“ตูนิเซีย” เป็นประเทศที่คนไทยส่วนใหญ่อาจยังไม่คุ้นชื่อ แต่ถ้าบอกว่านี่คือประเทศที่ตั้งอยู่บนแผ่นดินเดียวกับ “อาณาจักรคาร์เธจ” ในสมัยโบราณที่เคยเป็นศัตรูตัวฉกาจของโรมมาก่อน เชื่อว่าหลายท่านน่าจะรู้จักกันบ้างแล้ว
แต่ว่าหลังจากอาณาจักรคาร์เธจแล้วมันเกิดอะไรขึ้นในพื้นที่แห่งนี้ต่อกันแน่? มาจนถึงยุคร่วมสมัยที่กลายเป็นแหล่งกำเนิดของ “อาหรับสปริง” ที่สั่นสะเทือนโลกอาหรับ เรามาทำความเข้าใจถึงประวัติศาสตร์ของประเทศนี้กันโดยใช้เวลาเพียง 10 นาทีกันครับ
เมื่อดูในแผนที่จะเห็นตูนิเซียตั้งอยู่ในแอฟริกาเหนือ อยู่บริเวณใกล้เคียงกับกึ่งกลางของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ถัดออกไปทางเหนือมีเกาะใหญ่หนึ่งที่ปลายรองเท้าบูตอิตาลี นั่นคือ “เกาะซิซิลี” นั่นหมายความว่าพื้นที่ตูนิเซียจึงมีความสำคัญในการควบคุมการค้าทางทะเลโดยเฉพาะส่วนที่ผ่านช่องแคบซิซิลี …และแน่นอนว่าเป็นที่หมายปองของชาติต่างๆ ซึ่งจะกล่าวต่อไป
เชื่อว่าบรรพบุรุษของคนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่แถบนี้อพยพมาจากเมโสโปเตเมียซึ่งเป็นอู่อารยธรรมหนึ่งของโลกเมื่อราว 4,000 ปีก่อน ค.ศ. คนเหล่านี้ก็คือบรรพบุรุษของ “ชาวเบอร์เบอร์” (Berber) ที่ถือเป็นชนพื้นเมืองดั้งเดิมในพื้นที่ ขณะที่นักประวัติศาสตร์โรมันเรียกชื่อคนในพื้นที่หลายกลุ่ม เช่น แกตูลี (Gaetuli) ลิเบีย นูมีเดีย (Numedia) ไปจนถึงมอรี (Mauri) หรือมัวร์ (Moor) ซึ่งทั้งหมดเป็นคนกึ่งเร่ร่อน
ต่อมาเข้าสู่ยุคประวัติศาสตร์ มีหลักฐานว่า “ชาวฟินีเซีย” ซึ่งเดิมเป็นกลุ่มคนที่กำเนิดขึ้นในแถบเลบานอนและมีชื่อเสียงเรื่องการค้าขายทางทะเล เข้ามาตั้งถิ่นฐานตามชายฝั่งตูนิเซียตั้งแต่ศตวรรษที่ 12 ก่อน ค.ศ. และตำนานเล่าว่าเมือง “คาร์เธจ” ถูกตั้งขึ้นในศตวรรษที่ 8 ก่อน ค.ศ.
