ปลายศตวรรษที่ 18 ถึงต้นศตวรรษที่ 19 บุรุษผู้หนึ่งได้เปลี่ยนหมู่เกาะฮาวาย จากที่เคยปลีกวิเวกจากโลกภายนอก ทั้งแตกเป็นหลายก๊กหลายเหล่าทำสงครามกันเอง กลายเป็นราชอาณาจักรหนึ่งเดียวที่ยิ่งใหญ่ มีเทคโนโลยีทันสมัย สามารถทำการค้ากับนานาประเทศตั้งแต่เมืองกวางตุ้งจนถึงเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก นามของบุรุษผู้นั้นคือ “พระเจ้าคาเมฮาเมฮา” และนี่คือเรื่องราวของเขา
1. ก่อนที่จะตกเป็นรัฐหนึ่งของอเมริกานั้น ฮาวายเคยเป็นอาณาจักรของชาวโพลีนีเซียนที่รุ่งเรืองมาก่อน ซึ่งในปัจจุบันนี้หากคุณถามคนพื้นเมืองว่าใครคือบิดาของฮาวาย ทุกคนก็จะตอบพร้อมกันว่า “คือพระเจ้าคาเมฮาเมฮา” บัดนี้ขอเชิญทุกท่านนั่งลง ผมจะเล่าเรื่องราวของเขาให้ฟังนะครับ
2. สันนิษฐานว่าชาวโพลีนีเซียนมาตั้งรกรากอยู่บนเกาะฮาวายไม่ต่ำกว่าหนึ่งพันปี พวกเขาจึงมีวัฒนธรรมร่วมกับชาวโพลีนีเซียนอื่นๆ เช่นชาวตองกา, ฟิจิ, ซามัว, และชาวเมารีในนิวซีแลนด์ แต่ด้วยชัยภูมิห่างไกล ทำให้ฮาวายไม่ได้ติดต่อกับโลกภายนอกมาเป็นเวลาหลายร้อยปี
3. ฮาวายแต่โบราณปกครองด้วยระบบกษัตริย์ แบ่งเขตการปกครองเป็นหลายระดับได้แก่:
โมคูพูนิ หรือ เกาะ
โมคู หรือ จังหวัด
อาฮูพัวอา หรือ อำเภอ
และ อีลี หรือ ตำบล
การแบ่งเขตมักจะตั้งใจตัดเขตอาฮูพัวอาหนึ่งๆ ให้มีทั้งพื้นที่ภูเขา ป่า และชายหาด เพื่อให้คนในอาฮูพัวอามีทรัพยากรหลากหลาย สามารถพึ่งพาตนเองได้
ชาวฮาวายเลี้ยงหมู เลี้ยงไก่ เลี้ยงหมา คำว่าอาฮูพัวอา แปลว่ากองหินรองหมู หมายถึงอาฮูพัวอาแต่ละแห่งจะมีกองหินรองเครื่องบรรณาการให้เจ้าเกาะ ซึ่งบรรณาการนั้นมักเป็นหมูนั่นเอง
4. ชาวฮาวายเชื่อโชคลางมาก โดยเชื่อว่ามนุษย์ สัตว์ สิ่งของ และสถานที่จะมีพลังศักดิ์สิทธิ์เรียกว่า “มานา” (ผมหาคำแปลไทยที่ใกล้เคียงที่สุด น่าจะเป็นคำว่า “บุญ”)
มานาจะเป็นเครื่องบอกว่าคุณมีอำนาจมากเท่าใด โดยมันอาจเพิ่มหรือลดลงขึ้นกับการกระทำของคุณ และเทพเจ้าที่คุณนับถือ เช่นหากคุณนับถือเทพสงคราม คุณจะได้เพิ่มมานาจากการออกศึก และหากคุณนับถือเทพแห่งความอุดมสมบูรณ์ คุณจะได้เพิ่มมานาจากการมีเพศสัมพันธ์
