ่นก็ถือเป็นไสยศาสตร์ที่ต้องใช้ผีเช่นกัน ซึ่งวิธีการใช้ศาสตร์นี้ต้องใช้คำสาปจากความรู้สึกโกรธเกลียด อาฆาตเพื่อถ่ายเทไปยังผู้โดนสาปแช่งให้มีอันเป็นไป แต่สิ่งสำคัญอย่าลืมกฏการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียม เมื่อส่งไปเท่าไหร่จะมีภัยส่งกลับคืนเช่นกัน
ในวงการจีนตอนใต้จนถึงภาคเหนือของไทย มีการใช้คุณไสยวิธีหนึ่งคือการคัดเลือกสัตว์มีพิษมาแข่งขันเพื่อหาตัวที่เก่งที่สุด ภาษาจีนเรียกว่า “กู่” แปลว่าหนอนหรือแมลง ส่วนภาษาเหนือเรียกว่า “ตู้” วิธีการคือจะใช้ปล่อยพิษใส่คน ทำให้เจ็บป่วย
เคสอาถรรพ์แปลก
อาจารย์มินยกตัวอย่างเคสอาถรรพ์ที่เคยมีประสบการณ์ เช่นมีวัดแถวถนนนวมินทร์แห่งหนึ่ง พระที่เข้ามาจำพรรษาหากไม่ปฏิบัติตามคำสอน มักจะพบเจอเหตุการณ์ประหลาดเช่น โดนลากขาออกจากกุฏิ! แม้จะนอนอยู่ในห้องลงกลอนแน่นหนาก็ตาม
ส่วนเคสคุณไสยก็มีความสยดสยองไม่แพ้กัน… ยกตัวอย่างเช่นมีผู้หญิงคนหนึ่งเดินทางมาที่สำนักอาจารย์มิน หน้าตาเธอดูหม่นหมองจากพลังลบที่แพร่ออกมาระหว่างการทำพิธีนั้น เธอเกิดอาการกรี๊ดลั่นหลังถูกพรมน้ำมนต์
อาจารย์จึงนำมีดหมอมาใช้รักษา แล้วให้กินน้ำมนต์ตามเข้าไป เธอรู้สึกพะอึดพะอมจนอาเจียนออกมาเป็นเมือก ขี้เถ้า และกระดูกผี โดยอาเจียนหนักออกมาถึง 3 รอบ! จากนั้นหน้าตาเธอจึงดูสดใสขึ้น เมื่อทำการสอบถามก็เชื่อว่าอาจถูกแฟนเก่าของแฟนเธอทำของใส่
วงการไสยศาสตร์ไทย
วงการไสยศาสตร์ไทยมีรากฐานจากศาสนาผี ซึ่งตามคติชนวิทยาเป็นศาสนาแรกของมนุษย์ เกิดจากการสัญชาตญานที่มนุษย์กราบไหว้สิ่งที่ตนเองรู้สึกว่าลึกลับ มีอำนาจ หรือน่ากลัว
วงการไสยศาสตร์ถือเป็นวงการใหญ่ที่แทรกซึมไปในทุกระดับชั้นในสังคมไทย ตามหลักดีมานซัพพลาย
อาจารย์มินเชื่อว่าต่อให้มนุษย์อพยพไปดาวอังคาร หรือโคโลนีอวกาศอื่น มันก็จะมีของพวกนี้สอดแทรกอยู่ด้วยเสมอ เพราะมันคล้ายกับวัฒนธรรมที่สะท้อนจากสัญชาตญานมนุษย์ จนเราปฏิเสธไม่ได้
เวทร้ายบางอย่างถึงกับการันตีได้ว่ายิงใส่ใครแล้วตายใน 7 วันแน่นอน คุณไสยชนิดนี้ผู้ทำพิธีไม่สามารถนอนได้จนกว่าศพเหยื่อจะถูกเผา และต้องย้ายที่อยู่ด้วยเพราะกลัวคนตายเอาคืน
วิธีการเอาตัวรอดจากภัย ผี ปีศาจ และศาสตร์มืด
หัวใจสำคัญของวิธีการเอาตัวรอดคือ “มีสติ ชนะทุกอย่าง” เพราะใช้ได้กับทุกสถานการณ์เรื่องผีก็เช่นกัน ดังสุภาษิตที่ว่า “สติมาปัญญาเกิด สติเตลิดจะเกิดปัญหา” ยิ่งใช้กับศาสตร์ที่มองไม่เห็นด้วยแล้วนั้น หากมีสติย่อมมีชัยไปมากกว่าครึ่งแน่นอน
ยกตัวอย่างเช่นหากมีเสียงแปลกประหลาดมาเรียกเราในยามค่ำคืน ห้ามตอบรับอย่างเด็ดขาด เพราะก่อนวันพระจันทน์เต็มดวงหรือวันโกนมาถึง พวกเล่นไสยศาสตร์มนต์ดำทั้งหลายมักต้องปล่อยของออก เพื่อไม่ให้พลังงานลบสะสมอยู่กับตนเองมากเกินไป ของเหล่านั้นจึงจะพยายามหาที่ลงซึ่งคนที่กำลังดวงซวยหรือมีเคราะห์ อาจโดนก่อกวนได้ง่าย
อย่างที่กล่าวไปก่อนหน้านั้น ผีเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น การจะปรากฏตัวให้เห็นนั้นจึงใช้พลังงานสูงมาก ซึ่งผีที่เกิดจากคุณผี หรือสัมภเวสีมักชื่นชอบการทำให้คนตกใจกลัว เพราะความกลัวคือจุดอ่อนของมนุษย์เรา การกลัวจากจิตใจ ตลอดจนความรู้สึกนึกคิด ย่อมทำให้พลาดพลั้งสติจนเกิดเป็นอุบัติเหตุถึงแก่ชีวิตได้
การโดนคุณไสยนั้นจำเป็นที่จะต้องมีการถอนของออก วิธีป้องกันง่ายๆแบบพื้นฐาน คือการหาสิ่งของยึดเหนี่ยวจิตใจให้ ”มีศรัทธา” หรือความเชื่อมั่น เช่นการนับถือท้าวเวสสุวรรณ, การใส่ตะกรุด, และการสวมหินอัญมณีที่ไม่จำเป็นต้องเกี่ยวพันกับการนับถือศาสนาก็ได้
การนับถือเหล่านี้ขึ้นอยู่กับศรัทธาของแต่ละบุคคล ทำให้มีกำลังใจเพิ่มขึ้น ในอีกทางหนึ่งมันจะเป็นเหมือน “การติดสติ้กเกอร์ว่าคุณเป็นเด็กใคร” ทำให้ผีมาทำอันตรายแก่คุณยากขึ้น
บทส่งท้าย
บทความนี้ไม่ได้มีเจตนาให้คุณเชื่อหรือไม่เชื่อในเรื่องของผี แต่เรียบเรียงวิธีการเอาตัวรอดจากผีในกรุงเทพฯ มาเป็นส่วนเสริมในการใช้ชีวิตเหมือนคนทั่วไป เพียงแค่คุณมีสติและศรัทธาในสิ่งที่คุณเชื่อมั่นก็อาจรอดปลอดภัยจากสิ่งเหล่านี้ไม่ยาก
ส่วนผีเองโดยมากก็เหมือนคน ถ้าไม่ทำอะไรเขาก่อน เขาก็จะไม่ทำร้ายคุณ
0 Comment