สำหรับท่านที่ติดตามข่าวสารต่างประเทศในช่วงก่อนหน้านี้ บ้างคงสะดุดกับข่าวคราวสงครามกลางเมืองในพม่ามาแล้วไม่มากก็น้อยนะครับ โดยมีนำเสนอเนื้อหาทำนองว่า “จุดเปลี่ยนของสงครามกลางเมืองพม่ามาถึงแล้ว!” หรือไม่ก็ “รัฐบาลทหารพม่ามีแววแพ้สงคราม!”

ความขัดแย้งในพม่าที่ดำเนินมานับตั้งแต่ได้รับเอกราชจากอังกฤษนี้ได้ดำเนินมากว่า 70 ปีแล้ว ดังนั้นคำถามก็คือบทวิเคราะห์เหล่านี้มีโอกาสเกิดขึ้นได้มากน้อยเพียงใด? หรือว่านี่เป็นเพียงแค่การ “ไฮป์” เพื่อขายข่าว หรือแช่งมินอ่องหล่ายเท่านั้น?

*** ทำความเข้าใจสถานการณ์ในพม่า ***

สถานการณ์สงครามกลางเมืองในพม่าหรือเมียนมาร์เป็นความขัดแย้งทางเชื้อชาติระหว่างชาติพันธุ์พม่ากับชนกลุ่มน้อยที่ดำเนินมาตั้งแต่พม่าได้รับเอกราชจากอังกฤษใหม่ๆ ตั้งแต่ปี 1948 ซึ่งปัจจุบันก็กินเวลามากว่า 75 ปีแล้ว

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้มีตัวละครมากมาย และเต็มไปด้วยการรบๆ หยุดๆ ยากที่จะเล่ารายละเอียดทั้งหมด

อธิบายคร่าวๆ ว่าหลังจากพม่ามีการเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตยในยุคอองซานซูจี รัฐบาลพม่าได้มีการเซ็นสัญญาหยุดยิงกับชนกลุ่มน้อยหลายกลุ่มทั่วประเทศในปี 2015 นับเป็นนิมิตหมายอันดีทำให้ภาพสันติสุขระหว่างชาติพันธุ์ต่างๆ ในพม่ากลับมามีหวังอีกครั้ง

แต่นั่นมาถึงจุดเปลี่ยนเมื่อเกิดรัฐประหารในพม่าเมื่อปี 2021 ทำให้รัฐบาลทหารพม่ากับชนกลุ่มน้อยกลับมารบกันอีกครั้ง ในตอนนั้นมีประชาชนและทหาร-ตำรวจชาติพันธุ์พม่าไม่น้อยลุกขึ้นต่อสู้กับรัฐบาลทหารพม่าเช่นกัน ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ใหม่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

การสู้รบย่างเข้าปีที่ 3 แล้วทว่าก็ยังไม่มีวี่แววว่าใครจะชนะ เพราะความขัดแย้งยังมีลักษณะเป็นการก่อเหตุคล้ายๆ กับสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ไม่ได้มีการสถาปนาแนวรบหรือยึดครองพื้นที่อย่างชัดเจน

…แล้วสื่อเอาที่ไหนมาพูดว่าสถานการณ์ในพม่ามาถึงจุดเปลี่ยนแล้ว…

*** ปฏิบัติการ 1027 ***

สิ่งที่เกิดขึ้นคือเมื่อปลายเดือน ต.ค. 2023 สดๆ ร้อนๆ ขึ้นมานี้เอง กองกำลังชนกลุ่มน้อย 3 กลุ่ม ประกอบด้วยกองทัพพันธมิตรประชาธิปไตยแห่งชาติเมียนมาร์ (MNDAA) ซึ่งเป็นชาวจีนโกก้าง, กองทัพปลดปล่อยชาติดาราอั้ง (TNLA) ซึ่งเป็นชาวดาราอั้งหรือปะหล่อง, และกองทัพอาระกัน (AA) ซึ่งเป็นชาวอาระกัน หรือยะไข่ หรือระขิ่น รวมกันเรียกว่า “พันธมิตรสามภราดรภาพ” (Three Brotherhood Alliance) ได้เปิดฉาก “ปฏิบัติการ 1027” (1027 ก็คือวันที่ 27 ตุลาคมนั่นเอง)