5. นอกจากนั้นชาวฮาวายยังมี “คาพู” หรือรีตปฏิบัติ ที่บอกว่าคนสถานะใด จะต้องปฏิบัติกับคนสถานะอื่นอย่างไร, สามารถเข้าออกที่ไหนได้บ้าง, ไปจนถึงสามารถกินอะไรได้บ้าง เช่นชายหญิงห้ามกินข้าวร่วมกัน, ผู้หญิงห้ามกินกล้วย ห้ามกินมะพร้าว ห้ามกินหมู, ประชาชนจะไปหาหัวหน้าเผ่าต้องตัดเล็บ ตัดผม, และห้ามมองตาหัวหน้าเผ่าตรงๆ อนึ่งการฝ่าฝืนคาพูอาจทำให้มานาลดจนกระทั่งตายได้
6. ในปลายศตวรรษที่ 18 นั้น ฮาวายแปดเกาะได้แบ่งออกเป็นสี่อาณาจักร เรียงจากขวาไปซ้าย ได้แก่ อาณาจักรฮาวาย (เกาะใหญ่สุด) อาณาจักรเมาอี อาณาจักรโออาฮู และอาณาจักรคาไว ทั้งสี่อาณาจักรนี้ทำสงครามชิงความเป็นใหญ่กันอยู่เสมอ ตอนนั้นประชากรทั้งสี่อาณาจักรรวมกันประมาณสามแสนคน
7. ปี 1778 กัปตันเรือชาวอังกฤษชื่อเจมส์ คุกค้นพบหมู่เกาะฮาวาย เขาได้รับการต้อนรับจากชาวเกาะเป็นอย่างดีในช่วงแรก และพบว่าเกาะนี้เป็นชัยภูมิที่ยอดเยี่ยมในการพักเรือ เพราะอยู่ตรงกลางมหาสมุทรแปซิฟิก
8. ต่อมาปี 1779 คุกทะเลาะกับชาวเกาะ เขาพยายามหลอกลักพาอลิอี (กษัตริย์) ของเกาะฮาวายไปเรียกค่าไถ่ แต่ไม่สำเร็จ จึงถูกชาวเกาะฆ่าตาย นับแต่นั้นชาวฮาวายก็เริ่มติดต่อกับโลกภายนอก ค้าขายบ้าง รบกันบ้างแล้วแต่อารมณ์และสถานการณ์
9. พระเจ้าคาเมฮาเมฮาเกิดในปี 1736 ผ่านพ้นช่วงที่ฮาวายเริ่มรู้จักโลกภายนอกบ้างแล้ว เขาเป็นหลานของพระเจ้าคาลานิโอพูอู อลิอีแห่งเกาะฮาวาย ตอนเกิดมาโหรก็ทำนายว่าเด็กนี้มานาแรง ข้างหน้าจะล้างวงศ์ญาติตนเอง จึงตั้งชื่อว่า คาเมฮาเมฮา แปลว่า “ผู้โดดเดี่ยว”
10. คาเมฮาเมฮาโตขึ้นมาเป็นเด็กหนุ่มที่ร่างกายแข็งแรง สติปัญญาเฉลียวฉลาด ครั้นอายุได้สิบสี่ปีก็แสดงปาฎิหาริย์พลิกศิลานาฮา ซึ่งเป็นศิลาศักดิ์สิทธิ์ มีคำทำนายว่าใครพลิกได้จะเป็นผู้รวบรวมหมู่เกาะฮาวายเป็นหนึ่ง
11. พระเจ้าคาลานิโอพูอูเห็นคาเมฮาเมฮามีบุญญาธิการ (มานา) มากกว่าเจ้าชายรัชทายาทคิวาลาโอซึ่งเป็นลูกของตน เขาไม่อยากเห็นเด็กทั้งสองรบกันเอง พอป่วยใกล้ตายจึงทำพินัยกรรม ให้คิวาลาโอเป็นอลิอีต่อ แต่ให้คาเมฮาเมฮาเป็นผู้นำศาสนา มีหน้าที่ปกครองวิหารหลวง และอาณาเขตโดยรอบ
12. อนิจจาคาลานิโอพูอู ไม่น่าศึกษาประวัติศาสตร์ดี เพราะการแบ่งอำนาจไม่เด็ดขาดเช่นนี้ มักเป็นสูตรสำเร็จของสงครามกลางเมือง
หลังคาลานิโอพูอูตายไม่นานบรรดาหัวหน้าเผ่าต่างๆ เห็นคาเมฮาเมฮามีมานาสูงกว่าอลิอี เกรงว่าหากไม่สวามิภักดิ์เสียก่อน ภายหน้าจะมีความผิด จึงพากันไปเข้าด้วยคาเมฮาเมฮาเป็นอันมาก