และอย่างที่เรารู้กันว่าต่อมาคาร์เธจจะเติบโตขึ้นจนกลายเป็นมหาอำนาจชาติหนึ่งในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน แต่ในช่วงศตวรรษที่ 3-2 ก่อน ค.ศ. คาร์เธจได้กลายมาเป็นศัตรูกับโรม และมีวีรกรรมที่มีชื่อเสียงคือการเดินทัพข้ามเทือกเขาแอลป์พร้อมกับช้างศึกของแม่ทัพ “ฮันนิบาล” ที่เกือบพิชิตโรมได้นั่นเอง
ทว่าสุดท้ายแล้วคาร์เธจได้แพ้ต่อโรม จากนั้นพื้นที่ตูนิเซียและแอฟริกาเหนือกลายเป็นส่วนหนึ่งของโรมัน กลายมาเป็นพื้นที่เกษตรกรรมผลิตอาหารที่สำคัญจนได้ชื่อว่าเป็น “อู่ข้าวอู่น้ำของจักรวรรดิ” (เป็นการปฏิเสธตำนานการหว่านเกลือให้เพาะปลูกไม่ขึ้นของโรมันด้วย ล่าสุดคำอธิบายที่เป็นไปได้คือมีการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศทำให้ความชื้นลดลงจนแอฟริกาเหนือกลายเป็นทะเลทรายมากกว่า) และอิทธิพลของโรมันในแถบนี้รวมไปถึงการสร้างสถาปัตยกรรมแบบโรมันรวมทั้งโคลอสเซียม และศาสนาคริสต์
โรมันปกครองพื้นที่ตูนิเซียมาราวๆ 3-4 ร้อยปี พื้นที่ส่วนนี้ได้ถูกอนารยชนเผ่า “แวนดัล” บุกเข้าควบคุม ก่อนที่โรมันตะวันออกสมัยจักรพรรดิจัสติเนียนส่งทหารมาหมายฟื้นฟูจักรวรรดิโรมันทั้งหมด ทำให้ตูนิเซียกลายเป็นของโรมันตะวันออกหรือไบแซนไทน์ราวๆ 165 ปี
ราวกลางศตวรรษที่ 7 กองทัพอาหรับมุสลิมเริ่มแผ่อำนาจเข้ามาในแอฟริกาเหนือ พวกเขาตั้งเมือง “ไครวน” ขึ้นในตูนิเซียเมื่อปี 670 ซึ่งเมืองนี้นับเป็นเมืองอิสลามแห่งแรกในแอฟริกาตะวันตกเฉียงเหนือ ภายในเมืองยังมี “มหามัสยิดแห่งไครวน” ผลงานศิลปะและสถาปัตยกรรมอิสลามชิ้นเอก และมีหออะซานหรือมินาเร็ตที่เก่าแก่ที่สุดในโลกด้วย
หลังจากถูกกองทัพอิสลามพิชิต ตูนิเซียยังมีการผลัดเปลี่ยนเจ้าของอีกหลายครั้ง ทั้งชาวเบอร์เบอร์ อาหรับ หรือแม้แต่ชาวนอร์มันจากซิซิลี (อิตาลี) ในช่วงนี้อาหรับค่อยๆ กลืนวัฒนธรรมและศาสนาของคนท้องถิ่น จนประชากรส่วนใหญ่เป็นมุสลิมในราวศตวรรษที่ 12
ในช่วงศตวรรษที่ 16 พื้นที่ตูนิเซียได้กลายมาเป็นสมรภูมิแย่งชิงความเป็นใหญ่ระหว่างสเปนที่แผ่ขยายเข้ามาทางทะเลกับออตโตมันที่แผ่ขยายเข้ามาทางบก สุดท้ายออตโตมันเป็นฝ่ายชนะและจะได้ปกครองพื้นที่แถบนี้มาราว 200 ปี เป็น “เอยาเล็ตตูนิส” (Eyalet of Tunis) ซึ่งมีพื้นที่ใกล้เคียงกับตูนิเซียปัจจุบัน …เรื่องราวน่าสนใจจากยุคนี้คือตูนิเซียเป็นส่วนหนึ่งของ “ชายฝั่งบาร์บารี” ซึ่งเป็นแหล่งปฏิบัติการของโจรสลัดมุสลิม (corsair) ที่ออกปล้นตามชายฝั่งชาติยุโรปหลายชาติและประมาณการว่ามีชาวยุโรปถูกจับเป็นทาสอาจแตะหลักแสนหลักล้านคนเลยทีเดียว
ในช่วงศตวรรษที่ 19 ผู้นำท้องถิ่นของตูนิเซียพยายามพัฒนาให้ทันสมัยตามแบบอย่างออตโตมันในเวลานั้น แต่การตกเป็นหนี้สินกับสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างชาติมหาอำนาจทำให้ฝรั่งเศสตัดสินใจบุกตูนิเซีย และทำให้ตูนิเซียกลายเป็นประเทศราชของฝรั่งเศสในปี 1881 ระหว่างนี้วัฒนธรรมตูนิเซียได้รับอิทธิพลจากฝรั่งเศสทั้งอาหาร จิตรกรรม วรรณคดี และโรงละคร