ผมขอใช้พื้นที่นี้อธิบายชนกลุ่มน้อยที่กล่าวถึงในข้อที่แล้วเล็กน้อย โดยเฉพาะชาวจีนโกก้างและดาราอั้งนะครับ

ชาวจีนโกก้างเป็นชาวจีนอพยพตั้งแต่ยุคราชวงศ์หมิงในศตวรรษที่ 18 มาตั้งเป็นอาณาจักรอยู่ในพื้นที่โกก้างซึ่งปัจจุบันตั้งอยู่ทางตอนเหนือของรัฐฉาน เดิมเป็นพื้นที่ของพรรคคอมมิวนิสต์พม่าก่อนที่จะเปลี่ยนมือมาเป็นขุนศึกชาวโกก้างที่สนับสนุนชาตินิยม

ในช่วงหลัง กองทัพพม่าได้ดำเนินปฏิบัติการต่อโกก้างมาแล้ว 2 รอบในปี 2009 และ 2015 และได้เข้าควบคุมเมืองเล่าก์ก่าย (Luakkai) ซึ่งเป็นเมืองเอกของเขตปกครองตนเองโกก้าง โดยทั้งสองรอบนั้นมีมินอ่องหล่ายเป็นผู้นำนั่นเอง

ส่วนอีกกลุ่มคือดาราอั้ง (Ta’ang) เป็นกลุ่มชาติพันธุ์มอญ-เขมรกลุ่มหนึ่งในรัฐฉาน (แต่กระจายอยู่ในมณฑลยูนนานและภาคเหนือของไทยด้วย) ชาวไทใหญ่เรียกว่า “ปะหล่อง” พวกเขาอาศัยอยู่ในเขตปกครองตนเองปะหล่องทางเหนือของรัฐฉานเช่นกัน

โดยชาวดาราอั้งมีกลุ่มติดอาวุธของตนเองชื่อ PNLA ที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1976 แต่ได้ตกลงหยุดยิงกับรัฐบาลทหารพม่าเมื่อปี 1991 ส่วน TNLA ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1992 และยังคงต่อสู้กับกองทัพพม่า รวมทั้งหลังรัฐประหารปี 2021 ด้วย

…ที่น่าสนใจคือกองกำลังทั้งสองนี้อยู่ในพื้นที่ชายแดนจีน-พม่า และได้รับการสนับสนุนด้านอาวุธจากจีนด้วยจำนวนหนึ่ง ซึ่งรัฐบาลทหารพม่ากล่าวหาจีนในเรื่องนี้ แต่จีนปฏิเสธ

ปฏิบัติการ 1027 ในรัฐฉานมีนักรบเข้าร่วมประมาณ 20,000 คน พวกเขาสามารถตีชิงจุดยุทธศาสตร์ของกองทัพพม่าได้กว่า 150 จุด (เป็นพวกฐานทัพหรือค่ายส่วนหน้า) อย่างรวดเร็ว รวมทั้งเมืองที่มีความสำคัญไม่น้อย อย่างเช่น “ชินฉ่วยฮ่อ” (Chinshwehaw) เมืองการค้าตรงชายแดนจีน-พม่าที่มีมูลค่าการค้าหลักพันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี

พวกกองกำลังกลุ่มชาติพันธุ์มีการใช้โดรนติดระเบิดและสามารถลงมือได้โดยที่รัฐบาลทหารพม่าไม่ทันรู้ตัวล่วงหน้า มีบางกรณีที่หน่วยทหารพม่าระดับกองพันยอมจำนนโดยไม่มีการสู้รบ

รวมๆ แล้วฝ่ายกบฏยึดเมืองสำคัญๆ ไปได้ประมาณ 9 เมืองในพื้นที่รัฐฉาน กะฉิ่นและซะไกง์ทางเหนือและตะวันตกเฉียงเหนือของพม่า …ทั้งหมดเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์การสู้รบร่วม 75 ปีของพม่า

ด้านกองทัพพม่าตอบโต้ด้วยการโจมตีทางอากาศและระดมยิงปืนใหญ่ถล่มพื้นที่ของกบฏ ซึ่งมีกระสุนปืนใหญ่ลูกหลงไปตกใส่บ้านเรือนประชาชนในฝั่งจีนด้วย แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็ไม่สามารถระดมกำลังเพื่อตีตอบโต้และแย่งชิงพื้นที่ที่เสียไปได้