14. ตอนแรกทัพของคิลาวาโอเป็นฝ่ายได้เปรียบ แต่คิลาวาโอถูกก้อนหินบาดเจ็บ และถูกแม่ทัพฝ่ายคาเมฮาเมฮาเอากริชฟันฉลามปาดคอตาย คาเมฮาเมฮาจึงได้รับชัยชนะและเป็นฝ่ายครอบครองเสื้อคลุมขนนกประจำราชวงศ์ที่ดึงมาจากศพของคิลาวาโอ
15. แต่นั้นเกาะฮาวายก็แตกเป็นสองเมือง คือเมืองของคาเมฮาเมฮาซึ่งสถาปนาตัวเป็นอลิอีทางฝั่งเหนือ และเมืองของเคอัวคูอฮูอูลาซึ่งหนีไปตั้งตัวเป็นอลิอีในฝั่งใต้
16. ขณะนั้นพวกฮาวายมีเรื่องรบพุ่งกับเรือฝรั่งที่มาถึงเกาะอยู่เนืองๆ ครั้งหนึ่งเรือชื่อแฟร์อเมริกันมาเกยตื้นในเขตหนึ่ง หัวหน้าเขตนั้นยกพลเข้าสังหารคนบนเรือตายหมด ไว้ชีวิตกะลาสีคนเดียวชื่อไอแซค ดาวิส จึงจับมัดไปให้คาเมฮาเมฮาดูเล่น
คาเมฮาเมฮามีวิสัยทัศน์กว้างไกล เขายื่นข้อเสนอให้ดาวิสสองทางเลือกคือ:
1) ตาย
2) ยอมมาเป็นที่ปรึกษาของคาเมฮาเมฮา โดยอลิอีอยากรู้จักชาวตะวันตก สนใจในอาวุธปืน และให้สอนวิธีขับเรือแฟร์อเมริกัน เพื่อตอบแทนอลิอีจะให้บ้านพร้อมที่ดิน ให้ตำแหน่งราชการ และให้เมียกับดาวิส
ให้ทายว่าดาวิสตอบว่าอะไร?…
17. คาเมฮาเมฮายังมีที่ปรึกษาชาวตะวันตกอีกคนชื่อจอห์น ยัง เป็นกะลาสีที่ถูกพวกฮาวายลักพาตัวมา และยื่นข้อเสนอแบบเดียวกับดาวิสให้
ยังกับดาวิสทำหน้าที่ช่วยเหลือคาเมฮาเมฮาอย่างดี ทำให้ติดต่อกับชาวตะวันตกอื่นๆ ได้อีกมาก
ฮาวายใต้คาเมฮาเมฮาจึงทำการค้าขายกับต่างประเทศ เจริญก้าวหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว มีปืนเล็ก ปืนใหญ่สามารถผลิตกระสุนดินดำได้เอง
18. ต่อมาปี 1790 อลิอีของอาณาจักรเมาอี ยกทัพไปตีอาณาจักรโออาฮู ปล่อยให้รัชทายาทคือเจ้าชายคาลานิคูปูเลรักษาเกาะ คาเมฮาเมฮาฉวยโอกาสนั้นพาทหารฝีมือดี 1,200 นายเข้าตีเกาะเมาอี
19. ทัพสองฝ่ายรบกันในโตรกธารอยู่สามวันไม่แพ้ไม่ชนะ จนดาวิสกับยังเอาปืนใหญ่มาช่วย ฝ่ายคาเมฮาเมฮาจึงได้เปรียบ สามารถตีคาลานิคูปูเลล่าถอยไป ว่ากันว่าแม้ศึกนั้นไม่มีแม่ทัพสำคัญฝ่ายเมาอีตาย แต่พวกเมาอีก็สูญเสียมาก เพราะศพทหารที่ตายเกลื่อนโตรกธารทำให้น้ำเป็นพิษ คนดื่มน้ำพากันป่วยตาย
20. คาเมฮาเมฮาตีไปถึงพระราชฐานฝ่ายในของเมาอี จับได้นางในเป็นจำนวนมาก ในจำนวนนั้นมีเจ้าหญิงเคโอพูโอลานิซึ่งมีสิริโฉมงดงาม เป็นลูกสาวของคิลาวาโอที่หนีมาอยู่กับป้าในเมาอี
ป้าของเคโอพูโอลานิเห็นฝ่ายตนสิ้นบุญแล้วจึงยกนางให้เป็นภรรยาของคาเมฮาเมฮา