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 หลังฝรั่งเศสยอมจำนน ตูนิเซียได้อยู่ในการควบคุมของ “วิชีฝรั่งเศส” หรือรัฐบาลหุ่นฝรั่งเศสของนาซีเยอรมนี ตูนิเซียได้กลายมาเป็นหนึ่งในสมรภูมิสำคัญในแอฟริกาเหนือซึ่งฝ่ายสัมพันธมิตรตีไล่มาจากลิเบียและต้องการใช้ตูนิเซียเป็นฐานบุกต่อไปยังอิตาลี
หลังสงครามสงบลง ตูนิเซียได้กลับไปอยู่ในการควบคุมของฝรั่งเศสอีก แต่กระแสชาตินิยมได้โหมกระพือไปไม่หยุด บวกกับชาติมหาอำนาจอย่างสหรัฐและสหภาพโซเวียตล้วนสนับสนุนนโยบายปลดปล่อยอาณานิคมทั้งคู่ สุดท้ายฝรั่งเศสต้านทานไม่ไหวจึงเจรจาคืนเอกราชให้กับตูนิเซียในปี 1962
หลังได้รับเอกราช ตูนิเซียได้ประธานาธิบดีคนแรกชื่อ “ฮาบิบ บูร์กิบา” ซึ่งปกครองประเทศแบบพรรคการเมืองเดียวอย่างเด็ดขาด แต่ก็เป็นคนพัฒนาประเทศให้ทันสมัยและนำแนวคิดเสรีนิยมมาผสมกับศาสนาอิสลาม ทำให้ถูกเปรียบว่าเป็นเหมือน “อตาเติร์ก” ผู้นำคนแรกของตุรกี ทำให้เศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของประชาชนดีขึ้นบ้าง อย่างไรก็ตามก็มีการปราบปรามผู้เห็นต่างอย่างรุนแรงเช่นกัน ทำให้ตูนิเซียเคยถูกขนานนามว่า “ทันสมัยแต่มีการกดขี่มากเป็นอันดับต้นๆ ในตะวันออกกลางเช่นกัน”
ต่อมาในปี 1987 ปัญหาความไม่พอใจที่สะสมมาบวกกับอายุของบูร์กิบาที่มากขึ้น ทำให้มีนายพลชื่อ “ซัยนุลอาบิดีน บิน อะลี” ยึดอำนาจเงียบๆ ด้วยการประกาศว่าบูร์กิบามีปัญหาสุขภาพ แม้ในช่วงแรกบิน อะลีจะเปิดเสรีมากขึ้น แต่เมื่อทำท่าว่าจะเลือกตั้งแพ้จึงแบนพรรคฝ่ายตรงข้ามและลงเลือกตั้งแบบไร้คู่แข่ง จากนั้นเขาจะปกครองประเทศมาอีกกว่า 20 ปี
อาจกล่าวได้ว่าบิน อะลีทำให้เศรษฐกิจโตก็จริง แต่ก็มีปัญหาคอร์รัปชั่นและความเหลื่อมล้ำสูง โดยเฉพาะปัญหาเยาวชนว่างงาน จนในปี 2011 เกิดเหตุหนุ่มตูนิเซียวัย 26 ปีจุดไฟเผาตัวเอง ทำให้ปัญหาเศรษฐกิจและการขาดเสรีภาพที่หมักหมมมาปะทุกลายเป็นการประท้วงใหญ่ นำไปสู่การออกจากตำแหน่งของบิน อะลี และยังเป็นจุดเริ่มต้นของกระแส “อาหรับสปริง” ที่ลุกลามไปทั่วแอฟริกาเหนือและตะวันออกกลาง
หลังจากการปฏิวัติตูนิเซีย ประเทศยังคงเผชิญกับปัญหาทางเศรษฐกิจที่ถูกซ้ำเติมจากภาวะโควิด นอกจากนี้ประชาชนยังเสื่อมศรัทธาในระบบการเมืองของตูนิเซีย และยังเจอกับประธานาธิบดีที่รวบอำนาจไปเสียอีก
ทั้งหมดนี้คือเรื่องราวกว่า 6 พันปีของเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ตูนิเซียปัจจุบันนะครับ จะเห็นว่าชาติต่างๆ ผลัดกันเข้ามามีอิทธิพลในพื้นที่แห่งนี้ จนกลายมาเป็นประเทศแห่งวัฒนธรรมอันหลากหลายเป็นเอกลักษณ์ รวมทั้งบริบทต่างๆ ที่หล่อหลอมทำให้ตูนิเซียกลายเป็นอย่างในปัจจุบันนั่นเอง
#TWCHistory #TWCTunisia #TWC_Cheeze
0 Comment