รัฐบาลทหารพม่ามีท่าทีออกมายอมรับว่าสถานการณ์เข้าขั้นวิกฤต หากไม่จัดการให้ดีประเทศอาจแตกเป็นเสี่ยงๆ ได้ และขอให้ประชาชนร่วมมือกับรัฐบาลทหารด้วย

และก่อนหน้าปฏิบัติการ 1027 รัฐบาลทหารพม่ายังเคยยอมรับว่าพื้นที่อย่างน้อย 132 จาก 330 อำเภอ (ราว 40%) อยู่นอกเหนือการควบคุมของพวกตน …ทั้งหมดนี้เป็นสัญญาณบ่งบอกว่ารัฐบาลทหารพม่าเองก็เห็นว่าฐานะของพวกตนไม่ค่อยดีแล้ว

ทั้งนี้กลุ่มพันธมิตรสามภราดรภาพได้ออกแถลงการณ์ระบุเป้าหมายของพวกตนตอนหนึ่งว่า ต้องการยืนยันสิทธิในการปกป้องตนเอง, คงการควบคุมเหนือพื้นที่, และกำจัดเผด็จการทหารที่กดขี่ประชาชน

…ซึงถ้าดูตามนี้ก็หมายความว่า ทั้งสามกลุ่มคงต้องการตีชิงพื้นที่จากรัฐบาลทหารพม่าให้ได้มากที่สุด ส่วนเป้าหมายในการโค่นล้มรัฐบาลทหารพม่าอาจจะมีความสำคัญรองลงมา แต่ใส่มาเพื่อหวังเสียงสนับสนุนจากกลุ่มติดอาวุธต่อต้านรัฐบาลอื่นๆ ด้วย…

*** บทบาทของจีนกับปฏิบัติการ 1027 ***

ที่น่าสนใจอีกไม่น้อยคือแถลงการณ์ที่ระบุว่าต้องการปราบปรามการอาชญากรรมไซเบอร์และการหลอกลวงเล่นพนันออนไลน์ โดยเฉพาะตรงชายแดนจีน-พม่า …ซึ่งแปลว่าประเด็นนี้จะต้องมีความสำคัญพอสมควรจึงทำให้กลุ่มพันธมิตรสามภราดรภาพใส่มาด้วย

เพราะที่ผ่านมาถึงแม้เราอาจเข้าใจว่าจีนให้การสนับสนุนรัฐบาลทหารพม่า แต่การที่รัฐบาลทหารพม่าปล่อยปละละเลยปัญหาหลอกลวงพนันออนไลน์แล้วมีคนจีนตกเป็นเหยื่อด้วย อาจทำให้รัฐบาลจีนหมดความอดทนในที่สุด

ที่ผ่านมาบริเวณชายแดนจีน-พม่ามักจะไม่มีการสู้รบ เพราะรัฐบาลจีนใช้อิทธิพลเหนือทั้งกองกำลังชาติพันธุ์ที่อยู่ติดชายแดนและกองทัพพม่าไม่ให้เกิดความขัดแย้งที่จะกระทบต่อผลประโยชน์ของจีนทั้งในด้านการค้าชายแดนและการขนส่งทรัพยากร ดังนั้นการเปิดฉากปฏิบัติการ 1027 จึงเป็นไปไม่ได้ที่รัฐบาลจีนจะไม่รู้เห็น และจริงๆ รัฐบาลจีนอาจเป็นคน “ปล่อย” ให้เกิดเรื่องนี้ขึ้นด้วยซ้ำ…

ส่วนรัฐบาลทหารพม่าก็ได้ยอมให้จีนส่งตำรวจพิเศษเข้ามาปฏิบัติการในประเทศ เพื่อหวังรักษาความสัมพันธ์กับจีนต่อไป…