เจ้าหญิงเคโอพูโอลานินี้จะได้เป็นมารดาของอลิอีที่สืบต่อจากคาเมฮาเมฮา และเนื่องจากนางมีอายุต่างจากสามีมาก คาเมฮาเมฮาจึงมักเรียกบุตรที่เกิดกับนางว่า “หลาน”
21. คาเมฮาเมฮาได้ชัยต่อเมาอีไม่ทันไร เคอัวคูอฮูอูลาซึ่งปกครองฮาวายใต้ก็ฉวยโอกาสบุกตีฮาวายเหนือ ทำให้คาเมฮาเมฮาต้องรีบถอนทัพกลับไปจัดการ และจำใจยอมปล่อยให้เมาอีกลับคืนสู่ผู้ปกครองเดิม
22. ทัพสองฝ่ายรบกันไม่แพ้ไม่ชนะ แต่เคอัวคูอฮูอูลาโชคร้าย คืออยู่ดีๆ บริเวณตั้งทัพก็เกิดภูเขาไฟระเบิด ลาวาถั่งโถมสังหารไพร่พลตายไปสองในสาม แสดงว่ามานาของคาเมฮาเมฮาแรงจริงๆ แม้เปเล่เทพีแห่งภูเขาไฟยังยื่นมือช่วย
23. เคอัวคูอฮูอูลาตระหนักว่าตนหมดมานาแล้ว จึงกัดฟันทำร้ายตนเองพิการเพื่อไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามจับไปบูชายัญ (เหยื่อบูชายัญตามประเพณีต้องเป็นคนร่างกายสมบูรณ์) จากนั้นอลิอีแห่งฮาวายใต้ก็เข้าไปหาคาเมฮาเมฮา จนถูกหอกทัพฝ่ายเหนือสังหาร สิ้นศึกนี้คาเมฮาเมฮาจึงสามารถรวมฮาวายเหนือใต้เป็นปึกแผ่นสำเร็จ
24. ปี 1794 อลิอีของเมาอีตาย (ตอนนั้นเมาอียึดโออาฮูได้ รวมเป็นอาณาจักรเดียวกันแล้ว) เจ้าชายคาลานิคูปูเลขึ้นครองราชย์แทน คาเมฮาเมฮาฉวยโอกาสช่วงเมาอีผลัดแผ่นดินระดมไพร่พลไปตีอีกครั้ง คราวนี้ใช้ทัพใหญ่อย่างไม่เคยมีมาก่อน ประกอบด้วยแคนูสงคราม 120 ลำ ทหาร 12,000 นาย กะจะพิชิตเมาอีรวมแผ่นดินให้จงได้
25. เวลานั้นเมาอีก็พยายามติดต่อกับตะวันตกจนได้ปืนเล็ก ปืนใหญ่มาใช้เหมือนกัน ทำให้คาเมฮาเมฮาไม่ได้เปรียบขนาดนั้น ทั้งสองฝ่ายรบกันอย่างดุเดือด
26. ในที่สุดคาเมฮาเมฮายึดเกาะเมาอีสำเร็จ คาลานิคูปูเลพาไพร่พลล่าถอยไปเปิดศึกสุดท้ายที่โออาฮู
27. ที่โออาฮูนี้ทัพคาเมฮาเมฮาตีแนวป้องกันของเมาอีแตกแนวแล้วแนวเล่า กระทั่งผลักดันทหารฝ่ายเมาอีไปติดหน้าผา สุดท้ายทหารเมาอีนับพันนายหากไม่ถูกผลักให้ตกผาตาย ก็อับจนกระโดดลงไปฆ่าตัวตายเอง
ปัจจุบันมีการก่อสร้างตรงใต้ผา พบโครงกระดูกของนักรบที่ตายในศึกนี้ไม่ต่ำกว่า 800 โครง
28. คาเมฮาเมฮาจับคาลานิคูปูเลไปบูชายัญต่อเทพสงคราม “คู” ซึ่งเป็นเทพประจำตัวของเขา เสร็จศึกนี้สถานการณ์ก็ค่อนข้างบ่งชัดว่าคาเมฮาเมฮาไร้ผู้ต่อต้านในใต้หล้าฮาวาย