บทบาทของจีนในการพยายามเข้ามามีอิทธิพลในพื้นที่รัฐฉานนั้นอาจเป็นสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงใหญ่ๆ มาแล้วหลายครั้ง อย่างเช่น ปี 1988-89 รัฐบาลจีนลดการสนับสนุนพรรคคอมมิวนิสต์พม่า ทำให้กองกำลังโก้ก้างและว้าขึ้นมามีอิทธิพลแทน และเข้าสู่การหยุดยิงกับรัฐบาลทหารพม่า หรือเมื่อปี 2014 เมื่อรัฐบาลเต็งเส่งระงับโครงการสร้างเขื่อนของจีนในปี 2011 ได้ทำให้กองทัพอาระกันมีขนาดเติบโตจาก 29 คนเป็นกองกำลังชาติพันธุ์ใหญ่อันดับ 2 ในพม่า…

สถานการณ์ล่าสุดในพม่าไม่ได้มีเพียงปฏิบัติการ 1027 ที่กล่าวมาเท่านั้น แต่กองกำลังชาติพันธุ์อีกหลายกลุ่มก็ได้ลงมือกับกองทัพพม่าในเวลาไล่เลี่ยกันเพื่อเป็นการสนับสนุนพันธมิตรสามภราดรภาพด้วย อย่างเช่น “ปฏิบัติการ 1107” และ “ปฏิบัติการ 1111” เป็นการลงมือของกองกำลังกะเหรี่ยงแดงหรือกะยาในรัฐกะยา หรือปฏิบัติการของกองกำลังพิทักษ์ประชาชน (PDF) ที่สามารถยึดเมืองก้อลิ่น (Kawlin) ซึ่งเป็นเมืองเอกระดับจังหวัดได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่รัฐประหารปี 2021

นอกจากนี้ยังมีการเปิดฉากสู้รบในรัฐยะไข่ทางตะวันตกของพม่านับตั้งแต่วันที่ 13 พ.ย. นำโดยกองทัพอาระกัน ทั้งนี้เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากการหยุดยิงเมื่อปี 2022 ซึ่งนี่อาจเป็นแนวรบใหม่ที่อาจทำให้กองทัพพม่าเพลี่ยงพล้ำในการต่อสู้กับกองกำลังชาติพันธุ์ต่างๆ ก็เป็นได้…

ล่าสุดกองกำลังชาติพันธุ์กำลังเข้าปิดล้อมเมืองล่าเสี้ยว (เมืองใหญ่สุดในรัฐฉานตอนเหนือ) แปลว่าการรุกคืบของกองกำลังชาติพันธุ์จะยังไม่จบเพียงเท่านี้อย่างแน่นอน…

*** กองทัพพม่ากำลังแพ้หรือไม่? ***

ในการพูดคุยถึงเรื่องความแข็งแกร่งของกองทัพพม่า บางคนอาจยกตัวเลขกำลังพล 3-4 แสนนายที่เป็นตัวเลขประมาณการมาตั้งแต่ก่อนรัฐประหารปี 2021 แล้วสรุปว่ากองทัพพม่านั้นยังเข้มแข็งกว่ากองกำลังชาติพันธุ์อยู่มาก

แต่จากการเปิดเผยของทหารแปรพักตร์ บวกกับหลักฐานเท่าที่หาได้อย่างเอกสารการประชุม การเคลื่อนกำลังและยอดกำลังพลเสียชีวิต กองทัพพม่าอาจมีทหารเพียง 150,000 นาย และในจำนวนนี้เป็นเหล่ารบจริงๆ อาจเหลือเพียง 70,000 นาย …ซึ่งหากตัวเลขนี้เป็นจริงก็แปลว่ายอดทหารของกองกำลังชาติพันธุ์ทุกกลุ่มรวมกันอาจสูงกว่ากองทัพพม่าไปแล้ว

มีรายละเอียดเพิ่มเติมอีกว่า กองทัพพม่ามีการปรับโครงสร้างใหญ่เมื่อปี 2007 เพิ่มจำนวนกองพันจาก 168 กองพันในปี 1988 เป็น 504 กองพัน แต่ละกองพันมีอัตรากำลัง 857 นาย (แปลว่าจะมีทหารราว 430,000 นาย) แต่จากหลักฐานช่วงหลังรัฐประหาร พบว่ากองทัพพม่ามีกำลัง 522 กองพัน เกือบทั้งหมดมีกำลังต่ำกว่า 200 นาย (แปลว่ามีทหารไม่เกิน 104,000 นายเท่านั้น)

ปัญหากำลังพลของกองทัพพม่าขาดแคลนนี้เป็นปัญหาที่รู้กันมานานแล้ว เมื่อปี 2022 มีข่าวว่าครอบครัวลูกเมียของทหารพม่าจำเป็นต้องเข้ารับการฝึกทหารเพื่อปกป้องฐาน และมีข่าวว่าคนที่สนใจสมัครเรียนในโรงเรียนทหารลดลงมาก (จาก 500 คนเหลือ 22 คน)

นอกจากนี้กองทัพพม่ายังประสบปัญหาขาดแคลนทหารเกณฑ์ หนีทัพและเสียชีวิตในการสู้รบอีกมาก ซึ่งการเข้าเป็นทหารยังคงต่ำถึงแม้ว่าจะมีการเพิ่มเงินโบนัสจูงใจถึง 5 เท่าแล้วก็ตาม ไม่รวมทหาร-ตำรวจที่แปรพักตร์และหนีทัพรวมกันเกิน 10,000 นายในช่วง 2 ปี และยอดกำลังที่เสียชีวิตอีกกว่า 20,000 นาย

สัญญาณเพิ่มเติมของการขาดแคลนกำลังพลของกองทัพพม่า ได้แก่ การเกณฑ์คนจากโรงงานผลิตอาวุธของกองทัพที่ไม่มีประสบการณ์สู้รบ และกำลังพลจากเหล่าสนับสนุน เช่น เหล่าไฟฟ้าและวิศวกรรม เหล่าสัญญาณ หรือเหล่าฝึกทหาร มาสู้รบ หรือดูจากการใช้การโจมตีทางอากาศที่เพิ่มขึ้นก็ได้…

ทั้งหมดนี้จึงนำไปสู่ข้อสรุปที่ว่า ปฏิบัติการ 1027 อาจเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของสงครามกลางเมืองพม่าที่ยืดเยื้อมากว่า 70 ปี นักวิเคราะห์บางคนชี้ว่ารัฐบาลทหารพม่าหมดหนทางชนะมาตั้งแต่ฤดูแล้งปี 2022 แล้ว และถึงตอนนี้ประตูชนะของฝ่ายต่อต้านรัฐบาลเริ่มเห็นได้ชัดขึ้นแล้ว

นั่นจึงนำมาสู่คำถามที่น่าสนใจว่าอนาคตของพม่าจะเป็นอย่างไรต่อไป? พม่าจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ หรือไม่? และจะส่งผลกระทบอย่างไรต่อไทย?

ชาติพันธุ์ต่างๆ ในพม่าไม่ได้เป็นพันธมิตรกับรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติหรืออดีตรัฐบาลอองซานซูจีไปเสียทั้งหมด ดังที่จะเห็นได้ว่าบางกลุ่มรีบชิงพื้นที่ไว้ในช่วงนี้อาจเป็นไปเพื่อหวังครอบครองดินแดน และเมื่อชนะสงครามกลางเมืองแล้ว พวกเขาเหล่านี้อาจแบ่งแยกดินแดนออกไปปกครองกันเองในลักษณะรัฐขุนศึก หากเป็นเช่นนี้พม่าอาจจบแบบยูโกสลาเวียที่แตกออกเป็นรัฐเล็กรัฐน้อยหลังสงครามกลางเมือง

ทั้งหมดนี้จึงนำไปสู่ข้อสรุปที่ว่า ปฏิบัติการ 1027 อาจเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของสงครามกลางเมืองพม่าที่ยืดเยื้อมากว่า 70 ปี นักวิเคราะห์บางคนชี้ว่ารัฐบาลทหารพม่าหมดหนทางชนะมาตั้งแต่ฤดูแล้งปี 2022 แล้ว และถึงตอนนี้ประตูชนะของฝ่ายต่อต้านรัฐบาลเริ่มเห็นได้ชัดขึ้นแล้ว

นั่นจึงนำมาสู่คำถามที่น่าสนใจว่าอนาคตของพม่าจะเป็นอย่างไรต่อไป? พม่าจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ หรือไม่? และจะส่งผลกระทบอย่างไรต่อไทย?