29. ตอนนี้ยังเหลือเพียงอาณาจักรคาไวไม่อยู่ใต้การปกครอง แต่คาเมฮาเมฮาก็มิได้พิชิตต่อ เขาใช้เวลาส่วนใหญ่ในการทำนุบำรุงประเทศ ทั้งปรับปรุงระบบที่ดินที่ช่วยให้รวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางง่ายขึ้น, สนับสนุนการค้ากับต่างประเทศ, และสร้างโบสถ์วิหาร บำรุงศาสนา
30. สินค้าฮาวายที่ต่างประเทศต้องการมากคือไม้จันทน์ คาเมฮาเมฮาถึงแก่ออกกฎห้ามตัดไม้จันทน์ที่ยังอ่อน เพื่อรอให้มันโตพอใช้งานได้ก่อน เขายังสนับสนุนให้มีการสร้างโกดังสินค้า และส่งออกเรือไปค้าขายกับนานาชาติ
31. คู่ค้าสำคัญของฮาวายคืออังกฤษและอเมริกา เมื่อสองชาตินี้รบกัน ทำให้คาเมฮาเมฮากังวลว่าเรือที่ฮาวายส่งไปจะถูกเข้าใจผิดว่าเป็นเรืออังกฤษหรืออเมริกาหรือเปล่า ในที่สุดเขาจึงคิดธงที่ผสมระหว่างธงอังกฤษและธงอเมริกาขึ้นมาติดเรือ จนมันกลายมาเป็นธงชาติของฮาวายในที่สุด
32. ในด้านกฎหมายคาเมฮาเมฮาได้ตั้ง “กฎแห่งไม้พายหัก” เรื่องมีอยู่ว่า ในปี ค.ศ. 1782 ขณะที่เขากำลังทำสงครามรวบรวมเกาะอยู่นั้น เผอิญเขาก้าวพลาด เท้าไปติดในซอกหิน ขยับออกมาไม่ได้
ตอนนั้นชาวประมงท้องถิ่นสองคน มีความหวาดกลัวยอดนักรบผู้นี้มาก จึงรุมกันเอาไม้พายตีเขาจนสลบแล้วหนีไป ทิ้งไว้แต่ไม้พายที่หักจากการฟาด
สิบสองปีต่อมาได้มีการจับกุมชาวประมงทั้งสองมาเข้าเฝ้าคาเมฮาเมฮา แต่แทนที่จะลงโทษ อลิอีแห่งฮาวายกลับบอกว่า “พวกเขาทำถูกแล้ว มันเป็นสิทธิที่คนบริสุทธิ์ต้องป้องกันตัวเองในภาวะสงคราม”
คาเมฮาเมฮาจึงตั้ง “กฎแห่งไม้พายหัก” ซึ่งระบุว่า “ให้เด็ก สตรี คนชรา และคนบริสุทธิ์สามารถนอนบนถนนได้อย่างปลอดภัยแม้ในยามสงคราม (คือห้ามนักรบทุกคนรังแกผู้บริสุทธิ์)”
ต่อมากฎนี้ได้ช่วยรักษาชีวิตของคนไว้มากมาย และกลายเป็นกฎพื้นฐานของธรรมนูญฮาวายจนปัจจุบัน
33. ปี 1810 อลิอีแห่งคาไวเข้าสวามิภักดิ์คาเมฮาเมฮาเอง ทำให้เขาสามารถบรรลุความฝันสูงสุดคือรวมแผ่นดินสำเร็จ
34. ราชวงศ์ของคาเมฮาเมฮามีกษัตริย์ปกครองต่อมาอีกห้ารัชกาล ลูกหลานชั้นหลังเปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์
แม้คาเมฮาเมฮาจะประสบความสำเร็จในการปกครองอย่างมาก แต่การติดต่อกับตะวันตกก็นำมาซึ่งภัยฝีดาษที่คร่าชีวิตชาวฮาวายจาก 300,000 คนลงเหลือเพียง 60,000 คนในเวลาไม่นาน เพราะชาวเกาะไม่มีภูมิคุ้มกัน เรื่องนี้ระยะยาวทำให้ประเทศอ่อนแอลงจนถูกอเมริกาผนวกในที่สุด
กระนั้นตำนานของคาเมฮาเมฮาก็ยังอยู่ในจิตใจของชาวฮาวายจนปัจจุบัน
0 Comment