อย่างไรก็ตาม การแยกไปตั้งรัฐใหม่ในยุคนี้นับว่ามีความเสี่ยงมาก พวกเขาจะเปรียบเสมือนปลาเล็กในมหาสมุทร ไม่ช้านานก็จะถูกครอบงำจากรัฐอื่นที่มีอำนาจเหนือกว่า …จึงมีความเป็นไปได้ที่อนาคตหลังสงครามอาจจบลงแบบสหพันธรัฐหรือสมาพันธรัฐที่มีการแบ่งปันอำนาจให้กับกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ มากขึ้นมากกว่า

ซึ่งทางลงแบบนี้ก็เห็นได้ในสงครามกลางเมืองซีเรีย ที่พวกเคิร์ดที่ไม่ได้ญาติดีกับรัฐบาลอัลอัสซาดแต่ก็ยืมมือมาช่วยป้องกันการรุกรานจากตุรกีแลกกับการมีอำนาจปกครองตนเอง เป็นต้น

และผลกระทบต่อไทยจะเป็นอย่างไร? ที่มีโอกาสเกิดขึ้นสูงคืออาจเกิดกลุ่มผู้อพยพจากการสู้รบเข้าสู่ประเทศไทย ซึ่งหากท่านยังจำกันได้ เมื่อปี 2016-2017 เป็นช่วงที่เกิดการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์โรฮิงญาในพม่า จนมีผู้อพยพหลายแสนคน ในช่วงนั้นบางส่วนได้เข้ามาในประเทศไทย และได้ทำให้เกิดข้อถกเถียงให้ปฏิเสธการช่วยเหลือโดยบ้างยกเหตุผลว่าพวกเขาเป็นมุสลิม, สร้างปัญหาในค่ายผู้ลี้ภัย และไม่คุ้มกับงบประมาณ เป็นต้น

…ในรอบนี้หากมีผู้ลี้ภัยมาอีก ส่วนใหญ่ก็อาจจะเป็นคนชาติพันธุ์ที่นับถือพุทธหรือคริสต์ และหากเป็นไทใหญ่ พวกเขาก็อาจจะพูดภาษาไทยด้วยก็ได้ ก็ไม่ทราบว่าเมื่อถึงตอนนั้นจะเกิดปรากฏการณ์ในทำนองเดียวกันเกิดขึ้นหรือไม่นะครับ

ส่วนท่าทีของไทยที่มีการเสนอแนะกัน บางคนมีการเสนอให้ไทยแผ่อิทธิพลเข้าไปในพม่ามากขึ้น บางคนถึงกับเสนอให้ไทยเข้าไปยึดดินแดนบางส่วนของพม่ามาเลยทีเดียว

ซึ่งจริงๆ แล้วต้องบอกว่าไทยเองไม่ได้มีอำนาจมากมายถึงขนาดทำอย่างนั้นได้ โดยเฉพาะการยึดครองดินแดนที่จะแทบไม่มีโอกาสได้รับการยอมรับในเวทีโลกเลย ส่วนการจะเข้าไปมีอิทธิพลทางเศรษฐกิจในพม่าแบบเดียวกับจีนนั้น หากดูท่าทีของทางการไทยจะพบว่าส่วนใหญ่ยังคงต้องการให้ทุนไทยในพม่าสามารถดำเนินกิจการได้ต่อไปจนนำไปสู่การวางเฉยต่อพฤติกรรมรัฐบาลทหารพม่าในหลายๆ เรื่องจนขัดกับท่าทีของอาเซียนและชาติตะวันตก ซึ่งนับถึงตอนนี้ก็ยังไม่เห็นว่าท่าทีนี้จะเปลี่ยนแปลงไปสักเท่าไหร่ครับ

และทั้งหมดนี้คือข่าวสถานการณ์สงครามกลางเมืองพม่าในรอบเดือน ต.ค.-พ.ย. ที่ผ่านมานะครับ สถานการณ์นี้ถือว่าน่าจับตาอย่างยิ่ง เพราะเกิดขึ้นในประเทศเพื่อนบ้านใกล้ๆ นี่เอง และอาจมีผลกระทบใหญ่หลวงต่อพม่าและไทยชนิดที่เราเองก็อาจคาดไม่ถึง

ซึ่งน่าเศร้าที่ประชาชนเมียนมาร์คงต้องผ่านการสูญเสียเลือดเนื้ออีกเยอะกว่าทุกอย่างจะสงบลง…